ดวงตาของจางอวี่มั่วเริ่มแดงขึ้นมา ใช้ความกล้าถามออกไปว่า “คนที่คุณชายเจียงหมายปองคือองค์หญิงเพียนเพียนใช่ไหมเจ้าคะ?”อันที่จริงเมื่อครู่นางก็ได้ยินแล้ว แต่ว่าเจียงจิ่นเหยียนตอบกำกวม คนที่องค์หญิงเพียนเพียนชอบคือคุณชายไร้เทียมทาน แล้วคนที่คุณชายเจียงชอบคือใครกันเล่านางถึงกับยินดีอยู่ไม่น้อยที่เจียงจิ่นเหยียนกับองค์หญิงเพียนเพียนไม่ได้มีความสัมพันธ์กันในเชิงนั้น เพียงแค่คนนอกไม่เข้าใจสถานการณ์ ทุกคนจึงนึกว่าเจียงจิ่นเหยียนกำลังจะแต่งงานเจียงจิ่นเหยียนตะลึงงัน “ข้าเปล่า” ที่จริงแล้วเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาออกไปจากบ้านประมาณสองเดือน ซางอวี๋เพียนเพียนก็ตามติดเขาอยู่ตลอดสองเดือนเนื่องด้วยเขามีภาระงานราชการ อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับความลับขั้นสุดยอดของอาณาจักรต้าโจว เขาจึงอยู่กับซางอวี๋เพียนเพียนน้อยมาก ซางอวี๋เพียนเพียนก็ไม่ก้าวก่ายอะไรเขา ทั้งสองเป็นเหมือนเพื่อนที่เดินทางด้วยกันจางอวี่มั่วเริ่มสารภาพรักโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “ในเมื่อคุณชายยังไม่มีหญิงที่พึงใจ ไม่ทราบว่าคุณชายจะให้โอกาสอวี่มั่วได้หรือไม่ ปีนั้นตอนอายุเก้าขวบ ข้าได้พบคุณชายเจียงเป็นครั้งแรก ข้าก็มีใจให้คุณชายเจียงเ
หลินอวี่ยืนอยู่ข้างประตู จ้องเจียงจิ่นเหยียน นางรู้สึกเพียงว่าเขาช่างจริงใจตรงไปตรงมา ไร้ที่ติ สายตานางก็เป็นประกายขึ้นแวบหนึ่ง นางรู้ตั้งแต่เด็กแล้วว่า คนที่หลงรักเจียงจิ่นเหยียนจะต้องเจ็บปวด เพราะว่าเขาเก็บหญิงนางหนึ่งที่ล่วงลับไปแล้วไว้ในใจ แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงลืมนางไม่ลง แต่ได้มีชายคนหนึ่งระลึกถึงตลอดชีวิตเช่นนี้ ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนที่โชคดีมากแล้วคนที่ตายจากไปก็หลุดพ้นตั้งนานแล้ว คนที่ยังมีชีวิตอยู่คือคนที่ทรมานเสมอสิ่งเหล่านี้คือความลับที่หลินอวี่ค้นพบโดยบังเอิญ แม้แต่เจียงเฟิ่งหัวนางก็ไม่ได้บอกนางกล่าว “คุณชาย”“เอาเสื้อผ้าที่สะอาดไปส่งให้หรวนหร่วนกับเหิงอ๋อง” พูดจบเขาก็ก้าวออกจากประตูไปเมื่อเจียงจิ่นเหยียนออกมาจากหอเซียงหย่า ก็ไม่เห็นจางอวี่มั่วแล้ว เขานึกว่านางกลับบ้านไปพร้อมบ่าวของสกุลจางแล้วเวลานี้เอง ซางอวี๋เพียนเพียนก็วิ่งกลับมา “จิ่นเหยียน เหตุใดจึงมีแต่ท่านคนเดียวเล่า?”เจียงจิ่นเหยียนตอบ “เหิงอ๋องเมาแล้ว หรวนหร่วนกำลังดูแลเขาอยู่”“คุณหนูจางล่ะ?” ซางอวี๋เพียนเพียนถามเจียงจิ่นเหยียนก็ไม่ได้คิดมาก “นางก็กลับจวนแล้ว”ซางอวี๋เพียนเพียนเข้าไปกอดเอวเ
อีกฝั่งหนึ่ง จางอวี่มั่วออกมาจากหอเซียงหย่า มองดูผู้คนที่ผ่านไปมาบนถนน พ่อค้าริมถนนร้องเรียกขายของ วันนี้นางไม่ได้กินอะไรมาก อีกทั้งยังอดอยากมาสองวันแล้ว นางรู้สึกเพียงว่าท้องว่าง นางจึงนำเงินทั้งหมดที่มีในตัวออกมา เริ่มซื้อไปตลอดทางจนเมื่อถือไม่ไหวแล้ว นางจึงค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง มองดูแสงไฟสว่างไสวบนท้องถนน ความเศร้าหมองในใจนางก็มลายหายไปในทันทีก่อนมาที่หอเซียงหย่า เจียงเฟิ่งหัวพานางไปที่ศาลาการกุศล นางไม่เคยรู้ว่าในเมืองเซิ่งจิงอันสวยงามเจิดจรัสรุ่งเรืองเฟื่องฟูยังมีสถานสงเคราะห์แบบนี้อยู่ด้วยคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเด็กและผู้หญิงทั้งนั้น ที่นั่นเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและหัวเราะอย่างเบิกบาน เป็นที่ที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจ แต่เจียงเฟิ่งหัวบอกนางว่า ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างมีเรื่องราวของตัวเอง เด็ก ๆ เป็นเด็กกำพร้า หรือไม่ก็ถูกทอดทิ้ง ศาลาการกุศลเป็นคนรับพวกเขามาเลี้ยงในบรรดาหญิงสาว บางคนเคยถูกกระทำราวกับไม่ใช่มนุษย์ บางคนถูกผู้ชายหลอกลวงและทิ้งไป เมื่อไม่มีผู้ชายแล้ว พวกนางเป็นไม่ได้แม้แต่เครื่องประดับบารมี พวกนางถึงกับใช้ชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ตั้งแต่มีศาลาการกุศล พวกนางเลี้ยงตัวเอ
ชายคนนั้นกล่าวอีกว่า “เอาตัวพวกมันไป ลงโทษให้หนัก”จางอวี่มั่วร้องห่มร้องไห้จนไม่เป็นผู้เป็นคนตั้งนานแล้ว นางนั่งยอง ๆ กอดแขนอยู่ในมุม เวลานี้เอง ชายคนนั้นก็ยื่นมือมาทางนางในทันใด “ไม่เป็นไรแล้วนะ”จางอวี่มั่วเงยหน้าขึ้นมาจ้องชายที่อยู่ตรงหน้าและทหารกลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขา นางระแวดระวังอยู่ในใจ ไม่กล้าให้พวกเขาเข้ามาใกล้ชายคนนี้สวมชุดผ้าไหมสีเขียวล้วน มองดูสุภาพเรียบร้อย แต่ตัวเขาแผ่รัศมีความชั่วร้ายออกมาอย่างชัดเจน กล่าวเสียงหนักแน่นว่า “วางใจเถิด พวกเขาไม่กล้าข่มเหงท่านอีกแล้ว”จางอวี่มั่วลุกขึ้นยืน กล่าวเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณเจ้าค่ะ”ชายคนนั้นกล่าวอีกว่า “บ้านคุณหนูอยู่ที่ใด ข้าน้อยจะให้คนไปส่งท่านกลับจวน”จางอวี่มั่วอยากบอกว่าไม่ต้องหรอก แต่ว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ช่างน่ากลัวเกินไปแล้วจริง ๆ นางรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมาในใจ นางเกือบตายแล้ว ตอนนี้ยังไม่หายเสียขวัญ เห็นว่าอีกฝ่ายพาทหารมา ก็คิดในใจว่าน่าจะเป็นคนของราชสำนัก จึงบอกที่อยู่แก่เขาไปเมื่อชายคนนั้นได้ฟัง “ท่านเป็นคนของจวนจางกั๋วกง มาอยู่ที่นี่เพียงลำพังได้อย่างไร”“ข้า…” จางอวี่มั่วอยากจะพูดแต่ก็ยั้งไว้ “ข้
จีเฉินพาซูถิงหว่านมาหลบอยู่ในที่มืด เขาเข้าไปกระซิบข้างหูนาง “อยากเอาชนะศัตรู ก็ต้องรู้เขารู้เรา จึงจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เจ้าพุ่งเข้าชนโดยไม่สนใจใด ๆ ทั้งสิ้นเช่นนี้ มีแต่จะเจ็บตัว”“จุดอ่อนของเจียงเฟิ่งหัวคืออะไร?” เขาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายซูถิงหว่านคิดอยู่นาน ส่ายหัวไปมา “ข้าไม่รู้ นางทำตัวอ่อนแอ พอนางร้องไห้เซี่ยซางก็จะสงสารนาง ข้าก็ทำอะไรนางไม่ได้”จีเฉินกล่าว “นี่ก็คือความชาญฉลาดของนาง ผู้หญิงแสดงความอ่อนแอต่อหน้าผู้ชาย ผู้ชายก็จะเกิดความเมตตาสงสารนาง นานวันเข้า นางก็ย่อมล่อลวงผู้ชายไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้านั้นของนางต่างหากคืออาวุธสำคัญที่สุดของนาง นี่คือสิ่งที่เรียกว่ายอดบุรุษยากจะฝ่าด่านหญิงงามไปได้”ซูถิงหว่านได้ฟังแล้ว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “นางก็ใช้ใบหน้านี้ของนางนี่แหละยั่วยวนเซี่ยซาง ข้าละอยากทำลายมันเสียจริง”“ล่อลวงเซี่ยซางไปได้ เกรงว่านางจะไม่ได้อาศัยรูปโฉมอันงดงาม แต่เป็นเล่ห์เหลี่ยมของนางต่างหาก…” จีเฉินพูดคำเดียวก็กระจ่าง “บุตรสาวราชครูคนหนึ่ง ไม่ได้รอบรู้เท่านั้น ยังหน้าตาสะสวยถึงเพียงนี้อีกด้วย นางแสดงท่าทางต่อหน้าเซี่ยซางเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็
ในเสี้ยววินาทีนั้น ภายในใจของซูถิงหว่านก็เบิกบานขึ้นมาทันที “พี่เฉิน ความหมายของท่านคือพวกเราควรลงมือจากจุดนี้”วันทั้งวัน นางเอาแต่ต่อสู้แย่งชิงให้เซี่ยซางมาที่ห้องของนาง แต่เจียงเฟิ่งหัวทำเพียงกระดิกนิ้ว เซี่ยซางก็ไปที่เรือนของนางแล้ว มีเพียงทำให้นางหายไปอย่างสมบูรณ์เซี่ยซางจึงจะไม่คิดถึงนางอีกเจียงเฟิ่งหัวให้นางอ่านหนังสืออยู่ที่จวน นางก็มิได้จะสอบจอหงวนสักหน่อย อ่านหนังสือมากมายเพียงนี้ไปทำไมกัน นางจงใจหารังแกนางชัดๆ แต่เซี่ยซางยังดันไปเห็นด้วยอีกเมื่อนึกถึงเมื่อครู่หลังจากที่เขาเมาสุราก็เอาแต่พูดถึงหรวนหร่วน หัวใจของนางล้วนก็กำลังหลั่งเลือดออกมาภายหลังที่เจียงเฟิ่งหัวให้คนไปส่งจางอวี่มั่วกลับจวน นางก็กลับไปที่หอเซียงหย่า เห็นเซี่ยซางยังคงหลับอยู่ นางจึงดึงเจียงจิ่นเหยียนไปอีกทาง “พี่ใหญ่ ที่แท้ท่านชอบผู้ใดกันแน่? จางอวี่มั่วหรือซางอวี๋เพียนเพียน?”นางเตือนขึ้นอีกครั้งว่า “หากพี่ใหญ่ชอบซางอวี๋เพียนเพียน ฐานะของนางไม่ใช่ผู้ที่สกุลเจียงของเราจะเทียบเคียงได้ ในอนาคตนางจะ…” นางมิได้กล่าวคำพูดด้านหลังออกมาเจียงจิ่นเหยียนก็รู้ว่าไม่อาจมีความเกี่ยวข้องกับซางอวี๋เพียนเพียนมากเกิน
“ไม่ใช่เรื่องของผู้อื่น เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของหม่อมฉันเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวต่ออีกครั้ง “หม่อมฉันไม่อยากให้พวกเขาเกิดเรื่อง”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะเกิดเรื่อง? อีกอย่างพวกเขาจะเกิดเรื่องอะไรได้” เซี่ยซางถามนางเสียงหนักในชั่วขณะ เจียงเฟิ่งหัวก็ไม่อาจตอบได้เซี่ยซางแต่งกายเรียบร้อยนานแล้ว เมื่อลุกขึ้นมาก็เดินผ่านนางออกประตูไปทันทีเจียงเฟิ่งหัวงุนงงไปหมด เขาโมโหด้วยเหตุใดกัน เป็นเขาที่อาเจียนใส่นางไปทั้งร่างชัดๆช่างประหลาดเหลือเกินนางไม่อยากเดาว่าเหตุใดเขาจึงได้โทโสเช่นนี้ ยกชายกระโปรงไล่ตามออกไป “ท่านอ๋อง รอหม่อมฉันด้วยสิเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวไล่ตามออกไป เขาชะงักฝีเท้าไปชั่วขณะหนึ่งแล้วกลับเร่งความเร็วขึ้นอีกหลินอวี่ที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็ไล่ตามออกมาเช่นกัน ก็เห็นเจียงเฟิ่งหัวยืนอยู่หน้าบันได “เกิดสิ่งใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”ในครั้งนี้ เจียงเฟิ่งหัวไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเซี่ยซางจึงได้เป็นเช่นนี้ นางกำชับให้หลินอวี่ดูแลเจียงจิ่นเหยียนให้ดีก็ออกจากหอเซียงหย่าไปในตอนที่นางออกมา เซี่ยซางไม่ได้รอนางจริงๆ เขาจากไปแล้วนางรู้ว่าเซี่ยซางเจ้าอารมณ์ แต่นางไม่เคยรู้มาก่อนว่า
เจียงเฟิ่งหัวได้ยินเขาเรียกขานเป็นพี่เป็นน้องกับเซี่ยซางก็รู้สึกรำคาญขึ้นมาทันที ยิ่งรำคาญที่เขาเอาแต่เรียกน้องสะใภ้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยการเสแสร้งแกล้งทำเป็นเคร่งขรึมจริงจังนางก็ไม่คิดจะไว้หน้าจีเฉิน “ที่นี่เป็นฝ่ายในของจวนอ๋อง คุณชายจีอย่าได้บุกเข้ามาง่ายๆ จะดีกว่า เพราะต่อให้คุณชายจีเป็นพี่บุญธรรมของชายารองซู ทว่าก็ยังเป็นเพียงพี่ชายบุญธรรมเท่านั้น คนมากปากก็มาก คุณชายจีอย่าให้ชายารองซูต้องถูกคนวิพากษ์วิจารณ์จะดีกว่า”กล่าวจบ นางก็ยืดหลังตรงแล้วเดินจากไปทันทีจีเฉินตะลึงไป จากนั้นมุมปากก็ยกเป็นรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมา ช่างเป็นปากที่คมกล้านัก ช่างเป็นหญิงที่งดงามมากสามารถไร้ผู้เปรียบจริงๆ......เซี่ยซางสะกดกลั้นความขุ่นเคืองมาหลายวัน ในที่สุดก็อดถามหลินเฟิงไม่ได้ “หลายวันมานี้เจ้ามัวไปอยู่ที่ใดมา?”หลินเฟิงถูกถามจนมึนงง “ข้าน้อยก็คอยติดตามท่านอ๋องอยู่ตลอด มิได้ไปที่ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ!”ความโมโหของเซี่ยซางพวยพุ่ง “ปกติเจ้าไม่ได้ชอบวิ่งมั่วไปทั่วหรือ? ทำไมตอนนี้ถึงได้ว่านอนสอนง่ายนักเล่า”หลินเฟิงจึงตระหนักได้ขึ้นมา หลายวันมานี้ท่านอ๋องล้วนมิได้ไปที่หอหล่านเยว่ หลังกลับจากหอเซียงหย่าก็ทร
เพราะองค์ชายสี่ก็เป็นธุระในเรื่องนี้เช่นกัน นางจึงดึงพระชายาขององค์ชายสี่เข้าไปด้วย แต่พระชายาองค์ชายสี่เป็นคนสกุลจาง สกุลจางเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ นางจึงหาข้ออ้างมาไว้ทุกข์ที่สกุลจางได้อีกหลายวันมานี้ไม่เพียงกินน้อย ยังพูดน้อยอย่างมาก ญาติสนิททั้งสองท่านมาเสียชีวิตติดกัน นางจะเศร้าโศกเสียใจก็เป็นเรื่องธรรมดา คำพูดประเภทคนตายไม่อาจฟื้นคืนพวกนั้นนางก็ไม่รู้จะปลอบอย่างไร เพราะมิใช่บิดามารดาของนางและเรื่องก็มิได้เกิดขึ้นกับตัวนางจีเฉินถูกขังอยู่ในคุกอยู่ตลอด ไม่ว่าจะสอบปากคำอย่างไรเขาก็ยังคงยืนหยัด ไม่ยอมเปิดโปงสกุลซูออกมาเจียงเฟิ่งหัวหยิบเสื้อเสื้อคลุมตัวหนึ่งไปที่เบื้องหน้าจางอวี่มั่วแล้วคลุมให้นาง “พี่สะใภ้”เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วัน จางอวี่มั่วก็ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว หากมิใช่เพราะเฝิงจิ้งย่วนคอยสรรหาวิธีมาทำอาหารให้นางทาน ร่างกายของนางจนอ่อนล้าจนล้มลงนานแล้วนางมองซากปรักหักพังตรงหน้าด้วยดวงตาที่บวมแดง “เพราะข้ากำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก พวกท่านจึงมอบความรักทั้งหมดให้ข้า ข้าไม่เคยคิดเลยว่าพวกท่านจะจากข้าไปเร็วขนาดนี้ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ที่แท้เป็นเพราะเหตุใดกัน เหตุใดป้าสะใ
ซูเซวี่ยนมิได้รับคำ เพียงฟังเซี่ยซางชี้ไปที่กระบะทรายแล้ววิเคราะห์อย่างมั่นใจหลายปีมานี้ เป็นเพราะฮ่องเต้มิได้มอบโอกาสให้เหิงอ๋องได้สวมชุดเกราะออกศึก มิเช่นนั้นอาณาเขตของต้าโจวก็คงมิได้มีเพียงเท่านี้สายตาของฮ่องเต้ยังคงสั้นเกินไป เหิงอ๋องมีอุดมการณ์และความทะเยอทะยาน หากซูถิงหว่านใช้การไม่ได้ สกุลซูยังมีบุตรสาวนางอื่นที่ส่งมาปรนนิบัติได้ในเวลานี้ เจียงจิ่นเหยียนก็นำข่าวของเมืองหลวงมาแล้วเช่นกัน นอกจากข่าวเสบียงและสิ่งของที่กำลังเดินทางมาแล้ว เขายังนำข่าวอีกชิ้นหนึ่งมาด้วย “พระชายาถูกลอบสังหาร จวนของจางกั๋วกงเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”หลังเซี่ยซางได้ฟัง สายตาของเขาก็ดั่งมีเปลวเพลิงอันร้อนแรงกองหนึ่งกำลังลุกโชน “เป็นผู้ใดที่ลงมือกับพระชายากัน? หรวนหร่วนกับลูกเป็นอย่างไรบ้าง”เจียงจิ่นเหยียนกล่าวต่อว่า “ยังดีที่ข้างกายพระชายามีคนอยู่ มือสังหารจึงทำไม่สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ นางกับซื่อจื่อน้อยล้วนปลอดภัยดี แต่ท่านผู้อาวุโสทั้งสองของสกุลจางมิได้โชคดีเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”“ในจดหมายบอกว่าเป็นจีเฉิน เขาหามือสังหารมา แต่หลังมือสังหารถูกจับก็กินยาพิษฆ่าตัวตายหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกมันมิใช่มือสังหารทั่ว
นางถือโอกาสกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าต้องการกลับบ้านเจ้าค่ะ ข้าจะไปดูท่านแม่ของข้า” นางแค่ต้องการหนีเท่านั้นทันใดนั้น ใบหน้าของซูเซวี่ยนก็ปรากฏความไม่พอใจขึ้นมาแล้วหายไป “ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงนับพันลี้ อีกทั้งหิมะยังตกหนักจนปิดทาง ที่ชายแดนก็กำลังทำสงครามอีก สถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้ เจ้าจะกลับไปได้อย่างไร”“แต่ท่านแม่ของข้า…”“ข้าจะให้คนของสกุลซูไปดูที่จวนสกุลจางเอง เจ้าจงพักอยู่ที่นี่อย่างวางใจ ไม่ได้ไปที่ใดทั้งนั้น” น้ำเสียงของเขาไม่อนุญาตให้สงสัย ยิ่งไม่อนุญาตให้ต่อต้านสวี่หมัวมัวที่รออยู่ด้านข้างรับปลอบใจนาง “ฮูหยินโปรดระงับความเสียใจ ท่านเขยจะต้องจัดการจนเรียบร้อยแน่เจ้าค่ะ”สวี่หมัวมัวเป็นหมัวมัวคนสนิทที่ฮูหยินรองสกุลจางจัดมาอยู่ข้างกายจางอวี่เยี่ยน นับตั้งแต่พวกนางมาถึงชายแดนและเข้ามาอาศัยอยู่ในจวนสกุลซู พวกนางก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวเช่นกันไม่มีการกราบไหว้ฟ้าดินก็จับคุณหนูไปขึ้นเตียงเสียแล้ว ไม่มีกฎธรรมเนียมแม้แต่น้อย ทว่าพวกนางก็ได้แต่โกรธอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไป เพราะไม่ว่าอย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าซูเป็นผู้ไปสู่ขอต่อสกุลจางด้วยตนเอง และคุณหนูยังเป็นภรรยาในนามของเขา พวกนาง
วันนั้นหลังจากจางอวี่เยี่ยนถูกซูเซวี่ยนตบไปฉาดหนึ่งก็โวยวายไปอีกสองรอบ แต่หลังจากที่ถูกสั่งสอนไปนางก็ว่าง่ายแล้ว ไม่กล้าขัดคำสั่งซูเซวี่ยนอีก นางต้องเรียนรู้ที่จะประจบเอาใจ ปรนนิบัติเขาอย่างไร้ศักดิ์ศรีเหมือนสาวใช้ในเรือนของเขาอย่างไรก็ตาม แม้นางจะไม่มีเกียรติ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เรียกนางว่าฮูหยิน และนางไม่ต้องไปทำงานเหมือนสาวใช้วันนี้ด้านนอกหิมะตกหนัก เกล็ดหิมะปลิวไสวราวขนห่าน ยามที่นางอยู่ในเมืองหลวงไม่เคยเห็นหิมะตกหนักเช่นนี้มาก่อน ตอนออกจากเมืองหลวง ท่านแม่บรรจุสินเดิมให้นางถึงสามคันรถเต็มๆ และได้เตรียมเสื้อผ้าที่ใส่ในฤดูหนาวไว้ให้นางอย่างพรั่งพร้อมด้วยในเวลานี้ นางทำได้เพียงดูของต่างหน้าคน คิดถึงบ้านที่เมืองหลวง คิดถึงมารดานางคิดไม่ถึงว่า ท่านแม่ทัพซูจะมีอนุภรรยามากมายเช่นนี้ กระทั่งบางคนยังมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางอีกเมื่อมองดูดวงตาที่คับแค้นและหดหู่แต่ละคู่ในจวน ความหวาดหวั่นและขลาดกลัวก็เต็มรื้นขึ้นมาในหัวใจของจางอวี่เยี่ยน นางยิ่งระมัดระวังขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องให้ซูเซวี่ยนทำพิธีแต่งงานกับนางอีก นางรู้สึกว่าแม้ปากพวกเขาจะเรียกนางว่าฮูหยิน แต่นางได
จางอวี่เยี่ยนกอดตนเองแน่นอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็หมุนตัวขึ้นเตียงไปหลบอยู่ในผ้าห่ม เพราะสถานที่แห่งนี้หนาวเกินไป หลายวันที่นางมาที่นี่ มีเพียงตอนอยู่ในผ้าห่มนางจึงจะรู้สึกอบอุ่นน้อยครั้งมากที่นางจะออกไปจากเรือนนี้เช่นกัน เพราะนางไม่คุ้นเคยกับผู้ใดเลย และยิ่งไม่รู้จักใคร นางพบว่าคนสกุลซูนั้นเยอะจริงๆ โดยเฉพาะสตรี นางแอบไปสืบข่าวมาแล้ว ยังดีที่พวกนางไม่ใช่ผู้หญิงในเรือนของซูเซวี่ยน แต่เป็นอนุของท่านแม่ทัพซูบิดาของเขาในเวลานั้นเอง ประตูก็ถูกคนผลักออกอย่างกะทันหัน เงาร่างของคนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาอย่างเงียบงัน จางอวี่เยี่ยนส่งเสียงว่า “ติงเซียง?”ตะโกนเรียกอยู่สองครั้งผู้ที่มาล้วนมิได้ตอบนาง จู่ๆ ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะก็ดับลงเช่นกัน จางอวี่เยี่ยนขดตัวซ่อนอยู่ในผ้าห่ม หวาดกลัวจนตัวสั่น นางถอนปิ่นบนมวยผมมากำไว้ในมืออย่างไม่รู้ตัว “เป็นผู้ใดกัน…”วินาทีถัดมา เงาร่างนั้นก็โผเข้ามาที่เตียงในความมืด เขาดึงเท้าของจางอวี่เยี่ยนออกมาจากผ้าห่มทันที จางอวี่เยี่ยนตกใจจนกรีดร้องออกมา “กรี๊ด ช่วยด้วย”แต่ไม่ทันทีนางจะแทงปิ่นในมือเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย ปิ่นก็ถูกผู้มาทิ้งออกไปแล้วภายในห้องมืดมิดไร้แสง
เมื่อรู้ว่าสกุลจางไฟไหม้นางไม่มีทางไม่มา หลินอวี่สามารถสืบได้ในทันทีว่าฮูหยินรองสกุลจางเป็นคนวางเพลิง และไฟยังเริ่มลุกไหม้มาจากเรือนของจางกั๋วกงอีก ในสถานการณ์ที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้ และตอนนั้นไฟก็ยังมิได้ถูกดับลงอีก พวกเขาจะจับฮูหยินรองได้ไวถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ฮูหยินรองเมื่อถูกหย่าก็ไม่ควรอยู่จวนสกุลจางแล้ว แล้วเหตุใดนางจึงวิ่งกลับมาวางเพลิงที่สกุลจางอีก? นี่มิใช่การรนหาที่ตายหรืออย่างไร?เมื่อครู่นางถามจีเฉินว่าเขาเป็นคนวางเพลิงหรือไม่ แต่ในคำพูดของเขาเห็นได้ชัดว่ากำลังกระตุ้นโทสะนาง และกระทั่งมั่นใจว่าใครเป็นผู้วางเพลิงที่แท้ซูเซวี่ยนคำนวณถึงสิ่งที่นางคิดไว้ก่อนแล้ว และรู้ด้วยว่าการลอบสังหารในครั้งนี้น่าจะไม่สำเร็จ เพราะมีคนของจวนอ๋องคุ้มครองอยู่ นางจึงไม่มีทางตายอย่างง่ายดายเช่นนั้น มีเพียงเจ้าโง่จีเฉินนั่นที่คิดว่าทุกเรื่องจะราบรื่นเพราะซูเซวี่ยนส่งมือสังหารมาให้เขาดังนั้น จีเฉินก็ตกอยู่ในแผนการของซูเซวี่ยนเช่นกันเมื่อตระหนักได้ถึงสิ่งเหล่านี้ เจียงเฟิ่งหัวก็ถอนใจอยู่ในใจว่า ‘ดีเหลือเกิน แม่ทัพซูเซวี่ยนผู้นี้ช่างความคิดลึกซึ้งเจ้าแผนการนัก เซี่ยซางอยู่ไกลออกไปถึงชายแดนเขา
นางเดินไปที่เบื้องหน้าของหัวหน้ากองหยางและรองผู้ว่าจาง แล้วกล่าวเสียงหนักว่า “ใต้เท้าหยางและใต้เท้าจาง มือสังหารที่มาลอบสังหารข้าล้วนถูกจับหมดแล้ว รบกวนพวกท่านทั้งสองตรวจสอบว่าเป็นผู้ใดบงการให้พวกเขามาลอบสังหารข้า สกุลจางเกิดเพลิงไหม้ ท่านกั๋วกงและฮูหยินล้วนถูกสังหาร ทำให้ผู้คนโศกเศร้ายิ่งนัก ขอใต้เท้าโปรดตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อมอบคำอธิบายให้ท่านกั๋วกงและฮูหยินด้วย”จางอันอวี่ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเหิงอ๋องเช่นกัน ยามนี้เหิงอ๋องนำทัพไปออกศึก พวกเขาย่อมรักษาเขตเมืองหลวงให้ท่านอ๋องเป็นอย่างดี ใต้เท้าจางกล่าวด้วยความเคารพว่า “พระชายาโปรดวางพระทัย ผู้น้อยจะจัดการอย่างเข้มงวดพ่ะย่ะค่ะ”อ้าวเสวี่ยมาที่เบื้องหน้าของเจียงเฟิ่งหัวอย่างเร่งร้อน “ทูลพระชายา มือสังหารเสียชีวิตหมดแล้วเพคะ เป็นการตายจากพิษกำเริบ หัวหน้าหน่วยเย่อิ่งตรวจสอบแล้วเพคะ พวกมันไม่ใช่มือสังหารแต่เป็นหน่วยกล้าตายเพคะ”“จะพิษกำเริบได้อย่างไร?” จางอันอวี่สงสัยหยางเจิ้งก็กล่าวเสริมอีกประโยค “ฆ่าคนปิดปากน่ะสิ”หัวคิ้วของเจียงเฟิ่งหัวขมวดแน่น นางถามว่า “หน่วยกล้าตายคือสิ่งใด?” เจียงเฟิ่งหัวยังไม่ค่อยเข้าใจว่ามือสังหารกับ
สกุลจางเกิดเรื่อง จางอวี่มั่วกับราชครูเจียงและฮูหยินเจียงล้วนพากันมาแล้วในเวลานี้ สกุลจางโกลาหลไปหมด ฤๅสวรรค์คงได้ยินเสียงร้องไห้ครวญคร่ำของจางอวี่มั่วที่ดังสะเทือนเลือนลั่นไปถึงฟ้า จึงได้ส่งสายพิรุณลงมาดับอัคคีภัยครั้งใหญ่ของจวนสกุลจางสุดท้าย ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลจางก็รอเจอหน้าจางอวี่มั่วเป็นครั้งสุดท้ายไม่ไหว เจียงเฟิ่งหัวยังจำได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าฝืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายกุมมือนางไว้ “สาวน้อย บอกมั่วเอ๋อร์อย่าได้เสียใจ ปกป้องนางด้วย ขอบคุณ…”จางอวี่มั่วมองศพของสองผู้เฒ่าสกุลจาง นางร้องไห้จนสลบไปแล้ว เจียงฮูหยินรีบตระกองนางไว้ในอ้อมแขนสกุลจางเกิดคดีฆาตกรรม คนของเขตเมืองหลวงและกองกำลังรักษาความปลอดภัยนครบาลล้วนมากันหมด เมื่อจับตัวฮูหยินรองสกุลจางได้นางก็มิได้ตื่นตระหนก แต่สารภาพทันทีว่านางเป็นผู้วางเพลิง และเหตุผลก็เป็นเพราะสกุลจางหย่าขาดนางเมื่อเจียงเฟิ่งหัวเห็นสภาพที่อันน่าอนาถภายใน นางก็โมโหจนแทบเสียสติ แต่นางรู้ว่าตอนนี้ไม่ว่าใครก็สามารถไร้สติได้ มีเพียงนางที่ไม่ได้ เพราะคนร้ายตัวจริงที่ชักนำและบงการให้เกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนี้กำลังคุกเข่าอยู่ในลาน นางจะส่งมันไปลงนรกอเวจีขุมที่สิบแ
เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมิใช่เจียงเฟิ่งหัว เมื่อเข้ามาใกล้แล้วเห็นหน้านางชัดเขาถึงได้รู้ว่านางเป็นใคร ผู้ดูแลหลินของหอเซียงหย่า สตรีที่ทั้งมากรักและไม่สำรวม นางถึงกับเป็นวรยุทธ์เขาไม่คาดว่า ด้วยความสัมพันธ์ของนางกับสกุลจาง ทั้งที่สกุลจางเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้และเจียงเฟิ่งหัวก็มาถึงสกุลจางแล้ว นางยังจะหาคนมาปลอมแปลงเป็นนางได้อีกเรื่องราวถูกเปิดโปง จีเฉินอดทนต่อความเจ็บปวดที่มือคิดจะฉวยโอกาสหนีไปในความวุ่นวาย แต่หลินอวี่จะมอบโอกาสให้เขาได้อย่างไร จึงถีบหลังของเขาจนล้มหน้าคะมำจีเฉินสวมหมวกปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง ฟ้าก็มืดแล้วหลินอวี่จึงจำหน้าเขาไม่ได้ นางกล่าวว่า “ให้มารดาดูหน่อยเถอะว่าเป็นเศษสวะตัวใดที่คิดทำร้ายคนกัน”จีเฉินที่นอนหมอบอยู่บนพื้นพลิกมือคิดจะจับมือของหลินอวี่ไว้ ทว่าอ้าวเสวี่ยที่เหินกายมาอย่างกะทันหันเหยียบตัวเขาไว้ ประกายดาบในมือตวัดขึ้น ครั้งก่อนนางก็คิดจะจัดการมันแล้ว แต่ปล่อยให้มันหนีไปได้ทว่าเจียงเฟิ่งหัวเอ่ยห้าม “อ้าวเสวี่ย รอก่อน” หากเขาวางเพลิงเผาจวนสกุลจาง จนเป็นเหตุให้จางกั๋วกงและฮูหยินของจางกั๋วกงเสียชีวิตจริงๆ เขายังต้องมอบคำชี้แจงให้สกุลจาง กระทั่งยั