อ้าวเสวี่ยผงะไป ให้นางเปลื้องอาภรณ์ของบุรุษ นางไม่ทำเด็ดขาด นางเป็นดรุณีที่ยังไม่เคยต้องมือชาย เจียงเฟิ่งหัวย่อมรู้ว่าอ้าวเสวี่ยหน้าบาง แต่นางเองก็ไม่อยากไปเปลื้องอาภรณ์บุรุษ แค่รู้สึกว่ามันจะเปื้อนมือของนาง ส่วนเหลียนเย่ก็อยู่ที่เรือนหน้า ดังนั้นนางจึงตะโกนเรียกให้ชิวจวี๋ที่อยู่ด้านนอกเข้ามา ชิวจวี๋เข้ามาก็คุกเข่าลงต่อหน้าเจียงเฟิ่งหัวทันที “บ่าวทำตามประสงค์ของพระชายาแล้ว ยาถอน…” เจียงเฟิ่งหัวเกลียดคนประเภททรยศเจ้านายที่สุด จึงเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “ยาถอนพิษข้าให้เจ้าได้ แต่เจ้าต้องเปลื้องอาภรณ์ของพวกมันออกก่อน” ชิวจวี๋ผงะไป กระนั้นก็ไม่กล้าคัดค้าน เดินเข้าไปปลดสายคาดเอวของทั้งสองออกก่อน จากนั้นก็เปลืองอาภรณ์ของสองคนจนเหลือแค่กางเกงชั้นในตัวเดียวและเอ่ยขึ้นว่า “เรียบร้อยเจ้าค่ะ ยาถอนพิษน่าจะให้บ่าวได้แล้วนะเจ้าคะ!” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางให้ความร่วมมือเพียงนี้ ก็เอ่ยอีกครั้งว่า “เจ้าช่วยข้าทำเรื่องสุดท้ายให้สำเร็จ ข้าจะให้ยาถอนพิษเจ้าทันที และจะปล่อยเจ้าไป” ชิวจวี๋กัดฟันกรอด ๆ จนฟันแทบแตก แต่ก็ไม่มีทางเลือก “พระชายาเชิญกล่าว” เจียงเฟิ่งหัวประชิดเข้าไปใกล้ใบหูของนาง “พ
นางรู้สึกว่าหากนายท่านรองมาเห็นฮูหยินรองในสภาพนี้ นางต้องถูกทุบตีจนตายแน่ ท้องฟ้าของจวนสกุลจางจะต้องถล่มลงมาแน่! ชิวจวี๋ลอบมองเจียงเฟิ่งหัวปราดหนึ่ง รู้สึกว่านางทั้งใจดำ เจ้าเล่ห์ และน่ากลัว แผนการทำร้ายคนแบบนี้ยังคิดออกมาได้ เจียงเฟิ่งหัวคำไหนคำนั้น สั่งให้อ้าวเสวี่ยนำยาถอนพิษออกมาให้นาง และให้นางรีบหนีออกไป หากว่าถูกจับกลับมานั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับนางอีกต่อไป ชิวจวี๋ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็หลบหนีออกจากจวนสกุลจางไปเลยทันที และในขณะเดียวกัน ขบวนรับเจ้าสาวของสกุลเจียงก็มาถึงจวนสกุลจางแล้วเช่นกัน จางอวี่มั่วคอยอยู่ในห้องตลอด ทุกอย่างราบรื่นดีไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น ทว่าในใจของนางกลับกังวลและประหม่า และยังรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับว่าต้องรอจนกว่าเจียงจิ่นเหยียนจะมาถึงจิตใจของนางจึงจะสงบลงได้อย่างไรอย่างนั้น เพราะสวมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไว้ นางจึงมองไม่เห็นสายตาด้านนอก เห็นเพียงฝ่ามือข้างหนึ่งที่มองเห็นข้อนิ้วชัดเจนยื่นเข้ามากุมมือของนางเอาไว้ นางเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า “ได้เจอพระชายาเหิงอ๋องแล้วหรือยัง?” เจียงจิ่นเหยียนผงะไป ก่อนจะตอบนางด้วยเสียงแผ่วเบาเช่นกัน “ยังไม่พบหรวนหร่วน นา
