ฮูหยินผู้เฒ่าจางมิได้ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ก็เพราะวันนี้เป็นวันออกเรือนของจางอวี่มั่ว ฮูหยินรองจางทำเรื่องพรรค์นี้ออกมา ศักดิ์ศรีเกียรติยศของสกุลจางเองก็เสื่อมเสียเช่นกัน เจ้ากรมหลี่กล่าวขอโทษแล้วก็พาตัวหลี่เฉิงกลับทันที ทว่าจีเฉินกลับไม่มีผู้ใดสนใจเขา ทั้งหมดเป็นเพราะจีเฉินเล่นลูกไม้ ฮูหยินผู้เฒ่าจางออกคำสั่งทันใด “ตีมัน ตีจนกว่ามันจะยอมสารภาพความจริงออกมาแล้วค่อยหยุด” จีเฉินถูกมักมือมัดเท้า “พวกเจ้าจะทำร้ายข้าไม่ได้ ข้า…ข้าเป็นพี่ชายร่วมสาบานของเหิงอ๋อง” “ท่านอ๋องทรงเกียรติและสง่าผ่าเผย จะมีพี่ชายร่วมสาบานเป็นพวกต่ำช้าอัปรีย์ลักลอบทำเรื่องผิดศีลธรรมลับหลังอย่างเจ้าได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเหี้ยม “ตีมัน” ไม้กระดานฟาดลงบนตัวของจีเฉินเสียงดัง “เพียะๆ” จีเฉินคำรามด้วยโทสะออกมา “จวนกั๋วกงผู้ยิ่งใหญ่ไยจึงกล้ามองชีวิตคนเหมือนต้นหญ้า ทั้ง ๆ ที่เป็นฝีมือของเจียง…” ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะให้โอกาสเขาพูดได้อีก ก็สั่งให้คนจัดการอุดปากเขาไว้ทันที ก่อนจะทุบตีจนเขาผิวหนังแตกเนื้อยับ ......เจียงเฟิ่งหัวได้ทราบข่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจัดการลงโทษจีเฉินแล้ว มุมปากของนางก็
นางมิได้ลงมือสังหารจีเฉินในจวนสกุลจาง เป็นเพราะไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้สกุลจาง หากว่าเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นเรื่องจะกลายเป็นอีกแบบทันที เจียงเฟิ่งหัวไม่มีทางล่วงเกินท่านเจ้ากรมกลาโหมอย่างเด็ดขาด วันนี้ทำให้หลี่เฉิงเสียเปรียบ ก็นับว่าสั่งสอนบทเรียนหนึ่งให้เขา นางไม่ได้ปรากฏหน้า ชิวจวี๋ก็หนีไปแล้ว สกุลหลี่หาทางทำอะไรนางไม่ได้ มีเพียงคนอย่างจีเฉินเท่านั้นที่ชวนให้รู้สึกหวาดกลัว วันนี้คนที่ออกหน้ามาช่วยชีวิตจีเฉินไว้คือผู้ใด เจียงเฟิ่งหัวเองก็ไม่ทราบ เพราะจีเฉินในชาติก่อนมีซูถิงหว่านที่คอยให้การปกป้องสนับสนุน จนได้เลื่อนขั้นขึ้นไปได้อย่างต่อเนื่อง ชาตินี้ ซูถิงหว่านถูกส่งไปที่อื่นแล้ว จีเฉินก็ถูกขับไล่ออกจากจวนเหิงอ๋อง ทำให้เขาต้องไปพึ่งพาสกุลซู เจียงเฟิ่งหัวลองตัดคนทั้งหมดที่เป็นไปได้ออกแล้วก็ยังคิดไม่ตกว่าจีเฉินจะยังมีความสามารถอะไรที่ดึงดูดให้คนมาโหยหา จีเฉินในชาติก่อนก็มีความเกี่ยวข้องกับสกุลซู หรือว่าคนที่ช่วยเขาไว้จะเป็นคนผู้นี้? ในตอนนี้เอง เหลียนเย่ก็วิ่งถลันเข้ามา พร้อมร้องตะโกนไม่หยุดปาก “พระชายาเพคะ” เหลียนเย่วิ่งมาจนกระหืดกระหอบ “ในที่สุดก็พบท่านเสียที ท่านอ๋องมาแล
กว่าเจียงเฟิ่งหัวจะกลับถึงจวนอ๋องท้องฟ้าก็มืดแล้ว นางเหนื่อยมาทั้งวัน รู้สึกอ่อนล้าเต็มที ล้างหน้าสางผมลวก ๆ ก็เอนกายนอนบนตั่งนุ่มเพื่อหลับตาพักผ่อน เซี่ยซางไม่ได้กลับมาพร้อมกับนาง เขาคงจะทราบเรื่องที่เกิดในจวนสกุลจางวันนี้แล้วกระมัง! ซูเซวี่ยนกลับมาถึงเมืองหลวงก็ไปพบเขาทันที ดูเหมือนว่าเซี่ยซางคงติดต่อกับสกุลซูมาได้สักระยะใหญ่แล้ว ในตอนนี้เอง อ้าวเสวี่ยก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้านาง “พระชายา ท่านกำลังงีบหลับอยู่หรือเพคะ?” “อืม” เจียงเฟิ่งหัวใช้เสียงนาสิกตอบกลับ นางไม่ได้หลับลึก เพียงแต่หลับตาลงแล้วก็ไม่อยากลืมตาขึ้นมาแล้วก็เท่านั้น หลังจากตั้งครรภ์นับวันนางก็ยิ่งขี้เซา จิตใจอ่อนเพลียไม่ฮึกเหิม เพียงอยากปล่อยวางเส้นประสาทที่ตึงเครียดแล้วกลับมาเป็นตนเองก็พอ นางอยู่ในอิริยาบถผ่อนคลาย นัยน์ตาคู่สวยชำเลืองมอง พวงแก้มสีผลท้อเจือด้วยรอยยิ้ม กลิ่นอายอ่อนโยนดุจกล้วยไม้ งามล้ำเหนือสรรพสิ่ง อบอุ่นอ่อนโยนเกินพรรณนา อ้าวเสวี่ยรู้สึกมึนงง ในเมื่อหลับไปแล้วเหตุใดยังได้ยินนางพูด หลายเดือนที่นางเข้ามาในจวนอ๋อง พระชายาเหิงอ๋องไม่เคยมองนางเป็นบ่าวรับใช้แม้เพียงสักครั้ง ความสุขสงบสบายใจแบบนั้นเป็นส
คอยกระทั่งอ้าวเสวี่ยออกไปแล้ว รอยยิ้มบนมุมปากของเจียงเฟิ่งหัวค่อย ๆ จางหายไป แววตาของนางคมกริบดุจเหยี่ยว ในมือกำกริชเล่มหนึ่งเอาไว้ ข้อมือหมุนอย่างรวดเร็ว คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ ด้ามมีดวาววับดุจแสงอสนีบาตฟาดลงมากลางความมืดยามราตรี ทำให้ผู้คนลายตา ดึกเพียงนี้แล้วเซี่ยซางยังไม่กลับมาอีก นางเองก็นอนไม่หลับ นางเดาว่า อีกไม่นานซูถิงหว่านคงใกล้จะได้กลับจวนอ๋องแล้ว ถึงขั้นอาจจะได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากเซี่ยซางใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วย นางพยายามมาแล้วหนึ่งปี เพื่อให้เขาพึงใจตนเอง สุดท้ายก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับอำนาจทหารของสกุลซู ดังนั้นหากคิดว่าบุรุษพึ่งพาได้ แม่หมูก็คงปีนต้นไม้ได้แล้วเหมือนกัน หลังจากนี้อ้าวเสวี่ยจะต้องคอยติดตามรับใช้นาง หากต่อหน้าอ้าวเสวี่ยไม่แสดงฝีมือออกไปบ้าง เกรงว่าจะทำให้นางลำบากในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ในภายหลังได้ แทนที่จะกลัวหน้ากลัวหลังทำตัวเป็นแจกันใส่บุปผาตั้งนิ่งอยู่เฉย ๆ ไม่สู้ตัดสินใจเป็นพระชายาเหิงอ๋องที่กล้าหาญดีกว่า ดูว่าอ้าวเสวี่ยจะเลือกอย่างไร หากว่าอ้าวเสวี่ยนำทุกเรื่องไปรายงานต่อเซี่ยซางทั้งหมด นางก็ไม่จำเป็นต้องให้อ้าวเสวี่ยคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายอีก
นางลูบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกที่ใส่อยู่ไปมา หวนนึกถึงชีวิตของนางที่ผ่านมาในช่วงหลายเดือนก่อน ช่างลำบากเกินบรรยาย ฮองเฮายังให้นางคัดบทสวดมนต์ทุกวัน นางมือจะหักอยู่แล้ว ในภูเขาก็หนาวอีกด้วย ไหนเลยจะมีเสื้อคลุมขนสัตว์ที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเหล่านี้และเตาผิงที่ใช้อุ่นมือส่วนเจียงเฟิ่งหัวนั้นหรือ อยู่ดีมีสุขชีวิตหรูหราฟู่ฟ่าอยู่ในจวนอ๋อง ใช้ชีวิตราวกับเป็นเทพเทวดา เซี่ยซางยังมอบเสื้อผ้าให้นางมากมายขนาดนี้อีกด้วย เขาเคยนึกถึงบ้างไหมว่านางอยู่ที่วัดคนเดียวทั้งเหงาหงอยทั้งเหน็บหนาวต่อให้เกลียดแค่ไหน นางก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ในใจกลับริษยาจนแทบจะอกแตกตายเมื่อเจียงเฟิ่งหัวรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จ นางจึงค่อยกล่าวว่า “พระชายารองคงกินอาหารเช้ามาแล้วสินะ อาหารที่ข้ากินเหล่านี้เจ้าคงกินไม่เป็นแน่ หากยังไม่ได้กินมา ข้าจะให้ทางห้องครัวทำให้เจ้าใหม่ เจ้าชอบกินอะไรก็บอกข้ามาได้เลย”นางสีหน้าแช่มชื่น ยิ้มแย้มแจ่มใส น้ำเสียงนั้นยิ่งอ่อนโยนราวกับสายน้ำ ท่าทางอย่างนายหญิงเจ้าของบ้าง นางพูดเช่นนี้ทำให้ซูถิงหว่านเหมือนกลายเป็นคนนอกคนหนึ่งซูถิงหว่านก้มศีรษะลง น้ำเสียงก็ทั้งอ่อนหวานทั้งออดอ้อน “หม
อ้าวเสวี่ยงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก นางเป็นคนที่ฝึกวรยุทธ์ ยิ่งไม่ได้บอบบางแบบเหล่าคุณหนูที่อยู่แต่ในห้องหับ นางกัดฟันกินเข้าไปจริง ๆ แต่ว่ารสชาตินี้ก็แย่เกินไปแล้วกระมัง!เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอีกว่า “หงซิ่ว เจ้าไปเรียกคุณหนูซู่ซู่มาที่จวนซิ นางมาไกล กลับมาเมืองหลวงจากเจียงหนานพร้อมท่านอ๋อง ต้องดูแลนางอย่าให้บกพร่อง พวกเจ้าต้องคอยดูแลทุกด้าน”“เพคะ บ่าวทราบแล้ว พระชายาวางได้เถอะเพคะ คนที่ท่านอ๋องพึงพอใจ บ่าวต้องรับใช้เป็นอย่างดีแน่นอน อากาศเย็นแล้ว บ่าวก็จะให้คนส่งเสื้อผ้าไปให้เพคะ” หงซิ่วกล่าวอย่างเคารพนบนอบซูถิงหว่านไม่ได้กินแม้แต่คำเดียว ได้ยินเจียงเฟิ่งหัวครู่หนึ่งก็พูดถึงคุณหนูอ้าวเสวี่ย อีกครู่หนึ่งก็พูดคุณหนูซู่ซู่ อีกทั้งยังล้วนเกี่ยวข้องกับเซี่ยซาง หรือว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้เซี่ยซางมีผู้หญิงเพิ่มมากมายถึงเพียงนี้อีกซูถิงหว่านมองเจียงเฟิ่งหัวอย่างเหม่อลอย เห็นเพียงว่านางสบาย ๆ ไร้กังวง ไม่โกรธหึงหวงแม้แต่นิดเดียว หรือว่าในใจนางไม่รู้สึกเดือดร้อนเลยนะนางแค่ได้ยินก็โมโหแล้วไม่ได้ นางจะอยู่นิ่งรอความพินาศไม่ได้แล้ว ในเมื่อกลับมาแล้ว ก็ต้องคิดหาวิธีมัดใจเซี่ยซางไว้ ไม่
เหลียนเย่ลากอ้าวเสวี่ยลงไปนั่นบนตั่งด้านข้างเลย เริ่มนวดให้นางไปมาหลายแบบ คลายเส้นและกล้ามเนื้อ มีคนปรนนิบัติพัดวีเช่นนี้ อ้าวเสวี่ยก็รู้สึกเพียงว่าสบายไปทั้งตัว“จอมยุทธ์หญิงอ้าวเสวี่ยรู้สึกอย่างไรบ้าง ฝีมือนวดพอใช้ได้ไหม เมื่อก่อนทุกครั้งพระชายาฝึกกำลังเสร็จแล้วข้าเป็นคนคลายเส้นให้นางทั้งนั้น ต่อไปทุกครั้งที่ท่านฝึกวรยุทธ์เสร็จ ข้าก็ช่วยท่านได้ รับรองว่าจะทำให้ร่างกายท่านมีทรวดทรงองค์เอวสวยงามขึ้นมา ใบหน้าเล็ก ๆ ก็จะงดงามดึงดูดสายตาคน” เหลียนเย่ปากหวานมาก หน้าตาก็น่ารักน่าเอ็นดูทันใดนั้นอ้าวเสวี่ยก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองเจียงเฟิ่งหัวแวบหนึ่ง ในมือนางถือหนังสือไว้ พิงอยู่บนตั่ง มองดูยิ่งดูสงบเยือกเย็นขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าของนางขาวใสเปล่งประกายราวกับหยก ช่างงดงามจับใจเสียยิ่งกว่าสาวงามในภาพวาดจริง ๆ อ้าวเสวี่ยพึมพำอยู่ในใจ เรือนร่างของพระชายาที่มีทรวดทรงองค์เอวงดงามเช่นนี้ก็เพราะได้เหลียนเย่ช่วยนวดให้นางหรือ?นางรู้ว่าพระชายาเป็นคนดี แค่เพียงทุกครั้งเวลาที่นางไปศาลาการกุศล เรื่องที่นางทำก็ทำให้นางรู้สึกเลื่อมใสแล้ว เด็ก ๆ ที่ศาลาการกุศลต่างก็ชื่นชอบนางเป็นอย่างมาก ยามนางสอนให้พวกเ
“ท่านอ๋องทรงคิดเห็นอย่างไรเพคะ?” เจียงเฟิ่งหัวถาม“ไม่รบย่อมเป็นการดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ว่าหากพวกมันคิดอยากมารนหาที่ตายจริง ๆ ต้าโจ้วก็ไม่กลัวพวกมัน” แววตาเซี่ยซางลุ่มลึก มีความเหี้ยมเกรียมแผ่ออกมา “เสียงจากขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่ถวายคำแนะนำให้เจรจาสันติภาพมีมากกว่าเสียงที่สนับสนุนให้เตรียมรับสงคราม พวกผู้เฒ่าเหล่านั้นกลับไม่รู้ว่ายิ่งถอย พวกเผ่าหูยิ่งกำเริบเสิบสาน พวกมันก็จะยิ่งนึกว่าต้าโจวกลัวพวกมัน เรื่องนี้ก็จะไม่มีวันจบสิ้น”เจียงเฟิ่งหัวน้ำเสียงสบาย ๆ ในแววตาเหมือนมีแสงดาวส่องประกาย นางถึงกับดูเหมือนว่าหลงใหลและบูชาเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเลยทีเดียว ทำให้เซี่ยซางนึกว่าในสายตาและในใจนางมีแต่เขาและเขาเท่านั้น เติมเต็มความรู้สึกชายเป็นใหญ่ของเขานางยิ้มน้อย ๆ กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “หม่อมฉันเชื่อว่าท่านอ๋องต้องปกป้องประชาราษฎรชาวต้าโจวได้อย่างแน่นอนเพคะ หากจะต้องสู้รบคราวนี้จริง ๆ ต้าโจวของเราก็มีโอกาสที่จะชนะ หม่อมฉันสนับสนุนท่านอ๋องอย่างไม่มีเงื่อนไข ต่อให้เลวร้ายที่สุด พวกเราก็ยังมีศาลาการกุศล ช่วงที่ท่านไม่อยู่ พระชายาอ๋องสาวและพระชายาอ๋องรอง อีกทั้งเหล่าสตรีในเมืองหลวง พวกนาง
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู