จีเฉินพาซูถิงหว่านมาหลบอยู่ในที่มืด เขาเข้าไปกระซิบข้างหูนาง “อยากเอาชนะศัตรู ก็ต้องรู้เขารู้เรา จึงจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เจ้าพุ่งเข้าชนโดยไม่สนใจใด ๆ ทั้งสิ้นเช่นนี้ มีแต่จะเจ็บตัว”“จุดอ่อนของเจียงเฟิ่งหัวคืออะไร?” เขาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายซูถิงหว่านคิดอยู่นาน ส่ายหัวไปมา “ข้าไม่รู้ นางทำตัวอ่อนแอ พอนางร้องไห้เซี่ยซางก็จะสงสารนาง ข้าก็ทำอะไรนางไม่ได้”จีเฉินกล่าว “นี่ก็คือความชาญฉลาดของนาง ผู้หญิงแสดงความอ่อนแอต่อหน้าผู้ชาย ผู้ชายก็จะเกิดความเมตตาสงสารนาง นานวันเข้า นางก็ย่อมล่อลวงผู้ชายไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้านั้นของนางต่างหากคืออาวุธสำคัญที่สุดของนาง นี่คือสิ่งที่เรียกว่ายอดบุรุษยากจะฝ่าด่านหญิงงามไปได้”ซูถิงหว่านได้ฟังแล้ว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “นางก็ใช้ใบหน้านี้ของนางนี่แหละยั่วยวนเซี่ยซาง ข้าละอยากทำลายมันเสียจริง”“ล่อลวงเซี่ยซางไปได้ เกรงว่านางจะไม่ได้อาศัยรูปโฉมอันงดงาม แต่เป็นเล่ห์เหลี่ยมของนางต่างหาก…” จีเฉินพูดคำเดียวก็กระจ่าง “บุตรสาวราชครูคนหนึ่ง ไม่ได้รอบรู้เท่านั้น ยังหน้าตาสะสวยถึงเพียงนี้อีกด้วย นางแสดงท่าทางต่อหน้าเซี่ยซางเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็
ในเสี้ยววินาทีนั้น ภายในใจของซูถิงหว่านก็เบิกบานขึ้นมาทันที “พี่เฉิน ความหมายของท่านคือพวกเราควรลงมือจากจุดนี้”วันทั้งวัน นางเอาแต่ต่อสู้แย่งชิงให้เซี่ยซางมาที่ห้องของนาง แต่เจียงเฟิ่งหัวทำเพียงกระดิกนิ้ว เซี่ยซางก็ไปที่เรือนของนางแล้ว มีเพียงทำให้นางหายไปอย่างสมบูรณ์เซี่ยซางจึงจะไม่คิดถึงนางอีกเจียงเฟิ่งหัวให้นางอ่านหนังสืออยู่ที่จวน นางก็มิได้จะสอบจอหงวนสักหน่อย อ่านหนังสือมากมายเพียงนี้ไปทำไมกัน นางจงใจหารังแกนางชัดๆ แต่เซี่ยซางยังดันไปเห็นด้วยอีกเมื่อนึกถึงเมื่อครู่หลังจากที่เขาเมาสุราก็เอาแต่พูดถึงหรวนหร่วน หัวใจของนางล้วนก็กำลังหลั่งเลือดออกมาภายหลังที่เจียงเฟิ่งหัวให้คนไปส่งจางอวี่มั่วกลับจวน นางก็กลับไปที่หอเซียงหย่า เห็นเซี่ยซางยังคงหลับอยู่ นางจึงดึงเจียงจิ่นเหยียนไปอีกทาง “พี่ใหญ่ ที่แท้ท่านชอบผู้ใดกันแน่? จางอวี่มั่วหรือซางอวี๋เพียนเพียน?”นางเตือนขึ้นอีกครั้งว่า “หากพี่ใหญ่ชอบซางอวี๋เพียนเพียน ฐานะของนางไม่ใช่ผู้ที่สกุลเจียงของเราจะเทียบเคียงได้ ในอนาคตนางจะ…” นางมิได้กล่าวคำพูดด้านหลังออกมาเจียงจิ่นเหยียนก็รู้ว่าไม่อาจมีความเกี่ยวข้องกับซางอวี๋เพียนเพียนมากเกิน