เรือนชั้นในของจวนสกุลจาง เสียงกรีดร้องด้านในดึงดูดความสนใจของแขกในจวนได้ในเสี้ยวพริบตา หลังจากทุกคนได้ยินเสียงต่างพากันวิ่งกรูไปยังต้นเสียงทันที วันนี้แขกเหรื่อที่สามารถมาร่วมงานเลี้ยงมงคลของจวนสกุลจางได้นอกจากขุนนางอำมาตย์ใหญ่ในราชสำนักและครอบครัวแล้ว คนในสกุลมารดาของฮูหยินแต่ละท่านย่อมอยู่ในงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน นายท่านรองจาง นายท่านสามจางรวมถึงคนอื่น ๆ ต่างก็กรูกันไปดูสถานการณ์ที่เรือนหลังเช่นกัน ประโยคแรกที่พวกเขาได้ยินก็คือ “ฮูหยินรองลักลอบสมคบชู้กับบุรุษสองคนเจ้าค่ะ” นายท่านรองพุ่งเข้าไปในห้องข้างทันที เห็นเพียงเรือนร่างขาวเปลือยเปล่าหลายร่างพัวพันอยู่ด้วยกัน เสี้ยวพริบตาเดียวสีหน้าของเขาพลันบิดเบี้ยวเหมือนไส้เดือนดิ้นไปมา ความสัมพันธ์สามีภรรยาระหว่างเขากับฮูหยินของเขาแต่เดิมก็ไม่สู้ดีอยู่ก่อนแล้ว เขาเองก็มีอนุภรรยาอยู่เป็นโขยง ทว่าเรื่องที่ฮูหยินรองกล้าลักลอบสมคบชู้กับชายอื่นหลอกสวมหมวกเขียวให้เขาเป็นเรื่องที่รับไม่ได้อย่างเด็ดขาด เขาตะโกนด่าทันควัน “นังแพศยา นังหญิงสำส่อน เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” ไม่ว่าเสียงของเขาจะดังสักแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถปลุกคนเหล่านี้ให้ตื่นขึ้นมา
ตอนที่ฮูหยินรองเป็นผู้ดูแลเรือน ฮูหยินสามเคยถูกนางกดขี่รังแกไม่น้อย เรื่องในวันนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของคนใจดีคนไหน ปกติที่นางไม่ชอบพูดไม่ใช่เพราะนางพูดไม่เก่ง แต่เป็นเพราะไม่อยากทำให้ฮูหยินรองไม่พอใจ ทว่าตอนนี้นางย่อมต้องฉวยโอกาสเหยียบย่ำดูแคลนฮูหยินรองให้เต็มที่อยู่แล้ว ญาติคนอื่นของสกุลจางเองต่างก็มองนางเป็นเรื่องขบขัน ยามปกติฮูหยินรองก็มีกิริยาหยิ่งยโสโอหัง พูดจาก็หยาบคายไม่น่าฟัง อีกทั้งยังชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดสักคนออกหน้าช่วยพูดปกป้องนาง หลี่เฉิงมองสถานการณ์ออกชัดเจน ย่อมรู้ว่าตนเองถูกใครบางคนวางแผนใส่ร้าย ก็รีบสลัดตัวจากวงล้อมของพวกบ่าวรับใช้ออกมาเตะจีเฉินไปหนึ่งที พร้อมกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “เรื่องนี้ข้าไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ แน่” เขาเอื้อมมือไปฉวยเสื้อผ้าขึ้นมาสวมอย่างลวก ๆ ทว่านั่นกลับมิใช่อาภรณ์ของเขา สิ่งที่คว้ามาได้กลับเป็นเสื้อนอกของฮูหยินรอง เรียกเสียงฮาครืนจากรอบข้างขึ้นมาได้ทันที เขาตวาดด้วยเสียงกราดเกรี้ยว “มองอะไร ไสหัวออกไปให้หมด” ฮูหยินผู้เฒ่าจางจำเขาได้ “ใต้เท้าหลี่ เหตุใดจึงเป็นท่าน ท่านเข้ามาที่เรือนหลังของสกุลจางได้อย่างไร มิหนำซ้ำ
ฮูหยินผู้เฒ่าจางมิได้ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ก็เพราะวันนี้เป็นวันออกเรือนของจางอวี่มั่ว ฮูหยินรองจางทำเรื่องพรรค์นี้ออกมา ศักดิ์ศรีเกียรติยศของสกุลจางเองก็เสื่อมเสียเช่นกัน เจ้ากรมหลี่กล่าวขอโทษแล้วก็พาตัวหลี่เฉิงกลับทันที ทว่าจีเฉินกลับไม่มีผู้ใดสนใจเขา ทั้งหมดเป็นเพราะจีเฉินเล่นลูกไม้ ฮูหยินผู้เฒ่าจางออกคำสั่งทันใด “ตีมัน ตีจนกว่ามันจะยอมสารภาพความจริงออกมาแล้วค่อยหยุด” จีเฉินถูกมักมือมัดเท้า “พวกเจ้าจะทำร้ายข้าไม่ได้ ข้า…ข้าเป็นพี่ชายร่วมสาบานของเหิงอ๋อง” “ท่านอ๋องทรงเกียรติและสง่าผ่าเผย จะมีพี่ชายร่วมสาบานเป็นพวกต่ำช้าอัปรีย์ลักลอบทำเรื่องผิดศีลธรรมลับหลังอย่างเจ้าได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเหี้ยม “ตีมัน” ไม้กระดานฟาดลงบนตัวของจีเฉินเสียงดัง “เพียะๆ” จีเฉินคำรามด้วยโทสะออกมา “จวนกั๋วกงผู้ยิ่งใหญ่ไยจึงกล้ามองชีวิตคนเหมือนต้นหญ้า ทั้ง ๆ ที่เป็นฝีมือของเจียง…” ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะให้โอกาสเขาพูดได้อีก ก็สั่งให้คนจัดการอุดปากเขาไว้ทันที ก่อนจะทุบตีจนเขาผิวหนังแตกเนื้อยับ ......เจียงเฟิ่งหัวได้ทราบข่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจัดการลงโทษจีเฉินแล้ว มุมปากของนางก็
นางมิได้ลงมือสังหารจีเฉินในจวนสกุลจาง เป็นเพราะไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้สกุลจาง หากว่าเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นเรื่องจะกลายเป็นอีกแบบทันที เจียงเฟิ่งหัวไม่มีทางล่วงเกินท่านเจ้ากรมกลาโหมอย่างเด็ดขาด วันนี้ทำให้หลี่เฉิงเสียเปรียบ ก็นับว่าสั่งสอนบทเรียนหนึ่งให้เขา นางไม่ได้ปรากฏหน้า ชิวจวี๋ก็หนีไปแล้ว สกุลหลี่หาทางทำอะไรนางไม่ได้ มีเพียงคนอย่างจีเฉินเท่านั้นที่ชวนให้รู้สึกหวาดกลัว วันนี้คนที่ออกหน้ามาช่วยชีวิตจีเฉินไว้คือผู้ใด เจียงเฟิ่งหัวเองก็ไม่ทราบ เพราะจีเฉินในชาติก่อนมีซูถิงหว่านที่คอยให้การปกป้องสนับสนุน จนได้เลื่อนขั้นขึ้นไปได้อย่างต่อเนื่อง ชาตินี้ ซูถิงหว่านถูกส่งไปที่อื่นแล้ว จีเฉินก็ถูกขับไล่ออกจากจวนเหิงอ๋อง ทำให้เขาต้องไปพึ่งพาสกุลซู เจียงเฟิ่งหัวลองตัดคนทั้งหมดที่เป็นไปได้ออกแล้วก็ยังคิดไม่ตกว่าจีเฉินจะยังมีความสามารถอะไรที่ดึงดูดให้คนมาโหยหา จีเฉินในชาติก่อนก็มีความเกี่ยวข้องกับสกุลซู หรือว่าคนที่ช่วยเขาไว้จะเป็นคนผู้นี้? ในตอนนี้เอง เหลียนเย่ก็วิ่งถลันเข้ามา พร้อมร้องตะโกนไม่หยุดปาก “พระชายาเพคะ” เหลียนเย่วิ่งมาจนกระหืดกระหอบ “ในที่สุดก็พบท่านเสียที ท่านอ๋องมาแล
กว่าเจียงเฟิ่งหัวจะกลับถึงจวนอ๋องท้องฟ้าก็มืดแล้ว นางเหนื่อยมาทั้งวัน รู้สึกอ่อนล้าเต็มที ล้างหน้าสางผมลวก ๆ ก็เอนกายนอนบนตั่งนุ่มเพื่อหลับตาพักผ่อน เซี่ยซางไม่ได้กลับมาพร้อมกับนาง เขาคงจะทราบเรื่องที่เกิดในจวนสกุลจางวันนี้แล้วกระมัง! ซูเซวี่ยนกลับมาถึงเมืองหลวงก็ไปพบเขาทันที ดูเหมือนว่าเซี่ยซางคงติดต่อกับสกุลซูมาได้สักระยะใหญ่แล้ว ในตอนนี้เอง อ้าวเสวี่ยก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้านาง “พระชายา ท่านกำลังงีบหลับอยู่หรือเพคะ?” “อืม” เจียงเฟิ่งหัวใช้เสียงนาสิกตอบกลับ นางไม่ได้หลับลึก เพียงแต่หลับตาลงแล้วก็ไม่อยากลืมตาขึ้นมาแล้วก็เท่านั้น หลังจากตั้งครรภ์นับวันนางก็ยิ่งขี้เซา จิตใจอ่อนเพลียไม่ฮึกเหิม เพียงอยากปล่อยวางเส้นประสาทที่ตึงเครียดแล้วกลับมาเป็นตนเองก็พอ นางอยู่ในอิริยาบถผ่อนคลาย นัยน์ตาคู่สวยชำเลืองมอง พวงแก้มสีผลท้อเจือด้วยรอยยิ้ม กลิ่นอายอ่อนโยนดุจกล้วยไม้ งามล้ำเหนือสรรพสิ่ง อบอุ่นอ่อนโยนเกินพรรณนา อ้าวเสวี่ยรู้สึกมึนงง ในเมื่อหลับไปแล้วเหตุใดยังได้ยินนางพูด หลายเดือนที่นางเข้ามาในจวนอ๋อง พระชายาเหิงอ๋องไม่เคยมองนางเป็นบ่าวรับใช้แม้เพียงสักครั้ง ความสุขสงบสบายใจแบบนั้นเป็นส
คอยกระทั่งอ้าวเสวี่ยออกไปแล้ว รอยยิ้มบนมุมปากของเจียงเฟิ่งหัวค่อย ๆ จางหายไป แววตาของนางคมกริบดุจเหยี่ยว ในมือกำกริชเล่มหนึ่งเอาไว้ ข้อมือหมุนอย่างรวดเร็ว คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ ด้ามมีดวาววับดุจแสงอสนีบาตฟาดลงมากลางความมืดยามราตรี ทำให้ผู้คนลายตา ดึกเพียงนี้แล้วเซี่ยซางยังไม่กลับมาอีก นางเองก็นอนไม่หลับ นางเดาว่า อีกไม่นานซูถิงหว่านคงใกล้จะได้กลับจวนอ๋องแล้ว ถึงขั้นอาจจะได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากเซี่ยซางใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วย นางพยายามมาแล้วหนึ่งปี เพื่อให้เขาพึงใจตนเอง สุดท้ายก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับอำนาจทหารของสกุลซู ดังนั้นหากคิดว่าบุรุษพึ่งพาได้ แม่หมูก็คงปีนต้นไม้ได้แล้วเหมือนกัน หลังจากนี้อ้าวเสวี่ยจะต้องคอยติดตามรับใช้นาง หากต่อหน้าอ้าวเสวี่ยไม่แสดงฝีมือออกไปบ้าง เกรงว่าจะทำให้นางลำบากในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ในภายหลังได้ แทนที่จะกลัวหน้ากลัวหลังทำตัวเป็นแจกันใส่บุปผาตั้งนิ่งอยู่เฉย ๆ ไม่สู้ตัดสินใจเป็นพระชายาเหิงอ๋องที่กล้าหาญดีกว่า ดูว่าอ้าวเสวี่ยจะเลือกอย่างไร หากว่าอ้าวเสวี่ยนำทุกเรื่องไปรายงานต่อเซี่ยซางทั้งหมด นางก็ไม่จำเป็นต้องให้อ้าวเสวี่ยคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายอีก
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู