เซี่ยซางลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วชะโงกกายมาที่เบื้องหน้าของนาง บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยไรหนวด แต่กลับไม่สูญเสียความหล่อเหลา ให้ความรู้สึกงดงามแบบดิบเถื่อนชนิดหนึ่งน้ำเสียงของเขานุ่มนวลและอ้อยอิ่ง ดวงตาอันแสนลึกซึ้งคู่นั้นเปล่งกายแวววาวดุจแก้วเจียระไน “ดูเหมือนเจ้าไม่พอใจอยู่บ้าง กำลังโมโหอยู่หรือ?”ความเคลื่อนไหวบนมือของเจียงเฟิ่งหัวชะงักเล็กน้อย นางรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องมีสตรีจำนวนมาก และก็มิได้โมโห เพียงแต่สะท้อนใจที่พระชายาองค์ชายสามช่างพูดได้ตรงจุดเหลือเกิน กล่าวเพียงประโยคเดียวก็ตรงสถานการณ์ทันที นางกล่าวอย่างเรียบๆ ว่า “มิได้เพคะ”เซี่ยซางตวัดจมูกของนาง “หลอกลวงข้าต่อหน้าข้า เจ้าไม่กลัวข้าจะลงโทษเจ้าหรือไร”เจียงเฟิ่งหัวเบิกตากว้าง “ท่านอ๋องจะลงโทษหม่อมฉันด้วยเรื่องใดเพคะ? ทรงพาสตรีกลับมาทำให้ผู้อื่นไม่พอใจแท้ๆ ยังจะมาลงโทษหม่อมฉันอีก ใต้หล้านี้ยังจะมีที่ให้หม่อมฉันถกเหตุผลอีกไหมเพคะ”นางโยนผ้าเช็ดหน้าลงบนร่างของเขา “ท่านอ๋องทรงอาบเองเถิดเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวเบี่ยงร่างออกไป แม้นางจะตั้งครรภ์แล้ว แต่รูปร่างยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง เสื้อและกระโปรงที่หลวมไม่รัดแน่นทำให้มอง
นางโอบคอของเขา โน้มตัวเข้าไปใกล้หูของเขาแล้วกล่าวว่า “ท่านหมอหลวงเหมยตรวจชีพจรให้หม่อมฉันแล้วเพคะ หม่อมฉันตั้งครรภ์ทารกแฝด น่าจะเป็นเด็กผู้ชายหนึ่งคน เด็กผู้หญิงหนึ่งคนเพคะ”นางเขินอายจนหน้าแดง คิดไม่ถึงว่าในชาตินี้พวกก็มาแล้วเช่นกัน นางได้เตรียมตัวในการเป็นมารดาของพวกเขาเรียบร้อยแล้วเซี่ยซางตื่นเต้นเป็นอย่างมาก จุมพิตริมฝีปากนางอีกครั้งอย่างไม่สนใจสิ่งอื่น เขามิได้จูบนางด้วยความใคร่ หากแต่เป็นความยินดี ความยินดีที่มาจากส่วนลึกของจิตใจ “เหตุใดหรวนหร่วนของข้าถึงได้เก่งกาจเช่นนี้นะ”เจียงเฟิ่งหัวรู้สึกว่าหนวดของเขาทิ่มคนจริงๆ เกรงว่าใบหน้าของนางคงถูกเขาทิ่มจนแดงแล้ว ผิวของนางบอบบาง ทนรับการทำร้ายแบบนี้ไม่ไหวที่สุดนางกล่าวว่า “เป็นท่านอ๋องต่างหากที่เก่งกาจเพคะ”ถูกเจียงเฟิ่งหัวกล่าวชมไปรอบหนึ่ง เซี่ยซางก็นั้นเบิกบานยินดีอย่างยิ่ง ในที่สุดก็ปล่อยนาง จากนั้นก็เห็นใบหน้าของนางแดงไปเป็นแถบจริงๆ เขาลูบแก้มของตน “หรวนหร่วนโกนหนวดเป็นหรือ?”“ก็มิใช่ทักษะที่ลึกซึ้งอันใดสักหน่อย คิดว่าหม่อมฉันต้องทำเป็นแน่เพคะ” นางกะพริบตาพลางยิ้มอย่างซุกซน “เมื่อก่อนหม่อมฉันก็เคยเห็นท่านอ๋องโกนมาก่อน คิดว
ก่อนหน้านี้ก็มีชายารองซู ไม่ง่ายเลยกว่าจะส่งนางไปได้ ตอนนี้ก็มีเย่ซู่ซู่มาอีก ช่างป้องกันได้ไม่หมดจริงๆ!เจียงเฟิ่งหัวจิ้มหน้าผากของนางเบาๆ “สาวน้อยที่แสนโง่งม อย่าได้คิดมากอีกเลย คิดไปก็เท่านั้น”คิมหันต์มาเยือนแล้ว ราชสำนักต้าโจวกำลังจะมีศึกสงครามอีกครั้งแล้ว เซี่ยซางไม่มีเวลาว่างมากพอจะไปบ่มเพราะความสัมพันธ์กับสตรีนางอื่นดอกหนนี้เจียงเฟิ่งหัวมิได้ขัดขวางการเป็นไปของประวัติศาสตร์มากนัก เพราะนางกลัวว่าการตัดสินใจโดยพลการของนางจะไปเปลี่ยนแปลงสิ่งใดเข้าเซี่ยซางเป็นท่านอ๋อง ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายเขาก็ต้องไปสร้างผลงานของตนเองในสนามรบอยู่ดี เขาจึงจะสามารถขึ้นนั่งในตำแหน่งรัชทายาทได้อย่างรวดเร็วที่สุด และทำให้เหล่าปวงประชาสยบต่อเขา ส่วนนางแค่ต้องทำตัวเป็นเพราะชายาเหิงอ๋องให้ดี อยู่ในตำแหน่งพระชายาของเหิงอ๋องให้มั่นก็พอแล้วนางแค่เก็บเกี่ยวหัวใจของเขาไว้ได้ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนั้น นางมิได้คาดหวังอันใด เขากับซูถิงหว่านย่อมจะทำเรื่องที่สามีภรรยาทำกันเช่นกัน หากนางจะโมโหเรื่องนั้นด้วย นางก็คงไม่เลือกแต่งกับเขาแล้วเซี่ยซางนอนหลับจนฟ้ามืดถึงได้ตื่นขึ้นมา เมื่อเขาเห็นเจียงเฟิ่งหั
สีหน้าของจีเฉินมีความกระดากอยู่บ้าง เขากำนิ้วที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแน่น ช้าเร็วต้องมีสักวันที่เขาจะให้ผู้คนทั้งแผ่นดินรู้จักเขา คุณชายใหญ่ของจวนเจ้ากรมผู้หนึ่งวางท่าอะไรกัน ก็แค่เกิดมาในท้องที่ดีเท่านั้นเองแม้ภายในใจของเขาจะไม่ยอมรับเป็นอย่างยิ่ง ทว่าบนใบหน้ากลับแสดงความเป็นมิตรสนิทสนม “เมื่อก่อนไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร วันหน้าพวกเราย่อมกลายเป็นสหายกันแน่ เพราะพวกเราต่างมีศัตรูคนเดียวกัน สกุลเจียง”หลี่เฉิงพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มถูกใจ “คนแซ่เจียงขุดหลุมบรรพบุรุษของเจ้า สังหารบิดามารดาของเจ้า หรือแย่งผู้หญิงของเจ้ากันล่ะ”จีเฉินตะลึงไป จากนั้นก็บันดาลโทสะขึ้นมาทันที “พวกมันไม่ได้แย่งผู้หญิงของข้า แต่ข้ารู้ว่าเจียงจิ่นเหยียนแย่งสตรีของใต้เท้าหลี่ ที่ใต้เท้าหลี่มาดื่มสุราดักรอดูสตรีที่ตนพึงใจแต่งกับผู้อื่นบนถนนระหว่างสกุลเจียงกับสกุลจางแต่เช้าตรู่เช่นนี้ ในใจก็คงรู้สึกย่ำแย่ยิ่งกระมัง!”เขามองไปที่ขบวนรับตัวเจ้าสาวบนท้องถนน “เจียงจิ่นเหยียนกำลังจะได้ครอบครองหญิงงามไว้ในอ้อมกอดแล้ว แต่คุณชายหลี่กลับต้องมาดื่มสุราดับทุกข์เพียงลำพังอยู่ที่นี่ เจียงจิ่นเหยียนอาศัยสิ
จีเฉินนำเรื่องของซูถิงหว่านออกมาพูดอีกครั้ง เขากลับดำเป็นขาว ล้วนเป็นการกล่าวหาเจียงเฟิ่งหัวและแสดงความเห็นใจต่อชายารองซู“นางชั่วร้ายถึงเพียงนั้นเชียว?” หลี่เฉิงเคยพบมีโอกาสได้พบกับเจียงเฟิ่งหัวมาครั้งหนึ่งเช่นกัน เพียงแวบแรกก็ทำให้คนรู้สึกว่านางงามจนชวนตะลึงนัก เป็นสตรีที่สามารถทำให้บุรุษลุ่มหลงได้ มิน่าเหิงอ๋องจึงได้เปลี่ยนใจไปรักคนใหม่ได้เร็วเช่นนี้“ตามที่เจ้าพูด เดิมเจ้าไม่ได้คิดจะแต่งกับสาวใช้นางนั้น เป็นพระชายาเหิงอ๋องวางแผนให้เจ้าแต่งกับนาง เพราะสาวใช้คิดจะยั่วยวนเหิงอ๋องเพื่อเลื่อนฐานะ เหิงอ๋องจึงยืมมือเจ้ามากำจัดสาวใช้” หลี่เฉิงกล่าวจีเฉินพยักหน้า “ใช่แล้ว”หลี่เฉิงหัวเราะพลางกล่าวว่า “เจ้าก็ซวยจริงๆ ทั้งที่เป็นพี่ชายบุญธรรมของเหิงอ๋อง ความหรูหรามั่งคั่งยศถาบรรดาศักดิ์อยู่ใกล้แค่เอื้อมแท้ๆ แต่บัดนี้กลับต้องมาตกต่ำเช่นนี้ ผู้หญิงที่แต่งงานด้วยยังมีบุรุษอื่นอยู่ในใจอีก ก็น่าอัดอั้นจริงๆ นั่นแหละ ทว่า เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับข้ากันล่ะ?”หลี่เฉิงก็มิใช่คนเขลา ไร้ยิ่งไม่ใช่คนไร้สมอง สกุลหลี่ล่วงเกินเหิงอ๋องไม่ไหวดอกนะจีเฉินกล่าวว่า “เรื่องของข้าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับคุณชา
มุมปากของจีเฉินปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “งานแต่งชนกับงานศพ นี่ช่างอัปมงคลยิ่งนัก!”“ฝีมือพวกเจ้าล่ะสิ” หลี่เฉิงกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม ที่เขาเอ่ยว่า ‘พวกเจ้า’ ย่อมหมายถึงสกุลซูกับเขา“วันนี้ไม่ว่าเจียงจิ่นเหยียนจะเดินทางสายใด เขาก็ไม่มีทางราบรื่น” ดวงตาของจีเฉินมีประกายความอำมหิตวาบผ่าน “เกรงว่าคุณหนูจางคงรอไม่ถึงขบวนเจ้าสาวไปรับตัวแล้ว”“หมายความว่าอย่างไรกัน?” หลี่เฉิงถูกคำพูดของเขาดึงดูดความสนใจขึ้นมา“ใต้เท้าหลี่ไปดูที่สกุลจางด้วยตนเองก็จะทราบแล้ว จางอวี่มั่วหน้าตาสะสวยจริงๆ แต่หากร่างกายของนางถูกคนทำให้มีมลทินแล้ว นางยังจะแต่งกับเจียงจิ่นเหยียนได้อีกหรือ? หากผู้ที่เจียงจิ่นเหยียนแต่งด้วยเป็นสตรีที่สูญเสียความบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง สกุลจางก็มีเรื่องสนุกให้ใช้ชมแล้ว”หลี่เฉิงประหนึ่งสร่างสุราขึ้นมาทันที เขาลุกขึ้นมาจากที่นั่ง “พวกเจ้าหาคนไปนอนกับจางอวี่มั่ว?”“มิใช่ข้าและมิได้เกี่ยวข้องกับข้าด้วย ผู้ใดให้พวกเขาล่วงเกินคนไว้มากเกินไปกัน” เขาไม่มีทางโง่ถึงขนาดลงมือด้วยตนเองแบบนั้น แต่เขาสามารถช่วยวางแผนได้นี่ “ใต้เท้าหลี่เป็นห่วงนางขนาดนี้ หรือว่าใต้เท้าหลี่จะชื่นชอบนางจากใจจริง ในเมื่อเป็นเ
ดวงหน้าของจางอวี่มั่วเต็มไปด้วยความเขินอาย “เช่นนั้นข้าก็เรียกท่านว่าน้องสามได้ใช่หรือไม่?”“แน่นอน พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน อีกครู่รอตอนที่พี่ใหญ่มารับเจ้าสาว ข้าก็จะกลับจวนสกุลเจียงไปกับพวกท่านด้วย”ฮูหยินผู้เฒ่าจางกล่าวอย่างยินดีว่า “แขกเหรื่อทยอยมากันแล้ว ข้าก็ต้องออกไปรับแขกแล้วเช่นกัน บัดนี้รอเพียงเจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวเท่านั้น พระชายาโปรดทรงอยู่เป็นเพื่อนมั่วเอ๋อร์สักครู่เถิดเพคะ”รอจนฮูหยินผู้เฒ่าจางจากไป เจียงเฟิ่งหัวก็ส่งสัญญาณให้อ้าวเสวี่ยออกไปตรวจสอบด้านนอกรอบหนึ่ง นางรู้ว่าไม่กี่วันก่อนฮูหยินรองสกุลจางกับจีเฉินพบหน้ากัน แต่นางไม่รู้ว่าพวกเขาหารือเรื่องใดกัน รอมาหลายวันแล้ว ก็ยังไม่เห็นพวกเขามีความเคลื่อนไหวใดจนกระทั่งจีเฉินไปพบกับหลี่เฉิงอีก ในใจของนางจึงเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาอยู่บ่อยครั้ง หากพวกเขาร่วมมือกันทั้งจากภายนอกและภายในมาทำร้ายจางอวี่มั่วเล่าวันนี้เป็นวันมงคลของพี่ใหญ่ ไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดระมัดระวังไว้ก่อนย่อมเป็นการดีหากจีเฉินกล้ามาก่อปัญหา เยี่ยงนั้นนางก็จะใช้แผนซ้อนแผน จับตะพาบในไหเสียเลยนางก็ไม่กล้าเตือนเรื่องนี้กับฮูหยินผู้
จีเฉินพาตัวหลี่เฉิงมาถึงเรือนหลังของจวนสกุลจาง ฮูหยินรองจางเห็นหลี่เฉิงก็สะดุ้งตกใจ “คุณชายหลี่” หลี่เฉิงดื่มสุรามาเล็กน้อย แต่ยังไม่ถึงกับเมา หน้าแดงเล็กน้อยเท่านั้น ที่แท้ไส้ศึกของจีเฉินก็คือฮูหยินรองจาง อาสะใภ้แท้ ๆ ของจางอวี่มั่วคิดจะเล่นงานนาง เรื่องนี้ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก! เขาคร้านจะสนใจเรื่องของสกุลจางแล้ว “ได้ยินว่าจวนสกุลจางกำลังจัดงานมงคล ข้าจึงมาขอสุราสักจอก” ฮูหยินรองจางไหนเลยจะไม่รู้ความคิดของหลี่เฉิง นางแสร้งทำทีเป็นไม่รู้ พลางส่งสายตาให้จีเฉิน “ในจวนมีแขกเหรื่อมากมาย ดูแลไม่ทั่วถึง ขอคุณชายหลี่โปรดให้อภัย คุณชายหลี่เชิญเถิด!” ฮูหยินรองจางพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าซูเรียบร้อย ว่าจะให้เยี่ยนเยี่ยนผู้เป็นบุตรีของนางแต่งเป็นภรรยาเอกของแม่ทัพน้อยซูเซวี่ยน หลังจากนี้บุตรีก็จะได้เป็นฮูหยินแม่ทัพแล้ว ด้วยเหตุผลนี้เองทั้งสองคนจึงถูกฮูหยินรองจางพาเข้ามาในจวนสกุลจางได้อย่างเปิดเผยและชอบธรรม เนื่องจากวันนี้ภายในจวนสกุลจางกำลังจัดงานมงคล บ่าวรับใช้ในจวนเองก็มิได้ขัดขวาง เพราะคิดว่าผู้มาเยือนอาจจะเป็นคนในสกุลมารดาของฮูหยินรองจางที่มาร่วมดื่มสุรามงคลในจวน ดังนั้นข้ารับใช้ในจวนจึงไม่
นางเดินไปที่เบื้องหน้าของหัวหน้ากองหยางและรองผู้ว่าจาง แล้วกล่าวเสียงหนักว่า “ใต้เท้าหยางและใต้เท้าจาง มือสังหารที่มาลอบสังหารข้าล้วนถูกจับหมดแล้ว รบกวนพวกท่านทั้งสองตรวจสอบว่าเป็นผู้ใดบงการให้พวกเขามาลอบสังหารข้า สกุลจางเกิดเพลิงไหม้ ท่านกั๋วกงและฮูหยินล้วนถูกสังหาร ทำให้ผู้คนโศกเศร้ายิ่งนัก ขอใต้เท้าโปรดตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อมอบคำอธิบายให้ท่านกั๋วกงและฮูหยินด้วย”จางอันอวี่ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเหิงอ๋องเช่นกัน ยามนี้เหิงอ๋องนำทัพไปออกศึก พวกเขาย่อมรักษาเขตเมืองหลวงให้ท่านอ๋องเป็นอย่างดี ใต้เท้าจางกล่าวด้วยความเคารพว่า “พระชายาโปรดวางพระทัย ผู้น้อยจะจัดการอย่างเข้มงวดพ่ะย่ะค่ะ”อ้าวเสวี่ยมาที่เบื้องหน้าของเจียงเฟิ่งหัวอย่างเร่งร้อน “ทูลพระชายา มือสังหารเสียชีวิตหมดแล้วเพคะ เป็นการตายจากพิษกำเริบ หัวหน้าหน่วยเย่อิ่งตรวจสอบแล้วเพคะ พวกมันไม่ใช่มือสังหารแต่เป็นหน่วยกล้าตายเพคะ”“จะพิษกำเริบได้อย่างไร?” จางอันอวี่สงสัยหยางเจิ้งก็กล่าวเสริมอีกประโยค “ฆ่าคนปิดปากน่ะสิ”หัวคิ้วของเจียงเฟิ่งหัวขมวดแน่น นางถามว่า “หน่วยกล้าตายคือสิ่งใด?” เจียงเฟิ่งหัวยังไม่ค่อยเข้าใจว่ามือสังหารกับ
สกุลจางเกิดเรื่อง จางอวี่มั่วกับราชครูเจียงและฮูหยินเจียงล้วนพากันมาแล้วในเวลานี้ สกุลจางโกลาหลไปหมด ฤๅสวรรค์คงได้ยินเสียงร้องไห้ครวญคร่ำของจางอวี่มั่วที่ดังสะเทือนเลือนลั่นไปถึงฟ้า จึงได้ส่งสายพิรุณลงมาดับอัคคีภัยครั้งใหญ่ของจวนสกุลจางสุดท้าย ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลจางก็รอเจอหน้าจางอวี่มั่วเป็นครั้งสุดท้ายไม่ไหว เจียงเฟิ่งหัวยังจำได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าฝืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายกุมมือนางไว้ “สาวน้อย บอกมั่วเอ๋อร์อย่าได้เสียใจ ปกป้องนางด้วย ขอบคุณ…”จางอวี่มั่วมองศพของสองผู้เฒ่าสกุลจาง นางร้องไห้จนสลบไปแล้ว เจียงฮูหยินรีบตระกองนางไว้ในอ้อมแขนสกุลจางเกิดคดีฆาตกรรม คนของเขตเมืองหลวงและกองกำลังรักษาความปลอดภัยนครบาลล้วนมากันหมด เมื่อจับตัวฮูหยินรองสกุลจางได้นางก็มิได้ตื่นตระหนก แต่สารภาพทันทีว่านางเป็นผู้วางเพลิง และเหตุผลก็เป็นเพราะสกุลจางหย่าขาดนางเมื่อเจียงเฟิ่งหัวเห็นสภาพที่อันน่าอนาถภายใน นางก็โมโหจนแทบเสียสติ แต่นางรู้ว่าตอนนี้ไม่ว่าใครก็สามารถไร้สติได้ มีเพียงนางที่ไม่ได้ เพราะคนร้ายตัวจริงที่ชักนำและบงการให้เกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนี้กำลังคุกเข่าอยู่ในลาน นางจะส่งมันไปลงนรกอเวจีขุมที่สิบแ
เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมิใช่เจียงเฟิ่งหัว เมื่อเข้ามาใกล้แล้วเห็นหน้านางชัดเขาถึงได้รู้ว่านางเป็นใคร ผู้ดูแลหลินของหอเซียงหย่า สตรีที่ทั้งมากรักและไม่สำรวม นางถึงกับเป็นวรยุทธ์เขาไม่คาดว่า ด้วยความสัมพันธ์ของนางกับสกุลจาง ทั้งที่สกุลจางเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้และเจียงเฟิ่งหัวก็มาถึงสกุลจางแล้ว นางยังจะหาคนมาปลอมแปลงเป็นนางได้อีกเรื่องราวถูกเปิดโปง จีเฉินอดทนต่อความเจ็บปวดที่มือคิดจะฉวยโอกาสหนีไปในความวุ่นวาย แต่หลินอวี่จะมอบโอกาสให้เขาได้อย่างไร จึงถีบหลังของเขาจนล้มหน้าคะมำจีเฉินสวมหมวกปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง ฟ้าก็มืดแล้วหลินอวี่จึงจำหน้าเขาไม่ได้ นางกล่าวว่า “ให้มารดาดูหน่อยเถอะว่าเป็นเศษสวะตัวใดที่คิดทำร้ายคนกัน”จีเฉินที่นอนหมอบอยู่บนพื้นพลิกมือคิดจะจับมือของหลินอวี่ไว้ ทว่าอ้าวเสวี่ยที่เหินกายมาอย่างกะทันหันเหยียบตัวเขาไว้ ประกายดาบในมือตวัดขึ้น ครั้งก่อนนางก็คิดจะจัดการมันแล้ว แต่ปล่อยให้มันหนีไปได้ทว่าเจียงเฟิ่งหัวเอ่ยห้าม “อ้าวเสวี่ย รอก่อน” หากเขาวางเพลิงเผาจวนสกุลจาง จนเป็นเหตุให้จางกั๋วกงและฮูหยินของจางกั๋วกงเสียชีวิตจริงๆ เขายังต้องมอบคำชี้แจงให้สกุลจาง กระทั่งยั
นางหันไปถามอ้าวเสวี่ยอีกครั้งว่า “เจ้าสามารถติดต่อองครักษ์คนอื่นของจวนอ๋องได้หรือไม่?” ตอนที่เซี่ยซางจากไป ได้ทิ้งคนไว้ให้นาง เพียงแต่นางอยู่ในวังมาตลอดจึงไม่ได้พบอ้าวเสวี่ยควักพลุสัญญาณชิ้นหนึ่งจากร่างโยนขึ้นไปบนฟ้า “เรียบร้อยแล้วเพคะ เมื่อพวกเขาเห็นสัญญาณก็จะตามมาเพคะ”รถม้าเพิ่งไปถึงหน้าจวนสกุลจาง ที่นี่ถูกชาวบ้านที่มาชมดูความวุ่นวายล้อมไว้จนแน่นขนัดไปหมด เมื่อเจียงเฟิ่งหัวเลิกม่านรถขึ้นมองออกไปด้านนอก สิ่งที่เห็นก็ทำให้รู้สึกตระหนกนัก สกุลจางเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ และเพลิงยังรุนแรงยิ่งด้วยนางจะมุดออกมาจากตัวรถแต่ถูกหลินอวี่ขวางไว้ “ครรภ์ของพระองค์ไม่สะดวกโปรดอย่าลงจากรถเลยเพคะ คนเยอะเกินไปหม่อมฉันเกรงว่าพระองค์จะถูกเบียด หม่อมฉันจะไปดูเองว่าที่แท้เกิดสิ่งใด กลับมาทูลแล้วค่อยทรงตัดสินใจก็ได้เพคะ”เจียงเฟิ่งหัวก็กังวลในเรื่องนี้เช่นกัน จึงพยักหน้า “ระวังหน่อย ให้ผู้คุ้มกันตามไปด้วยล่ะ”ผ่านไปครู่หนึ่ง หลินอวี่ก็วิ่งหอบกลับมา “ได้ยินว่าไฟเริ่มไหม้มาจากเรือนของจางกั๋วกงเพคะ คฤหาสน์ของสกุลกว่าครึ่งถูกไหม้หมดแล้ว สกุลจางยังจับคนร้ายได้อีกด้วย เป็นฮูหยินรองของสกุลจางนั่นเองเพคะ”“จาง
เหลียนเย่กล่าวว่า “บ่าวก็คิดถึงอาหารของหอเซียงหย่าแล้วเช่นกันคะ”เจียงเฟิ่งหัวยิ้มน้อยๆ ว่า “อย่างนั้นก็ต้องให้ผู้ดูแลหลินสิ้นเปลืองแล้ว”เมื่อกินข้าวเสร็จและออกมาจากร้านอาหารฟ้าก็มืดแล้ว รถม้าของจวนอ๋องก็มาจอดอยู่หน้าร้านอาหารนานแล้วเช่นกัน อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ บนท้องถนนก็ไม่มีผู้คนนักหลินอวี่กล่าวว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว หม่อมฉันจะส่งพวกพระองค์กลับไป และให้ผู้คุ้มกันของหอตามไปด้วยเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวออกจากวังมาก็ตรงไปที่ศาลาการกุศลเลย นอกจากคนขับรถม้าของจวนอ๋อง ก็ไม่ได้พาองครักษ์อื่นมาอีก หลินอวี่จะส่งนาง นางจึงมิได้ปฏิเสธคนทั้งหลายสนทนาไปหัวเราะไปขณะขึ้นรถม้า เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่า ที่ด้านหลังมีสายตาที่มืดหม่นและเยียบเย็นคู่หนึ่งกำลังจับจ้องอยู่ตลอด มุมปากของมันแสยะเป็นรอยยิ้มน่าเกลียด มั่นใจว่าครั้งนี้จะต้องวางแผนซ้อนแผนต่อเจียงเฟิ่งหัวได้แน่เพราะสายสัมพันธ์กับซูเซวี่ยน หลี่เฉิงกับจีเฉินจึงมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาเจ็บแล้วไม่จำ คิดเพียงจะแก้แค้นที่ถูกคนวางกับดักที่สกุลจางในวันนั้น แม้จีเฉินจะไม่มีหลักฐาน แต่สิ่งแรกที่เขาคิดก็คือ นี่เป็นฝีมือของเจียงเฟิ่งหัวจางอวี่มั่วแต่งงาน
เจียงเฟิ่งหัวมอบหมายเรื่องนอกวังให้พระชายาอวี้อ๋อง อีกทั้งให้หงซิ่วไปแจ้งหลินอวี่ให้แอบช่วยพระชายาอวี้อ๋อง แล้วก็เตรียมตัวกลับวังเพิ่งถึงครึ่งทาง รถม้าของเจียงเฟิ่งหัวก็ถูกขวางทาง หลินอวี่ปรากฏตัวตรงหน้านาง กะพริบตาโต ๆ ใส่นาง “พระชายาในเมื่อออกมานอกวังแล้ว ก็ไม่เห็นบอกว่าจะไปเยี่ยมหม่อมฉันสักหน่อยเลยนะเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ได้พบกันนาน ผู้ดูแลหลินขึ้นรถสิ!”หลินอวี่ขึ้นรถม้าอย่างง่ายดาย แทรกตัวเข้าไปนั่งลงข้างเจียงเฟิ่งหัว เหลียนเย่กับอ้าวเสวี่ยก็นั่งอยู่ในรถม้า โชคดีที่รถม้าใหญ่พอ นั่งสี่คนก็ยังไม่รู้สึกว่าเบียดพวกนางไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือนแล้ว เพราะเรื่องกิจการ หลินอวี่ต้องออกเดินทางไกลไปเที่ยวหนึ่งถึงได้กลับมา นางมองไปทางอ้าวเสวี่ย รู้ว่านางน่าจะเป็นองครักษ์หญิงที่เหิงอ๋องส่งมาอารักขาข้างกายพระชายา หน้าตาดูสงบเสงี่ยมงดงามพอตัวที่จริงแล้วอ้าวเสวี่ยอายุมากกว่าหลินอวี่หนึ่งปีอีกด้วย แต่ว่าหลินอวี่เติบโตมาในหอนางโลมตั้งแต่เด็ก และยังประกอบกิจการมาตั้งหลายปี กระทำการใด ๆ จึงชำชาญมากกว่าพอสมควร แต่งตัวก็ยิ่งค่อนข้างดูเป็นผู้ใหญ่นางกล่าวอย่างสนิทชิดเชื้อ “น้อง
นางเล่าเรื่องทั้งหมดให้ถานหว่านชิงฟัง โชคดีที่พวกนางเตรียมการไว้นานแล้ว สำหรับศาลาการกุศลแล้ว เรื่องนี้ดำเนินการไม่ยากเลย ราชสำนักยังจะให้เงินพวกเขาอีกด้วย เพียงไม่นานศาลาการกุศลก็จะได้เงินก้อนใหญ่มา เมื่อทุกคนมีเงิน ฤดูหนาวนี้ก็ไม่ลำบากแล้วหารือธุระเสร็จ เจียงเฟิ่งหัวพาพระชายาอวี้อ๋องออกไปจากห้องโถงใหญ่ เจอเย่ซู่ซู่หอบตะกร้าสมุนไพรทำยาเดินผ่านมาพอดีเย่ซู่ซู่ก็เห็นเจียงเฟิ่งหัว นางถวายคำนับหนึ่งครั้งอย่างเคารพนบนอบ “หม่อมฉันถวายพระพรพระชายาเหิงอ๋องเพคะ”ตอนแรกนางสามารถเข้าไปอยู่ในจวนเหิงอ๋องได้ แต่กลับถูกหลินเฟิงพามาที่นี่ นางก็พูดอะไรไม่ได้ รู้ว่าศาลาการกุศลบริหารจัดการโดยจวนเหิงอ๋อง นางอาศัยอยู่ที่นี่อย่างไรก็ต้องได้พบท่านเหิงอ๋องอีก แต่ว่าเหิงอ๋องจะต้องไปรบอีกแล้ว นางก็คิดอยากไปจากศาลาการกุศลแล้วเจียงเฟิ่งหัวมองปราดเดียวก็ดูออกว่านางมีความคิดอยากมักใหญ่ใฝ่สูงจะเข้าหาผู้สูงศักดิ์ ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ถามด้วยความเป็นห่วง “แม่นางเย่อยู่ที่ศาลาการกุศลพอปรับตัวได้ไหม?”“ขอบพระทัยพระชายาที่ทรงเป็นห่วงเพคะ หม่อมฉันอยู่ได้สบายดีเพคะ ได้มีที่ซุกหัวนอนก็ถือเป็นความโชคดีของห
เจียงเฟิ่งหัวตะลึงงัน สิ่งที่พูดมานี้ก็พูดถูกแล้ว ก็เพราะทุกคนล้วนรู้สึกว่าแต่งเข้าเป็นเชื้อพระวงศ์แล้วไม่เพียงแต่ร่ำรวยอู้ฟู่ ยังฐานะสูงส่งอีกด้วย ยิ่งไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ เพราะฉะนั้นทุกคนต่างทำใจสละตำแหน่งไม่ได้นางกลับมาเกิดใหม่อีกชาติหนึ่ง มุ่งปรารถนาสิ่งใดกันเล่า ก็ไม่พ้นยศถาบรรดาศักดิ์นั้นที่สูงส่งเหนือใคร ๆเจียงเฟิ่งหัวกล่าวเรียบ ๆ “แล้วแต่ท่านเถิด แต่หากท่านไม่สามารถปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกทำร้ายได้ ได้แต่อดทนยอมให้คนอื่นตลอดเวลาเท่านั้นเพื่อรักษาตำแหน่งพระชายาของท่านไว้ ข้าคิดว่าอย่างไรก็ไม่สมควรทำ ต่อให้แต่งกับท่านอ๋อง สุดท้ายคนที่ถูกทำร้ายได้รับความลำเค็ญก็คือตัวท่านเองอยู่ดี ได้ตำแหน่งพระชายาอ๋องมาแล้วมีความหมายอะไร”“แต่ข้าทำอะไรได้บ้างเล่า พวกผู้หญิงเราทำอะไรได้ เกิดอะไรนิดเดียวพวกเขาก็เอาเรื่องหย่ามาขู่แล้ว ไหนเลยจะเว้นหนทางรอดไว้ให้ผู้หญิงอย่างเรา” พระชายาอวี้อ๋องทอดถอนใจ “บอกเจ้าตรง ๆ ก็แล้วกัน หลายปีมานี้ที่ข้าได้ยินมาบ่อยที่สุดก็คือให้กำเนิดบุตรไม่ได้ ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกไม่ได้ แต่งกับใครก็ถูกคนชี้หน้าด่าอยู่ดีมิใช่หรือ แต่งกับท่านอ๋องดีกว่า อย่างน้อยมีฐานะสูงส่
“เยี่ยนเฟยทรงระวังคำพูดหน่อยจะดีกว่านะเพคะ! ทุกคนล้วนเป็นสตรีทั้งนั้น นางทั้งเป็นหลานสาวท่านและยังเป็นลูกสะใภ้ท่านอีกด้วย เหตุใดเยี่ยนเฟยจึงต้องทำให้นางต้องลำบากใจถึงเพียงนี้เล่า”“คนที่ข้าพูดถึงคือลูกสะใภ้ข้า แล้วเกี่ยวอะไรกับพระชายาเหิงอ๋องด้วย ฮองเฮาประชวร พระองค์มีลูกสะใภ้สองคนดูแลรับใช้อยู่ข้างพระวรกาย พอข้าป่วยแล้วข้าให้ลูกสะใภ้ข้าเข้าวังมารับใช้บ้างไม่ได้หรือไร? เป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้เหมือนกันแท้ ๆ เหตุใดจึงมีความแตกต่างเช่นนี้ หรือว่าข้าไม่ใช่แม่สามีเช่นนั้นหรือ” เยี่ยนเฟยไปสืบข่าวมาตั้งนานแล้ว ฮองเฮาก็ใช้งานพระชายารองซูไม่น้อยเหมือนกัน นางก็เพียงแค่เลียนแบบตามตัวอย่างที่มีเท่านั้นเจียงเฟิ่งหัวยังไม่เคยเจอคนที่ไร้สมองเช่นนี้ นางรู้สึกว่าเยี่ยนเฟยป่วยจริง ๆ แต่นางป่วยทางจิต“ขอเชิญพระชายาอวี้อ๋องมารับพระราชโองการเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวเสียงเข้ม “ข้านำพระราชกระแสรับสั่งจากฝ่าบาทมา หากเยี่ยนเฟยทำให้ธุระสำคัญของเสด็จพ่อล่าช้า เกรงว่ามีแต่จะต้องไปพำนักอยู่ที่ตำหนักเย็นเสียแล้ว”เยี่ยนเฟยดูท่าทางนางแล้วไม่ได้พูดโกหก แม้ว่าโกรธแต่ก็ไม่กล้าพูดมากอีกต่อไป แต่ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงทรง