จีเฉินนำเรื่องของซูถิงหว่านออกมาพูดอีกครั้ง เขากลับดำเป็นขาว ล้วนเป็นการกล่าวหาเจียงเฟิ่งหัวและแสดงความเห็นใจต่อชายารองซู“นางชั่วร้ายถึงเพียงนั้นเชียว?” หลี่เฉิงเคยพบมีโอกาสได้พบกับเจียงเฟิ่งหัวมาครั้งหนึ่งเช่นกัน เพียงแวบแรกก็ทำให้คนรู้สึกว่านางงามจนชวนตะลึงนัก เป็นสตรีที่สามารถทำให้บุรุษลุ่มหลงได้ มิน่าเหิงอ๋องจึงได้เปลี่ยนใจไปรักคนใหม่ได้เร็วเช่นนี้“ตามที่เจ้าพูด เดิมเจ้าไม่ได้คิดจะแต่งกับสาวใช้นางนั้น เป็นพระชายาเหิงอ๋องวางแผนให้เจ้าแต่งกับนาง เพราะสาวใช้คิดจะยั่วยวนเหิงอ๋องเพื่อเลื่อนฐานะ เหิงอ๋องจึงยืมมือเจ้ามากำจัดสาวใช้” หลี่เฉิงกล่าวจีเฉินพยักหน้า “ใช่แล้ว”หลี่เฉิงหัวเราะพลางกล่าวว่า “เจ้าก็ซวยจริงๆ ทั้งที่เป็นพี่ชายบุญธรรมของเหิงอ๋อง ความหรูหรามั่งคั่งยศถาบรรดาศักดิ์อยู่ใกล้แค่เอื้อมแท้ๆ แต่บัดนี้กลับต้องมาตกต่ำเช่นนี้ ผู้หญิงที่แต่งงานด้วยยังมีบุรุษอื่นอยู่ในใจอีก ก็น่าอัดอั้นจริงๆ นั่นแหละ ทว่า เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับข้ากันล่ะ?”หลี่เฉิงก็มิใช่คนเขลา ไร้ยิ่งไม่ใช่คนไร้สมอง สกุลหลี่ล่วงเกินเหิงอ๋องไม่ไหวดอกนะจีเฉินกล่าวว่า “เรื่องของข้าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับคุณชา
มุมปากของจีเฉินปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “งานแต่งชนกับงานศพ นี่ช่างอัปมงคลยิ่งนัก!”“ฝีมือพวกเจ้าล่ะสิ” หลี่เฉิงกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม ที่เขาเอ่ยว่า ‘พวกเจ้า’ ย่อมหมายถึงสกุลซูกับเขา“วันนี้ไม่ว่าเจียงจิ่นเหยียนจะเดินทางสายใด เขาก็ไม่มีทางราบรื่น” ดวงตาของจีเฉินมีประกายความอำมหิตวาบผ่าน “เกรงว่าคุณหนูจางคงรอไม่ถึงขบวนเจ้าสาวไปรับตัวแล้ว”“หมายความว่าอย่างไรกัน?” หลี่เฉิงถูกคำพูดของเขาดึงดูดความสนใจขึ้นมา“ใต้เท้าหลี่ไปดูที่สกุลจางด้วยตนเองก็จะทราบแล้ว จางอวี่มั่วหน้าตาสะสวยจริงๆ แต่หากร่างกายของนางถูกคนทำให้มีมลทินแล้ว นางยังจะแต่งกับเจียงจิ่นเหยียนได้อีกหรือ? หากผู้ที่เจียงจิ่นเหยียนแต่งด้วยเป็นสตรีที่สูญเสียความบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง สกุลจางก็มีเรื่องสนุกให้ใช้ชมแล้ว”หลี่เฉิงประหนึ่งสร่างสุราขึ้นมาทันที เขาลุกขึ้นมาจากที่นั่ง “พวกเจ้าหาคนไปนอนกับจางอวี่มั่ว?”“มิใช่ข้าและมิได้เกี่ยวข้องกับข้าด้วย ผู้ใดให้พวกเขาล่วงเกินคนไว้มากเกินไปกัน” เขาไม่มีทางโง่ถึงขนาดลงมือด้วยตนเองแบบนั้น แต่เขาสามารถช่วยวางแผนได้นี่ “ใต้เท้าหลี่เป็นห่วงนางขนาดนี้ หรือว่าใต้เท้าหลี่จะชื่นชอบนางจากใจจริง ในเมื่อเป็นเ
ดวงหน้าของจางอวี่มั่วเต็มไปด้วยความเขินอาย “เช่นนั้นข้าก็เรียกท่านว่าน้องสามได้ใช่หรือไม่?”“แน่นอน พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน อีกครู่รอตอนที่พี่ใหญ่มารับเจ้าสาว ข้าก็จะกลับจวนสกุลเจียงไปกับพวกท่านด้วย”ฮูหยินผู้เฒ่าจางกล่าวอย่างยินดีว่า “แขกเหรื่อทยอยมากันแล้ว ข้าก็ต้องออกไปรับแขกแล้วเช่นกัน บัดนี้รอเพียงเจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวเท่านั้น พระชายาโปรดทรงอยู่เป็นเพื่อนมั่วเอ๋อร์สักครู่เถิดเพคะ”รอจนฮูหยินผู้เฒ่าจางจากไป เจียงเฟิ่งหัวก็ส่งสัญญาณให้อ้าวเสวี่ยออกไปตรวจสอบด้านนอกรอบหนึ่ง นางรู้ว่าไม่กี่วันก่อนฮูหยินรองสกุลจางกับจีเฉินพบหน้ากัน แต่นางไม่รู้ว่าพวกเขาหารือเรื่องใดกัน รอมาหลายวันแล้ว ก็ยังไม่เห็นพวกเขามีความเคลื่อนไหวใดจนกระทั่งจีเฉินไปพบกับหลี่เฉิงอีก ในใจของนางจึงเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาอยู่บ่อยครั้ง หากพวกเขาร่วมมือกันทั้งจากภายนอกและภายในมาทำร้ายจางอวี่มั่วเล่าวันนี้เป็นวันมงคลของพี่ใหญ่ ไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดระมัดระวังไว้ก่อนย่อมเป็นการดีหากจีเฉินกล้ามาก่อปัญหา เยี่ยงนั้นนางก็จะใช้แผนซ้อนแผน จับตะพาบในไหเสียเลยนางก็ไม่กล้าเตือนเรื่องนี้กับฮูหยินผู้
จีเฉินพาตัวหลี่เฉิงมาถึงเรือนหลังของจวนสกุลจาง ฮูหยินรองจางเห็นหลี่เฉิงก็สะดุ้งตกใจ “คุณชายหลี่” หลี่เฉิงดื่มสุรามาเล็กน้อย แต่ยังไม่ถึงกับเมา หน้าแดงเล็กน้อยเท่านั้น ที่แท้ไส้ศึกของจีเฉินก็คือฮูหยินรองจาง อาสะใภ้แท้ ๆ ของจางอวี่มั่วคิดจะเล่นงานนาง เรื่องนี้ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก! เขาคร้านจะสนใจเรื่องของสกุลจางแล้ว “ได้ยินว่าจวนสกุลจางกำลังจัดงานมงคล ข้าจึงมาขอสุราสักจอก” ฮูหยินรองจางไหนเลยจะไม่รู้ความคิดของหลี่เฉิง นางแสร้งทำทีเป็นไม่รู้ พลางส่งสายตาให้จีเฉิน “ในจวนมีแขกเหรื่อมากมาย ดูแลไม่ทั่วถึง ขอคุณชายหลี่โปรดให้อภัย คุณชายหลี่เชิญเถิด!” ฮูหยินรองจางพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าซูเรียบร้อย ว่าจะให้เยี่ยนเยี่ยนผู้เป็นบุตรีของนางแต่งเป็นภรรยาเอกของแม่ทัพน้อยซูเซวี่ยน หลังจากนี้บุตรีก็จะได้เป็นฮูหยินแม่ทัพแล้ว ด้วยเหตุผลนี้เองทั้งสองคนจึงถูกฮูหยินรองจางพาเข้ามาในจวนสกุลจางได้อย่างเปิดเผยและชอบธรรม เนื่องจากวันนี้ภายในจวนสกุลจางกำลังจัดงานมงคล บ่าวรับใช้ในจวนเองก็มิได้ขัดขวาง เพราะคิดว่าผู้มาเยือนอาจจะเป็นคนในสกุลมารดาของฮูหยินรองจางที่มาร่วมดื่มสุรามงคลในจวน ดังนั้นข้ารับใช้ในจวนจึงไม่
ฮูหยินรองเอ่ย “เจ้าคิดจะทำอะไร?” นางไม่กล้าคิดร้ายต่อพระชายาเหิงอ๋อง จีเฉินยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้าน้อยกับพระชายามีมิตรภาพต่อกัน ก็แค่อยากจะเชิญนางมาร่วมนึกถึงวันเก่า ๆ วางใจเถิด ข้าไม่กล้าทำอะไรหรอก ก็แค่พูดคุยกันสักหน่อยเท่านั้นเอง” “เจ้า? พูดคุย นางจะยอมคุยกับเจ้าหรือ?” พระชายารองไม่เชื่ออย่างชัดเจน ครั้งก่อนนางก็เห็นประจักษ์แล้ว กับท่าทีของพระชายาเหิงอ๋องที่มีต่อเขา “ไม่ต้องลำบากให้ฮูหยินรองเชิญนางมา ขอแค่ให้สาวใช้ไปบอกนางว่าแม่นางจางมีธุระอยากพบนางเท่านั้นก็พอแล้ว จากนั้นก็พามาที่เรือนหลังเท่านี้ก็ไม่ต้องรบกวนท่านแล้ว” จีเฉินเสริมอีก “ที่บุตรีของท่านแต่งแก่แม่ทัพน้อยซูได้ มิใช่เพราะข้าน้อยออกหน้าคุยธุระกับฮูหยินผู้เฒ่าซูให้หรอกหรือ ต่อจากนี้พวกเราสองสกุลก็จะเป็นเครือญาติกันแล้ว” ฮูหยินรองจางคิดเงียบ ๆ ในใจ จริงอยู่ที่จีเฉินเป็นคนช่วยเชื่อมโยงนางและฮูหยินผู้เฒ่าซูเข้าด้วยกัน ฮูหยินผู้เฒ่าซูก็เห็นด้วยกับพิธีแต่งงานในครั้งนี้ รอให้ผ่านงานมงคลของจางอวี่มั่วไปก่อน สกุลซูก็จะมาสู่ขอแล้ว อีกอย่างฮูหยินผู้เฒ่าซูก็ได้มอบเครื่องยืนยันหมั้นหมายไว้แล้วด้วย พอนึกให้ชัดเจน ฮูหยินรองจางก
อ้าวเสวี่ยผงะไป ให้นางเปลื้องอาภรณ์ของบุรุษ นางไม่ทำเด็ดขาด นางเป็นดรุณีที่ยังไม่เคยต้องมือชาย เจียงเฟิ่งหัวย่อมรู้ว่าอ้าวเสวี่ยหน้าบาง แต่นางเองก็ไม่อยากไปเปลื้องอาภรณ์บุรุษ แค่รู้สึกว่ามันจะเปื้อนมือของนาง ส่วนเหลียนเย่ก็อยู่ที่เรือนหน้า ดังนั้นนางจึงตะโกนเรียกให้ชิวจวี๋ที่อยู่ด้านนอกเข้ามา ชิวจวี๋เข้ามาก็คุกเข่าลงต่อหน้าเจียงเฟิ่งหัวทันที “บ่าวทำตามประสงค์ของพระชายาแล้ว ยาถอน…” เจียงเฟิ่งหัวเกลียดคนประเภททรยศเจ้านายที่สุด จึงเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “ยาถอนพิษข้าให้เจ้าได้ แต่เจ้าต้องเปลื้องอาภรณ์ของพวกมันออกก่อน” ชิวจวี๋ผงะไป กระนั้นก็ไม่กล้าคัดค้าน เดินเข้าไปปลดสายคาดเอวของทั้งสองออกก่อน จากนั้นก็เปลืองอาภรณ์ของสองคนจนเหลือแค่กางเกงชั้นในตัวเดียวและเอ่ยขึ้นว่า “เรียบร้อยเจ้าค่ะ ยาถอนพิษน่าจะให้บ่าวได้แล้วนะเจ้าคะ!” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางให้ความร่วมมือเพียงนี้ ก็เอ่ยอีกครั้งว่า “เจ้าช่วยข้าทำเรื่องสุดท้ายให้สำเร็จ ข้าจะให้ยาถอนพิษเจ้าทันที และจะปล่อยเจ้าไป” ชิวจวี๋กัดฟันกรอด ๆ จนฟันแทบแตก แต่ก็ไม่มีทางเลือก “พระชายาเชิญกล่าว” เจียงเฟิ่งหัวประชิดเข้าไปใกล้ใบหูของนาง “พ
นางรู้สึกว่าหากนายท่านรองมาเห็นฮูหยินรองในสภาพนี้ นางต้องถูกทุบตีจนตายแน่ ท้องฟ้าของจวนสกุลจางจะต้องถล่มลงมาแน่! ชิวจวี๋ลอบมองเจียงเฟิ่งหัวปราดหนึ่ง รู้สึกว่านางทั้งใจดำ เจ้าเล่ห์ และน่ากลัว แผนการทำร้ายคนแบบนี้ยังคิดออกมาได้ เจียงเฟิ่งหัวคำไหนคำนั้น สั่งให้อ้าวเสวี่ยนำยาถอนพิษออกมาให้นาง และให้นางรีบหนีออกไป หากว่าถูกจับกลับมานั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับนางอีกต่อไป ชิวจวี๋ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็หลบหนีออกจากจวนสกุลจางไปเลยทันที และในขณะเดียวกัน ขบวนรับเจ้าสาวของสกุลเจียงก็มาถึงจวนสกุลจางแล้วเช่นกัน จางอวี่มั่วคอยอยู่ในห้องตลอด ทุกอย่างราบรื่นดีไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น ทว่าในใจของนางกลับกังวลและประหม่า และยังรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับว่าต้องรอจนกว่าเจียงจิ่นเหยียนจะมาถึงจิตใจของนางจึงจะสงบลงได้อย่างไรอย่างนั้น เพราะสวมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไว้ นางจึงมองไม่เห็นสายตาด้านนอก เห็นเพียงฝ่ามือข้างหนึ่งที่มองเห็นข้อนิ้วชัดเจนยื่นเข้ามากุมมือของนางเอาไว้ นางเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า “ได้เจอพระชายาเหิงอ๋องแล้วหรือยัง?” เจียงจิ่นเหยียนผงะไป ก่อนจะตอบนางด้วยเสียงแผ่วเบาเช่นกัน “ยังไม่พบหรวนหร่วน นา
เรือนชั้นในของจวนสกุลจาง เสียงกรีดร้องด้านในดึงดูดความสนใจของแขกในจวนได้ในเสี้ยวพริบตา หลังจากทุกคนได้ยินเสียงต่างพากันวิ่งกรูไปยังต้นเสียงทันที วันนี้แขกเหรื่อที่สามารถมาร่วมงานเลี้ยงมงคลของจวนสกุลจางได้นอกจากขุนนางอำมาตย์ใหญ่ในราชสำนักและครอบครัวแล้ว คนในสกุลมารดาของฮูหยินแต่ละท่านย่อมอยู่ในงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน นายท่านรองจาง นายท่านสามจางรวมถึงคนอื่น ๆ ต่างก็กรูกันไปดูสถานการณ์ที่เรือนหลังเช่นกัน ประโยคแรกที่พวกเขาได้ยินก็คือ “ฮูหยินรองลักลอบสมคบชู้กับบุรุษสองคนเจ้าค่ะ” นายท่านรองพุ่งเข้าไปในห้องข้างทันที เห็นเพียงเรือนร่างขาวเปลือยเปล่าหลายร่างพัวพันอยู่ด้วยกัน เสี้ยวพริบตาเดียวสีหน้าของเขาพลันบิดเบี้ยวเหมือนไส้เดือนดิ้นไปมา ความสัมพันธ์สามีภรรยาระหว่างเขากับฮูหยินของเขาแต่เดิมก็ไม่สู้ดีอยู่ก่อนแล้ว เขาเองก็มีอนุภรรยาอยู่เป็นโขยง ทว่าเรื่องที่ฮูหยินรองกล้าลักลอบสมคบชู้กับชายอื่นหลอกสวมหมวกเขียวให้เขาเป็นเรื่องที่รับไม่ได้อย่างเด็ดขาด เขาตะโกนด่าทันควัน “นังแพศยา นังหญิงสำส่อน เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” ไม่ว่าเสียงของเขาจะดังสักแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถปลุกคนเหล่านี้ให้ตื่นขึ้นมา
แต่หากฮองเฮาทำให้เขาโมโห เขาก็สามารถทอดทิ้งนาง ทรมานนางได้เช่นกันเพราะเขาคือฮ่องเต้ที่สูงส่งเหนือผู้ใด เคยชินกับการมีสตรีคอยเอาอกเอาใจและเชื่อฟังมานานแล้ว ก็แค่นั้นเอง ดังนั้นฮ่องเต้และฮองเฮาจะมีความผูกพันฉันสามีภรรยาได้สักเท่าไรนางรับรู้ได้ถึงความเย็นชาไร้น้ำใจของฮ่องเต้มีเพียงใช้ชีวิตอย่างไร้ใจไร้ไมตรีเท่านั้นจึงจะไม่เจ็บปวดนางคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าเส้นทางที่นางต้องเดินก็คือทางสายเก่าของฮองเฮา แต่เส้นทางของนางกับฮองเฮาก็แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง เพราะนางจะกุมหัวใจของเซี่ยซางไว้ให้มั่น แล้วเหยียบซูถิงหว่านกับสกุลซูทั้งตระกูลขึ้นสู่ตำแหน่งหากมีวันหนึ่ง พวกมันได้รู้ว่า ความร่ำรวยหรูหรายศถาบรรดาศักดิ์ที่พวกมันเคยได้เพลิดเพลินในชาติก่อน ถูกตัวนางในชาตินี้ทำลาย ไม่รู้ว่าพวกมันจะสำนึกเสียใจต่อทุกสิ่งที่เคยทำร้ายนางหรือไม่เส้นทางนี้ทั้งยาวนานและยากลำบากอย่างยิ่ง ทว่าขอเพียงนางค่อยๆ วางแผนไปทีละก้าว ก็ไม่มีอุปสรรคใดที่ไม่อาจเอาชนะ นางมีความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะได้เห็นฉากที่พวกมันก้มกราบศิโรราบอยู่บนพื้นทางด้านนี้ เหล่าองค์ชายกำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการแสดงออกถึงความกตัญญูของตน แ
เซี่ยซางได้ยินนางกล่าวเช่นนั้นจึงไม่บังคับนางอีก ต้าโจวให้ความสำคัญกับจริยธรรมที่สุด การที่นางกตัญญูต่อเสด็จแม่ทำให้เขารู้สึกภูมิใจยิ่งเพื่อให้เจียงเฟิ่งหัวสบายขึ้นหน่อย เซี่ยซางสั่งให้คนนำเก้าอี้เล็กๆ มาไว้ข้างเตียง ท้องของนางไม่ใหญ่มาก ประกอบกับนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำให้ไม่เหนื่อย อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่ล้วนรออยู่ข้างนอก เขาได้สั่งให้คนไปรับคนทั้งสองมาเช่นกัน บัดนี้นางอยู่ในสถานการณ์พิเศษ ข้างกายไม่อาจไร้คนดูแลกฎระเบียบภายในวังพวกนี้ เขาย่อมไปทูลขอให้เสด็จพ่อทรงอนุโลมเองเขาเห็นทั้งหมดว่า เจียงเฟิ่งหัวดูแลเสด็จแม่อย่างใส่ใจเพียงใด และก็รู้สึกภาคภูมิใจยิ่งที่ได้แต่งกับภรรยาทั้งงามสง่าและมีคุณธรรมเช่นนี้หมอหลวงหวังไปเขียนใบรายการยาและต้มยาด้วยตนเองอีกครั้งรอจนคนจากไป สี่หมัวมัวก็ก้าวออกมาเบื้องหน้าอย่างกะทันหัน จากนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าเซี่ยซางเพื่อขอรับโทษ“ล้วนต้องโทษบ่าวที่ไม่ได้ดูแลฮองเฮาให้ดี บ่าวมีความผิดเพคะ บ่าวก็เคยเกลี้ยกล่อมให้ฮองเฮาทรงคลายพระทัยแล้ว แต่พระนางตรัสว่ามักทรงรู้สึกผิด…”แววตาของนางดูร้อนใจคล้ายมีคำพูดที่อยากจะกล่าว แต่ก็ราวกับไม่กล้าเล่าสิ่งใดทั้งสิ้น เซี
เฉิงฮองเฮาลืมตาขึ้นเล็กน้อย ราวกับสติไม่แจ่มใสนัก น้ำเสียงของนางแหบพร่าและอ่อนแรง “ซางเอ๋อร์มาแล้วหรือ แค่กๆ…แม่ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลหรอก” กล่าวจบนางก็หลับตาลงอีกครั้ง ราวกับเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าเหลือเกิน และคล้ายกลับหมดสติไปอีกครั้งแล้วดวงตาของเซี่ยซางแดงระเรื่อ เขาคุกเข่าลงข้างเตียง “เป็นลูกอกตัญญู เสด็จแม่ทรงป่วยหนักถึงเพียงนี้ ลูกกลับไม่รู้เลย เสด็จแม่ทรงไม่สบายที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ให้หมอหลวงตรวจดูสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาส่ายหน้า หางตามีหยดน้ำตาซึมออกมา ในขณะที่สะลึมสะลือนางก็ร้องไม่หยุดว่า “เจ็บ”นางยิ่งเป็นเช่นนี้เซี่ยซางก็ยิ่งปวดใจ ถามว่านางเจ็บที่ใดนางก็บอกได้ไม่ชัดเจนเซี่ยซางสัมผัสหน้าผากของนาง ดวงตาเต็มไปด้วยความร้อนใจ “เหตุใดจึงได้ร้อนเช่นนี้”เขารีบให้คนตักน้ำมา บิดผ้าเช็ดหน้าวางลงบนหน้าผากของนาง แล้วตวาดใส่นางกำนัลด้วยความโมโหทีหนึ่งว่า “พวกเจ้าดูแลเสด็จแม่อย่างไรกัน”นางกำนัลตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้น “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวกล่าวว่า “ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะทำให้เสด็จแม่ทรงดีขึ้นได้อย่างไร หม่อมฉันได้ยินเสด็จแม่ร้องว่าเจ็บ เหตุใดจึงทรงเจ็บ แล้วเจ็
“เช้าวันนี้ตอนที่หม่อมฉันจะเข้าวัง ได้ยินพ่อบ้านเฉิงพูดว่าจะจัดเตรียมชุดกันหนาวให้ชายารองซู ดูเหมือนชายารองซูจะเดินทางไกลนะเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวขึ้นมาอีก“นางจะไปที่ใดกัน ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วนางยังคิดจะไปที่ใดอีก” เฉิงฮองเฮากล่าวเสียงหนัก“แม่ทัพน้อยสกุลซูกลับเมืองหลวงแล้ว ชายารองซูน่าจะไปที่จวนสกุลซูเพราะฮูหยินผู้เฒ่าซูยังพักอยู่ที่นั่นเพคะ”“นางเฒ่านั่นจะกลับชายแดนแล้ว ได้กราบทูลต่อฝ่าบาททราบแล้ว”เจียงเฟิ่งหัวกล่าวว่า “ชายารองซูคงมิได้คิดจะกลับไปกับฮูหยินผู้เฒ่าซูกระมังเพคะ!”“นางจะไปก็ไปเถอะ ทางที่ดีที่สุดอย่าได้กลับมาอีกตลอดกาลเลย…”นางเพิ่งกล่าวคำพูดนี้จบ เจียงเฟิ่งหัวก็เอ่ยเตือนว่า “ท่านอ๋องก็จะไปชายแดนแล้วเช่นกันเพคะ ชาวหูมีเจตนาจะก่อสงคราม ท่านอ๋องได้ถวายฎีกาขอออกศึกแล้วเพคะ รอได้รับราชโองการก็จะออกเดินทาง” พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เซี่ยซางบอกนาง นางมิได้โป้ปด ส่วนที่เหลือก็รอให้ฮองเฮาไปคาดเดาเอาเอง“ซูถิงหว่านคิดจะตามกองทัพไปทำศึกด้วย ราชสำนักต้าโจวไม่มีธรรมเนียมให้แม่ทัพพาสตรีในครอบครัวไปออกรบด้วยมาก่อน หากซางเอ๋อร์รับราชโองการแล้วนางคอยติดตามอยู่ด้านข้างจริงๆ นางคิ
เจียงเฟิ่งหัวรู้ถึงสถานการณ์ของสกุลเฉิง ชาติที่แล้วก็เป็นเช่นนี้ ชีวิตของเฉิงฮองเฮาไม่ดี วันเวลาของสกุลเฉิงก็ไม่ดีไปด้วยแม้นางจะเป็นภรรยาเอกของเซี่ยซาง แต่ก็ทำให้สกุลเจียงทั้งตระกูลพลอยเดือดร้อนมีชีวิตอย่างยากลำบากเช่นกัน ดังนั้นนางจึงเข้าใจเฉิงฮองเฮาเป็นอย่างดีแต่เมื่อได้ฟังเฉิงฮองเฮากล่าวกับนางด้วยตนเองเช่นนี้ ความรู้สึกก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่างน้อยที่สุด เฉิงฮองเฮาก็เห็นนางสะใภ้ผู้นี้เป็นคนกันเองแล้วหากเฉิงฮองเฮาเต็มใจช่วยนางจัดการกับซูถิงหว่าน นางก็ไม่รังเกียจจะช่วยพูดให้สกุลเฉิงต่อหน้าเซี่ยซางสักประโยคสองประโยคขอเพียงแม่ทัพเฉิงสามารถคว้าโอกาสไว้ได้ การที่พวกเขาคิดจะไต่เต้ายิ่งขึ้นไป ก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของสกุลเจียงแต่อย่างใดศัตรูที่พวกเขามีร่วมกันล้วนเป็นสกุลซู เรื่องดีๆ เช่นนี้เหตุใดนางจะไม่ทำเล่าเจียงเฟิ่งหัวยิ้มบางๆ ว่า “ความหมายของเสด็จแม่คือ หากท่านอ๋องจะออกศึก ทรงหวังให้พระองค์นำชนรุ่นหลังของจวนแม่ทัพเฉิงไปด้วยใช่ไหมเพคะ” ได้แต่ช่วยดันคนรุ่นหลังก่อน เพราะในชาติก่อน แม่ทัพเฉิงก็คว้าโอกาสนี้ไว้ไม่ได้ หากเขาไปขอราชโองการอย่างบุ่มบ่าม เกรงว่าจะทำให้ฮ่องเ
วันถัดมา เจียงเฟิ่งหัวเข้าวังแต่เช้าเมื่อฮองเฮาเห็นนางมา ก็จูงมือนางไปนั่งข้างกายอย่างยินดี แล้วถามไถ่อย่างอบอุ่นว่า “ช่วงนี้สุขภาพดีขึ้นหรือยัง ยังอาเจียนอยู่หรือไม่?”“ทูลเสด็จแม่ ดีขึ้นมากแล้วเพคะ อยากอาหารและรับประทานได้มากขึ้น และไม่อาเจียนแล้วเพคะ” นางตอบอย่างซื่อตรงตามความจริงฮองเฮาเห็นเจียงเฟิ่งหัวท้องได้สี่เดือนแล้วแต่ยังผ่ายผอมถึงเพียงนี้ ดวงหน้าจะยังคงงามพิลาสเหนือปุถุชน แต่หน้าอกอวบอิ่มขึ้นไม่น้อย ดูแล้วยิ่งมีเสน่ห์ บรรยากาศรอบกายให้ความรู้สึกสดใส นางยิ่งมองก็ยิ่งพอใจที่ตอนนั้น ตนเองเลือกสะใภ้ที่งดงามดั่งดอกไม้ น่ารักน่าใคร่เช่นนี้ให้แต่งกับเขานางกล่าวอย่างเป็นห่วงว่า “หรวนหร่วนต้องกินให้มากหน่อย ตอนนี้เจ้าคนเดียวต้องกินอาหารสำหรับสามคน ดังนั้นอย่าได้ควบคุมปริมาณอาหารเพื่อความงามเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรเด็กก็สำคัญที่สุด ส่วนรูปร่างนั้นค่อยไปควบคุมภายหลังก็ได้”“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ เสด็จแม่ทรงวางพระทัยเถิด เด็กๆ แข็งแรงมากเพคะ” แม้ปากของเจียงเฟิ่งหัวจะกล่าวอย่างเคารพ ทว่าภายในใจกับกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ นี่ก็เป็นวัตถุประสงค์ที่นางเข้าวังมาในวันนี้เช่นกัน นางกล่าวต่อ
มุมปากของเซี่ยซางมีรอยยิ้ม “ที่แท้หวานหว่านก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้วจริงๆ”“ท่านอ๋องทรงลองชิมดูสิเพคะ อาหารจานนี้เรียกว่าคลื่นมรกต ทั้งเลิศรสและให้ความรู้สึกสดชื่นมากเลยเพคะ”เซี่ยซางหยิบตะเกียบขึ้นมาชิมไปคำหนึ่ง สดชื่นจริงดั่งว่า รสชาติมีเอกลักษณ์และมีกลิ่นหอม คล้ายรสชาติที่เจียงเฟิ่งหัวชื่นชอบ แต่เพราะตอนนี้นางตั้งครรภ์จึงเปลี่ยนมาชอบทานเนื้อซูถิงหว่านกล่าวต่อว่า “เมื่อก่อนหม่อมฉันมักชอบกินเนื้อ แต่กลับไม่รู้ว่าเนื้อมื้อหนึ่งของหม่อมฉัน หากอยู่ในครอบครัวชาวบ้านธรรมดา พวกเขาจะกินได้แค่ปีละครั้งเท่านั้น”“เป็นแบบนั้นจริงๆ ครั้งนี้ข้าไปบรรเทาทุกข์ที่เจียงหนาน ล้วนกล่าวกันว่าเจียงหนานมั่งคั่ง ราษฎรอุดมด้วยเสื้อผ้าอาหาร แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่พรั่งพร้อมด้วยเสื้อผ้าอาหารมีเพียงผู้สูงศักดิ์ร่ำรวย ส่วนชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก รวมกับต้องมาประสบอุทกภัยในช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงอีก ชีวิตของความเป็นอยู่ของชาวบ้านก็ยิ่งลำเค็ญ พวกเขาต้องเอาชีวิตรอดจากฤดูหนาวนี้ให้ได้ ถึงจะรอถึงช่วงเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า” เซี่ยซางบรรยายอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง เขาเกือบจะเรียกหรวนหร่วน
เจียงเฟิ่งหัวมองดูอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ หันไปทางพวกนาง กล่าวอย่างสงบเยือกเย็น “ทุกคนมากินด้วยกันเถอะ อย่าให้เสียของ คืนนี้สวีหมัวมัวต้มน้ำแกงเนื้อแพะ วันหนาว ๆ กินแล้วจะได้อุ่นท้อง”เหลียนเย่โมโหจนปากคว่ำจะโค้งถึงฟ้าแล้ว สายตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง “ท่านอ๋องทรงทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน พระชายาทรงเริ่มเตรียมมาตั้งแต่บ่าย อย่างน้อยเสวยแล้วค่อยไปสิเพคะ!”หงซิ่วกล่าว “เจ้าพูดให้น้อย ๆ หน่อยเถอะ อย่างน้อยท่านอ๋องกลับจวนมาแล้วเรื่องแรกที่ทำก็คือนึกถึงพระชายาของเรา” ยิ่งไปกว่านั้นขณะนี้ร่างกายของพระชายาไม่สะดวกปรนนิบัติ ย่อมทำให้พระชายารองซูฉวยโอกาสได้ ความกังวลของสวีหมัวมัวก็มาเยือนจริง ๆ หงซิ่วก็ได้รับการฝึกฝนมาแล้ว หลาย ๆ เรื่องนางมองได้ทะลุปรุโปร่ง ในช่วงที่เรียนกับพ่อบ้านเฉิงนี้ นางก็ได้เรียนรู้มามาก แต่นางมุ่งไปที่การวางแผนเพื่อพระชายามากกว่า ไม่ว่าท่านอ๋องจะมีผู้หญิงสักกี่คน นางก็รู้สึกว่าการได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องภายในของจวนอ๋องนั้นสำคัญกว่าพระชายามีอำนาจในมือ ใครก็รังแกนางไม่ได้โชคดีที่ท่านอ๋องมอบอำนาจทั้งหมดในจวนให้พระชายาแล้ว ส่วนพระชายารองซู นางก็เพียงแค่อยากล่อลวงท่า
“ท่านอ๋องทรงคิดเห็นอย่างไรเพคะ?” เจียงเฟิ่งหัวถาม“ไม่รบย่อมเป็นการดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ว่าหากพวกมันคิดอยากมารนหาที่ตายจริง ๆ ต้าโจ้วก็ไม่กลัวพวกมัน” แววตาเซี่ยซางลุ่มลึก มีความเหี้ยมเกรียมแผ่ออกมา “เสียงจากขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่ถวายคำแนะนำให้เจรจาสันติภาพมีมากกว่าเสียงที่สนับสนุนให้เตรียมรับสงคราม พวกผู้เฒ่าเหล่านั้นกลับไม่รู้ว่ายิ่งถอย พวกเผ่าหูยิ่งกำเริบเสิบสาน พวกมันก็จะยิ่งนึกว่าต้าโจวกลัวพวกมัน เรื่องนี้ก็จะไม่มีวันจบสิ้น”เจียงเฟิ่งหัวน้ำเสียงสบาย ๆ ในแววตาเหมือนมีแสงดาวส่องประกาย นางถึงกับดูเหมือนว่าหลงใหลและบูชาเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเลยทีเดียว ทำให้เซี่ยซางนึกว่าในสายตาและในใจนางมีแต่เขาและเขาเท่านั้น เติมเต็มความรู้สึกชายเป็นใหญ่ของเขานางยิ้มน้อย ๆ กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “หม่อมฉันเชื่อว่าท่านอ๋องต้องปกป้องประชาราษฎรชาวต้าโจวได้อย่างแน่นอนเพคะ หากจะต้องสู้รบคราวนี้จริง ๆ ต้าโจวของเราก็มีโอกาสที่จะชนะ หม่อมฉันสนับสนุนท่านอ๋องอย่างไม่มีเงื่อนไข ต่อให้เลวร้ายที่สุด พวกเราก็ยังมีศาลาการกุศล ช่วงที่ท่านไม่อยู่ พระชายาอ๋องสาวและพระชายาอ๋องรอง อีกทั้งเหล่าสตรีในเมืองหลวง พวกนาง