“ไม่ใช่เรื่องของผู้อื่น เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของหม่อมฉันเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวต่ออีกครั้ง “หม่อมฉันไม่อยากให้พวกเขาเกิดเรื่อง”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะเกิดเรื่อง? อีกอย่างพวกเขาจะเกิดเรื่องอะไรได้” เซี่ยซางถามนางเสียงหนักในชั่วขณะ เจียงเฟิ่งหัวก็ไม่อาจตอบได้เซี่ยซางแต่งกายเรียบร้อยนานแล้ว เมื่อลุกขึ้นมาก็เดินผ่านนางออกประตูไปทันทีเจียงเฟิ่งหัวงุนงงไปหมด เขาโมโหด้วยเหตุใดกัน เป็นเขาที่อาเจียนใส่นางไปทั้งร่างชัดๆช่างประหลาดเหลือเกินนางไม่อยากเดาว่าเหตุใดเขาจึงได้โทโสเช่นนี้ ยกชายกระโปรงไล่ตามออกไป “ท่านอ๋อง รอหม่อมฉันด้วยสิเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวไล่ตามออกไป เขาชะงักฝีเท้าไปชั่วขณะหนึ่งแล้วกลับเร่งความเร็วขึ้นอีกหลินอวี่ที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็ไล่ตามออกมาเช่นกัน ก็เห็นเจียงเฟิ่งหัวยืนอยู่หน้าบันได “เกิดสิ่งใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”ในครั้งนี้ เจียงเฟิ่งหัวไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเซี่ยซางจึงได้เป็นเช่นนี้ นางกำชับให้หลินอวี่ดูแลเจียงจิ่นเหยียนให้ดีก็ออกจากหอเซียงหย่าไปในตอนที่นางออกมา เซี่ยซางไม่ได้รอนางจริงๆ เขาจากไปแล้วนางรู้ว่าเซี่ยซางเจ้าอารมณ์ แต่นางไม่เคยรู้มาก่อนว่า
เจียงเฟิ่งหัวได้ยินเขาเรียกขานเป็นพี่เป็นน้องกับเซี่ยซางก็รู้สึกรำคาญขึ้นมาทันที ยิ่งรำคาญที่เขาเอาแต่เรียกน้องสะใภ้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยการเสแสร้งแกล้งทำเป็นเคร่งขรึมจริงจังนางก็ไม่คิดจะไว้หน้าจีเฉิน “ที่นี่เป็นฝ่ายในของจวนอ๋อง คุณชายจีอย่าได้บุกเข้ามาง่ายๆ จะดีกว่า เพราะต่อให้คุณชายจีเป็นพี่บุญธรรมของชายารองซู ทว่าก็ยังเป็นเพียงพี่ชายบุญธรรมเท่านั้น คนมากปากก็มาก คุณชายจีอย่าให้ชายารองซูต้องถูกคนวิพากษ์วิจารณ์จะดีกว่า”กล่าวจบ นางก็ยืดหลังตรงแล้วเดินจากไปทันทีจีเฉินตะลึงไป จากนั้นมุมปากก็ยกเป็นรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมา ช่างเป็นปากที่คมกล้านัก ช่างเป็นหญิงที่งดงามมากสามารถไร้ผู้เปรียบจริงๆ......เซี่ยซางสะกดกลั้นความขุ่นเคืองมาหลายวัน ในที่สุดก็อดถามหลินเฟิงไม่ได้ “หลายวันมานี้เจ้ามัวไปอยู่ที่ใดมา?”หลินเฟิงถูกถามจนมึนงง “ข้าน้อยก็คอยติดตามท่านอ๋องอยู่ตลอด มิได้ไปที่ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ!”ความโมโหของเซี่ยซางพวยพุ่ง “ปกติเจ้าไม่ได้ชอบวิ่งมั่วไปทั่วหรือ? ทำไมตอนนี้ถึงได้ว่านอนสอนง่ายนักเล่า”หลินเฟิงจึงตระหนักได้ขึ้นมา หลายวันมานี้ท่านอ๋องล้วนมิได้ไปที่หอหล่านเยว่ หลังกลับจากหอเซียงหย่าก็ทร
ในเวลานี้ สองสามีภรรยาต่างมีความคิดของตน แต่ล้วนมิได้อยู่ในระดับเดียวกันหลังเซี่ยซางที่เต็มไปด้วยทระนงตนของผู้ที่เหนือกว่าฝืนต่ออย่างไร้ทางออกครู่หนึ่ง ก็หยิบเอกสารบนโต๊ะหนังสือมาก้มหน้าก้มตาอ่านอีกครั้ง เขาจะรอให้เจียงเฟิ่งหัวเป็นฝ่ายก้มหัวมาขอร้องเขาในยามทำงาน เขาไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งใดทั้งสิ้น เครื่องหน้าทั้งห้าอันห้าวหาญทั้งของเขาคมชัดเด่นเป็นสัน ภายในดวงตาอันลึกล้ำเปล่งประกายสว่างไสว เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเจียงเฟิ่งหัวยอมรับว่า ท่าทางตั้งอกตั้งใจทำงานของเซี่ยซางชวนให้คนมีเสน่ห์อย่างมาก เขาเป็นคนประเภทที่ทำให้สตรีหลงใหล และก็รู้ว่าตอนนี้เขากำลังเอาแต่ใจ ยามปกติล้วนเป็นนางที่เป็นฝ่ายไปกล่อมเขา เขาคงจะเคยชินแล้วกระมัง! นางก็ไม่ขอร้องเขาแล้ว อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ!นางก็เตรียมจะเป็นฝ่ายแข็งสักครั้ง หมุนกายเตรียมเดินออกจากประตูไปทันทีเซี่ยซางจึงประชดประชันขึ้นมาว่า “จะไปเช่นนี้ เจ้าไม่อยากรู้เรื่องของหลี่เฉิงคู่หมั้นของจางอวี่มั่วแล้วหรือ? จะอย่างไรเจ้าก็ใส่ใจพวกเขาถึงเพียงนั้น” แต่กลับไม่เคยใส่ใจข้าเช่นนี้เลยก่อนเจียงเฟิ่งหัวจะมาได้จงใจแต่งกายมาก่อน กิริยาของนางอ่อนช้อยงดงา
นางแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาทว่าคำพูดแฝงนัย นี่ก็คือกำลังฟ้องแล้ว และก็เป็นการอธิบายว่าทำไมนางจึงไม่ไปหาเขาด้วยเซี่ยซางรู้ว่าหวานหว่านจะต้องทำเช่นนั้นแน่ ช่วงนี้หวานหว่านก็ว่าเป็นเด็กดีไม่น้อย ตั้งใจเรียนอย่างมาก แถมยังขอให้เขาไปแนะนำอีกด้วย ประกอบกับที่ในใจเขามีโทสะอยู่ จึงไปที่เรือนถานเซียงเสียเลย“เจ้าหึงหรือ?”เจียงเฟิ่งหัวด่าอยู่ในใจ ชายชาติสุนัข ต้องให้สตรีหึงหวงแย่งชิงเจ้า เจ้าจึงจะรู้สึกเหนือกว่าใช่หรือไม่!นางนั่งเบี่ยงตัวออกไปแล้วพูดอย่างอ่อนแอว่า “หม่อมฉันอยากพบท่านอ๋อง แต่ท่านอ๋องไม่อยากพบหม่อมฉันนี่เพคะ ในใจของหม่อมฉันรู้สึกทรมานมาก อึดอัดไปหมด ราวเจ็บป่วยเลยเพคะ”ในดวงตาของเซี่ยซางเต็มไปด้วยความเอ็นดู เขาดันตัวนางให้ตรงกลับมา มือทั้งสองข้างโอบเอวของนางให้แนบชิดเข้ากับร่างของเขา แล้วจุมพิตหน้าผากของนาง “ตอนนี้ยังรู้สึกทรมานอยู่อีกหรือไม่?”มุมปากของเจียงเฟิ่งหัวปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา แก้มเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ส่ายหัวอย่างเขินอาย “ไม่ทรมานแล้วเพคะ”เครื่องหน้าของนางงดงามคิ้วตาราวกับวาด ไม่ว่าจะขมวดคิ้วหรือแย้มยิ้มล้วนเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เซี่ยซางเห็นนางเบิกบานก็จุมพิตลงบนริมฝีปา
นางได้รู้จากเซี่ยซางว่า ที่วันนั้นเกือบจะเกิดเรื่องร้ายกับจางอวี่มั่วเป็นแผนการของหลี่เฉิงจริงๆ และหลังจากที่บุรุษพวกนั้นถูกเขานำตัวไปก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหลี่เฉิงมิใช่คนดี แต่เพราะเขาเป็นบุตรชายของเจ้ากรมกลาโหม ยามเขาทำเรื่องชั่วร้ายเลวทรามอยู่ในค่ายทหารจึงไม่เคยถูกลงโทษ กระทั่งบังคับขืนใจสตรีดีงาม เมื่อจบเรื่องยังมีคนมาแบกรับความผิดแทนเขาอีก ภาพลักษณ์ของเขาดีงามมาตลอด ทว่าแท้ที่จริงแล้วภายในทั้งสกปรกและน่าขยะแขยง เซี่ยซางก็ใช้ความสัมพันธ์มากมายไปแอบสืบในค่ายทหารอย่างลับๆ จึงได้สืบพบ“หากจะบอกว่าเจ้ากรมหลี่ไม่รู้ถึงสิ่งที่ลูกชายเขากระทำ ก็เป็นการหลอกผีสางแล้ว” ดวงตาของเซี่ยซางฉายความเย็นชาออกมา ตอนนี้ข้าเพียงแค้นที่ไม่อาจยื่นมือเข้าไปลึกเกินไป ไม่อาจดึงเจ้ามอดแมลงพวกนี้ออกมาได้”หลังจากที่เจียงเฟิ่งหัวได้ฟังก็ไม่ได้ประหลาดใจมากนัก “ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องตำหนิตนเอง เขาเป็นบุตรชายของขุนนางใหญ่ขั้นสอง ในมือมีอำนาจเทียมฟ้า เบื้องล่างมีพวกประจบเอาใจจำนวนมาก” การแตะเพียงจุดเดียวอาจส่งผลกระทบไปทุกส่วน ก่อนหน้านี้ที่จัดการกับหยางจิ้งของกรมอาญา ก็ไม่ส่งผลดีกับราชสำนักต้าโจวเท่าใดนัก
นางยอมรับว่าตนเองมิใช่คนใจดีอะไร เพราะคนใจดีล้วนอายุสั้นในไม่ช้า เจียงเฟิ่งหัวก็เปิดเผยข่าวนี้ต่อเจียงจิ่นเหยียนอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจหลังเจียงจิ่นเหยียนได้รู้ ภายในใจก็เกิดการดิ้นรนเป็นอย่างมากหากชีวิตหลังการแต่งงานของจางอวี่มั่วไม่มีความสุข หรือนางได้รู้ว่าเป็นหลี่เฉิงจงใจวางแผนใส่นาง วันนั้นยิ่งเป็นหลี่เฉิงจงใจให้คนมาทำให้นางอับอาย แล้วนางจะทำเช่นใด?จางอวี่มั่วเป็นสตรีที่ดีงามและมีความสามารถอย่างยิ่ง นางไม่ควรถูกปฏิบัติเช่นนี้ที่จางอวี่มั่วยอมแต่งงานกับหลี่เฉิง อาจเป็นเพราะนางถูกเขาทำให้เสียใจอย่างลึกซึ้ง จึงได้ตอบตกลงการของแต่งงานของสกุลหลี่เจียงจิ่นเหยียนได้ดึงเรื่องนี้มาไว้กับตัวอีกแล้วโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับที่สวี่อิ๋งถูกทำร้ายในปีนั้น เขาก็ไม่อาจให้อภัยตนเองเช่นเดียวกันหลังออกมาจากที่ทำงาน เขาก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่กี่วันจากนั้น เขาก็ตั้งใจไปตรวจสอบเรื่องหลี่เฉิงเป็นพิเศษที่หลี่เฉิงกลับมาเมืองหลวงก็เพื่อแต่งงาน แต่เขายังคงแอบปลอมตัวออกไปดื่มสุราเคล้านารีอย่างลับๆ บุรุษเช่นนี้จะชอบจางอวี่มั่วอย่างจริงในอย่างนั้นหรือ?ยิ่งใกล้วันแต่งงานของจางอวี่มั่ว เจียงจ
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู