นางยอมรับว่าตนเองมิใช่คนใจดีอะไร เพราะคนใจดีล้วนอายุสั้นในไม่ช้า เจียงเฟิ่งหัวก็เปิดเผยข่าวนี้ต่อเจียงจิ่นเหยียนอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจหลังเจียงจิ่นเหยียนได้รู้ ภายในใจก็เกิดการดิ้นรนเป็นอย่างมากหากชีวิตหลังการแต่งงานของจางอวี่มั่วไม่มีความสุข หรือนางได้รู้ว่าเป็นหลี่เฉิงจงใจวางแผนใส่นาง วันนั้นยิ่งเป็นหลี่เฉิงจงใจให้คนมาทำให้นางอับอาย แล้วนางจะทำเช่นใด?จางอวี่มั่วเป็นสตรีที่ดีงามและมีความสามารถอย่างยิ่ง นางไม่ควรถูกปฏิบัติเช่นนี้ที่จางอวี่มั่วยอมแต่งงานกับหลี่เฉิง อาจเป็นเพราะนางถูกเขาทำให้เสียใจอย่างลึกซึ้ง จึงได้ตอบตกลงการของแต่งงานของสกุลหลี่เจียงจิ่นเหยียนได้ดึงเรื่องนี้มาไว้กับตัวอีกแล้วโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับที่สวี่อิ๋งถูกทำร้ายในปีนั้น เขาก็ไม่อาจให้อภัยตนเองเช่นเดียวกันหลังออกมาจากที่ทำงาน เขาก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่กี่วันจากนั้น เขาก็ตั้งใจไปตรวจสอบเรื่องหลี่เฉิงเป็นพิเศษที่หลี่เฉิงกลับมาเมืองหลวงก็เพื่อแต่งงาน แต่เขายังคงแอบปลอมตัวออกไปดื่มสุราเคล้านารีอย่างลับๆ บุรุษเช่นนี้จะชอบจางอวี่มั่วอย่างจริงในอย่างนั้นหรือ?ยิ่งใกล้วันแต่งงานของจางอวี่มั่ว เจียงจ
ในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์เจียงเฟิ่งหัวและซูถิงหว่านล้วนแต่งกายอย่างประณีตมาปรากฏตัวต่อหน้าเซี่ยซาง “หม่อมฉันคารวะท่านอ๋องเพคะ”“อืม ไปกันเถอะ!” เซี่ยซางสวมอาภรณ์หรูหรา ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายความสูงศักดิ์และความน่ายำเกรง เขาเป็นฝ่ายไปประคองเจียงเฟิ่งหัวขึ้นรถม้า จากนั้นก็จะขึ้นไปเพียงลำพังด้วยความเคยชินซูถิงหว่านแต่งกายด้วยชุดกระโปรงที่ทำจากผ้าไหมสีขาวกระจ่างดุจหิมะยาวระพื้น ดูเหมือนชายกระโปรงจะจำกัดความเคลื่อนไหวของนาง นางจึงกล่าวเบาๆ ว่า “ท่านอ๋องก็ทรงประคองหม่อมฉันด้วยสิเพคะ”เซี่ยซางจึงได้ตระหนักขึ้นมา ยามปกติซูถิงหว่านไม่ค่อยใส่ใจเรื่องกิริยา สามารถขึ้นลงรถม้าได้อย่างคล่องแคล่ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดถึงนาง คิดว่านางจะตามขึ้นมาได้เองเซี่ยซางก็มิได้คิดมาก ก็แค่เรื่องง่ายๆ เพียงยื่นมือเท่านั้น เขาจึงยื่นมือไปให้ซูถิงหว่าน ในตอนที่มือของนางถูกเซี่ยซางกุมไว้ในฝ่ามือ นางถึงสาวเท้าน้อยๆ เหยียบขึ้นไปบนบันไดขึ้นรถม้าอย่างชดช้อยในวินาทีถัดมา อาจเป็นเพราะนางเหยียบถูกชายกระโปรงของตนเข้า ร่างกายจึงโอนเอนตกไปในอ้อมแขนของเซี่ยซาง ริมฝีปากของนางประทับจูบลงบนคางของเซี่ยซางอย่างไม่ทันระวัง
เด็กๆ กล่าวอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความเคารพว่า “หลานคารวะเสด็จอาห้าและเสด็จอาสะใภ้ห้า”เจียงเฟิ่งหัวเตรียมการไว้ก่อนแล้วและได้นำสาวใช้เข้าวังมาด้วย นางรับถุงผ้าจากเหลียนเย่มาสามใบ แล้วยื่นไปยังเบื้องหน้าของเด็กทั้งสาม ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ยื่นถุงผ้าสีชมพูไปที่เบื้องหน้าของเด็กหญิง “เจ้าคือเวยเอ๋อร์สินะ รูปโฉมงดงามจริงๆ อาสะใภ้ห้าเตรียมของขวัญแรกพบหน้าไว้ให้เจ้า หวังว่าเวยเอ๋อร์จะชอบนะ”เซี่ยเวยเบิกตากว้างรับถุงผ้า นางยิ้มอย่างเขินอายบนใบหน้า พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวานสดใสว่า “ขอบพระทัยเสด็จอาสะใภ้ห้าเพคะ อาสะใภ้ห้างดงามเหลือเกิน ทรงเหมือนกับเทพธิดาเลยเพคะ”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็ยื่นถุงผ้าสองใบยังเบื้องหน้าของเด็กชายอีกสองคนที่อายุมากขึ้นมาหน่อย “เจ้าคือฉีเอ๋อร์ ส่วนเจ้าคืออวี้เอ๋อร์สินะ”เมื่อเซี่ยฉีกับเซี่ยอวี้ได้ฟังก็กล่าวพร้อมกันว่า “เสด็จอาสะใภ้ห้าไม่เคยพบพวกเรามาก่อน เหตุใดจึงรู้ชื่อพวกเราได้พ่ะย่ะค่ะ”เจียงเฟิ่งหัวพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อาสะใภ้ห้าจะเตรียมของขวัญพบหน้าให้พวกเจ้า ก็ย่อมต้องรู้ถึงความชอบของพวกเจ้า ข้ายังรู้ด้วยว่าฉีเอ๋อร์เข้าศึกษาที่สำนักศึกษาหลวงแล
“ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จ” เสียงตะโกนแหลมสูงของขันทีดึงสายตาของทุกคนกลับมาทุกคนพากันถวายความเคารพต่อฮ่องเต้และฮองเฮาอย่างนอบน้อมรอจนฮ่องเต้และฮองเฮานั่งลงบนตำแหน่งที่อยู่เหนือขึ้นไปแล้ว คนทั้งหลายจึงได้กลับไปนั่งที่ตำแหน่งของตนหลังจากสนทนาทักทายตามมารยาทอีกรอบ เสียงวงดนตรีที่ประกอบไปด้วยเครื่องขลุ่ย ซอเอ้อหู และผีผาก็ค่อยๆ ดังอ้อยอิ่งขึ้นมาอย่างช้าๆไม่ว่าฮองเฮาจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้หรือไม่ นางย่อมนั่งอยู่ข้างกายของฮ่องเต้เสมอ วินาทีถัดมา เจียงเฟิ่งหัวก็เห็นฉากที่ทำให้นางรู้สึกทั่วร่างแตกเป็นเสี่ยงๆ นางเห็นฮ่องเต้ทรงปอกส้มลูกหนึ่งด้วยพระองค์เอง จากนั้นชิมด้วยตนเองก่อนครึ่งหนึ่ง แล้วจึงยื่นอีกครึ่งให้ฮองเฮา ฮองเฮาคร้านจะรับจึงยื่นหน้าเข้าไป ส้มครึ่งชิ้นนั่นจึงเข้าสู่ปากของฮองเฮาไปอย่างง่ายดายเช่นนั้นเจียงเฟิ่งหัวตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ไม่ได้เข้าวังมาไม่กี่เดือน ในวังหลวงเกิดสิ่งใดขึ้นกันนี่?ต่อให้นางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งนางก็รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดให้ประหลาดใจแล้ว เนื่องจากโลกนี้กว้างใหญ่นัก เรื่องแปลกอัศจรรย์นั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าการกระทำนี้ของฮ่องเต้กับฮองเฮา ทำให้น
เจียงเฟิ่งหัวพบว่าซูถิงหว่านและซูชิงชิงล้วนหายตัวไปแล้ว คิดว่าพวกนางหมายมั่นที่จะช่วงชิงให้เป็นแน่ต่อมา ผู้ที่หลั่งไหลเข้ามาลงชื่อยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่พระชายาขององค์ชายสามและพระชายาขององค์ชายสี่ก็คิดจะแสดงทักษะของตนออกมาเช่นกันเหล่านางสนมก็ไม่ยอมน้อยหน้า ทุกคนล้วนมองอย่างตื้นเขินว่า ขอแค่ได้รับรางวัลจากฝ่าบาทก็เพียงพอให้พวกนางโอ้อวดไปได้ชั่วชีวิตแล้วเจียงเฟิ่งหัวกับเซี่ยซางปรึกษากันไว้แต่แรกแล้วว่าจะบรรเลงเพลง ‘ถ้อยวจีแห่งผีผา’ ร่วมกัน แม้บทเพลงจะจบลงแล้ว ทว่าความซาบซึ้งที่สั่นสะเทือนไปถึงดวงจิตทำให้ทุกคนไม่อาจถอนสติกลับคืนมาได้เป็นเวลานาน เสมือนหนึ่งว่าพวกเขาได้เข้าสู่สภาวะลืมตน แม้แต่ผีเสื้อในอุทยานหลวงได้ฟังก็ยังตกอยู่ในห้วงแห่งความหลงใหล พวกมันเกาะอยู่บนไหล่ของคนทั้งสอง ถึงกับลืมเลือนที่จะกระพือปีกโบยบินเสียงร้องของพระชายาเหิงอ๋องยิ่งราวกับเสียงคีตาจากสรวงสวรรค์ ท่วงทำนองบนปลายนิ้วของนางราวทะลุผ่านชั้นเมฆา ท่องผ่านภูผาสูง ไปปลุกความฝันอันหลับใหลทุกคนถึงกับลืมปรบมือและส่งเสียงร้องชื่นชม ตราบจนเหิงอ๋องและพระชายาเหิงอ๋องจับมือกันลงจากเวที ทุกคนจึงได้สติกลับคืนมา จากนั้นก
หมอหลวงก็มาถึงอย่างรวดเร็ว สายตาขอเฉิงฮองเฮาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง นางเดินมาที่ด้านหน้าของซูชิงชิง “หมอหลวงหวัง รีบดูอาการให้ซูเจี๋ยอวี๋เร็วเข้า เหตุใดมือของนางจึงได้มีเลือดออกมาขนาดนี้ โธ่ นี่น่าสงสารเกินไปแล้ว”ซูชิงชิงพยายามหลบเลี่ยงไม่หยุด “ไม่ต้องแล้ว ข้าไม่เป็นไร แค่ถูกสายพิณบาดนิ้วเท่านั้น ข้าให้นางกำนัลหยุดเลือดและทำแผลครู่เดียวก็พอแล้ว”นางกำนัลในตำหนักของซูชิงชิงถูกประหารไปหมดแล้ว คนที่ส่งไปยังตำหนักของนางในเวลานี้ย่อมเป็นคนของเฉิงฮองเฮาทั้งสิ้น ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดในตำหนัก เฉิงฮองเฮาล้วนล่วงรู้อย่างชัดเจนเฉิงฮองเฮากล่าวอย่างห่วยใยว่า “ถึงอย่างไรก็ต้องให้หมอหลวงหวังช่วยตรวจอาการให้ซูเจี๋ยอวี๋สักครั้งจึงจะวางใจได้”ในเวลานี้เอง สี่หมัวมัวและพวกก็ก้าวเข้าไปจับมือของซูชิงชิงไว้แล้วยื่นไปที่เบื้องหน้าของหมอหลวงหวังหลังจากที่หมอหลวงหวังโรยผงห้ามเลือดและทำแผลให้นางเสร็จ ซูชิงชิงคิดว่านี่นับว่าจบลงแล้ว ผู้ใดจะคาดว่า ในหมู่ผู้คน มีคนร้องตะโกนขึ้นมาว่า “นี่มันกลิ่นอะไรกันถึงได้เหม็นขนาดนี้!”มีคนชะโงกจมูกไปดมบนร่างของซูชิงชิง “กลิ่นโชยมาจากตัวของพระสนม ยิ่งดมก็ยิ่งเหม็น”ซูชิง
ฮูหยินผู้เฒ่าซูก็รู้ว่าสถานการณ์ร้ายแรงเช่นกัน จึงรีบคุกเข่าลงเบื้องหน้าฮ่องเต้ “ขอฝ่าบาททรงลงพระอาญา ทว่าที่ชิงชิงเป็นเช่นนี้ก็เพราะถูกคนให้ร้าย ที่แท้คนร้ายที่อยู่เบื้องหลังการทำลายนางเป็นใคร ขอฝ่าบาทโปรดทรงตรวจสอบอย่างเข้มงวดด้วยเถิดเพคะ” แน่นอนว่าผู้ที่นางหมายถึงย่อมเป็นเฉิงฮองเฮาฮูหยินผู้เฒ่าซูยังคิดว่าฮ่องเต้จะเห็นแก่หน้าสกุลซู แล้วมอบความยุติธรรมให้กับซูชิงชิง“ฮ่าๆๆ…” จู่ๆ ซูชิงชิงก็กระชากมวยผมของนางจนยุ่งเหยิง ดึงปิ่นระย้าเต็มศีรษะทิ้งแล้วหัวเราะเสียงดังออกมา “กรรมสนอง กรรมสนอง!”ผ่านไปเพียงครู่เดียว ซูชิงชิงก็วิ่งชนไปมาอย่างบ้าคลั่ง ทั่วทั้งราชอุทยานถูกนางทำจนยุ่งเหยิงไปหมดเฉิงฮองเฮาขึ้นเสียงว่า “ทหาร รีบหยุดซูเจี๋ยอวี๋ไว้เร็วเข้า” ซูชิงชิงคิดจะแสร้งเสียสติให้ผู้ใดดูกันนางเผด็จการเอาแต่ใจอยู่ในวังหลวงมาสิบกว่าปี เหล่าสนมนางในในวังได้รับความอัปยศจากนางทุกรูปแบบ ดังนั้นในเวลานี้ จึงไม่มีแม้แต่ผู้เดียวที่เห็นใจนาง ทุกคนล้วนชมละครอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชาองค์หญิงเก้าเซี่ยหลิงเอ๋อร์ร้องไห้พลางพุ่งไปอยู่ข้างกายนาย “เสด็จแม่ ทรงเป็นอันใดไปเพคะ?”ซูชิงชิงราวกับเปลือกอันกลว
ในเวลานั้นเอง ซูถิงหว่านราวกับได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ นางชี้หน้าเจียงเฟิ่งหัวได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “เจียงเฟิ่งหัว เป็นเจ้า เป็นเจ้าที่ต้องการทำร้ายข้า ที่ใบหน้าของข้างกลายเป็นเช่นนี้จะต้องเป็นฝีมือของเจ้าแน่ ทุกวันนี้ข้าอุตส่าห์ไปเรียนเขียนอ่าน เรียนกฎเกณฑ์มารยาทกับเจ้าทุกวัน ข้าเคารพเจ้าเป็นพระชายาแล้วแต่ทำไมเจ้ายังไม่อาจยอมรับข้าอีก และถึงกับจะทำร้ายข้าด้วย”เจียงเฟิ่งหัวก็ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นเช่นกัน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง “ชายารองหมายความว่าอย่างไร ข้าจะไปทำร้ายเจ้าได้อย่างไร”“จะต้องเป็นเจ้าแน่ เจ้าชอบเสแสร้งแกล้งทำ ยามอยู่ต่อหน้าท่านอ๋องเจ้ามักแสร้งทำเป็นอ่อนโยน อ่อนแอ แต่แท้ที่จริงแล้วเจ้าไม่ได้เป็นแบบนั้น เจียงเฟิ่งหัว ข้าอุตส่าห์ยอมถอยทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนกับเจ้าแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่ยอมละเว้นข้าอีก เหตุใดเจ้าต้องทำร้ายข้า ทำลายโฉมของข้า”เพื่อวันนี้ นางตั้งใจเตรียมตัวมาเป็นเวลานานมาก นางฝึกซ้อมการร่ายรำ ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดนางก็อดทนจนผ่านมาได้แล้ว นางทำสำเร็จแล้วชัดๆ เซี่ยซางถูกนางดึงดูดมาได้สำเร็จแล้ว คิดไม่ถึงว่าวิธีการของเจียงเฟิ่งหัวจะอำมหิตเช่
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู