นางคิดเพียงอยากจะผลักเขาออกไป หากรู้แต่แรกก็คงจะยอมอ่อนข้อให้เขาบ้างแล้ว เลี่ยงไม่ให้เขาต้องดื่มหนักจนเมาสภาพนี้ สุดท้ายก็เป็นตนเองที่ต้องรับเคราะห์ พูดตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว ชุดกระโปรงหลัวฉวินขนกำมะหยี่แท้ปักลายบุปผา สิ่งนี้เป็นชุดรูปแบบใหม่ที่พี่หญิงรองมอบให้นาง กลับต้องมาถูกเซี่ยซางทำเลอะเทอะเสียหายหมดแล้ว นางได้แต่กรีดร้องคำรามอยู่ในใจ จากนี้จะไม่ให้เซี่ยซางดื่มสุราอีกเป็นอันขาด วันนี้จิตใจของนางมิได้อยู่ที่เซี่ยซางเลยแม้แต่น้อย ได้แต่หลีกให้ซูถิงหว่านได้ประจบสอพลอเอาใจให้เต็มที่ ส่วนนางก็แค่มองอย่างเย็นชาจากด้านข้าง ทว่าเขาพอดื่มสุราหนักมากถึงเพียงนี้ กลับนำพาความเดือดร้อนเหล่านี้มาให้ นางตะโกนออกไปด้านนอก “เหลียนเย่ หลินเฟิง เข้ามา…” ตะโกนเรียกไปนานแล้วก็ยังไม่มีผู้ใดเข้ามา ตอนนี้เอง ซางอวี๋เพียนเพียนก็เอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าเหิงอ๋องจะคออ่อนเพียงนี้ ให้พวกข้าช่วยเจ้าพาท่านอ๋องขึ้นรถม้าดีกว่า แล้วก็เฟิ่งหัว ชุดของท่าน…” เจียงเฟิ่งหัวกวาดสายตามองไปทั่วห้องรับรอง เคราะห์ดีที่แห่งนี้คือเซียงหย่าหยวน นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋องพวกเราไปพักบนตั่งนุ่มตรงนั้นสักพักเถิด” “อา ไปกับ
ดวงตาของจางอวี่มั่วเริ่มแดงขึ้นมา ใช้ความกล้าถามออกไปว่า “คนที่คุณชายเจียงหมายปองคือองค์หญิงเพียนเพียนใช่ไหมเจ้าคะ?”อันที่จริงเมื่อครู่นางก็ได้ยินแล้ว แต่ว่าเจียงจิ่นเหยียนตอบกำกวม คนที่องค์หญิงเพียนเพียนชอบคือคุณชายไร้เทียมทาน แล้วคนที่คุณชายเจียงชอบคือใครกันเล่านางถึงกับยินดีอยู่ไม่น้อยที่เจียงจิ่นเหยียนกับองค์หญิงเพียนเพียนไม่ได้มีความสัมพันธ์กันในเชิงนั้น เพียงแค่คนนอกไม่เข้าใจสถานการณ์ ทุกคนจึงนึกว่าเจียงจิ่นเหยียนกำลังจะแต่งงานเจียงจิ่นเหยียนตะลึงงัน “ข้าเปล่า” ที่จริงแล้วเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาออกไปจากบ้านประมาณสองเดือน ซางอวี๋เพียนเพียนก็ตามติดเขาอยู่ตลอดสองเดือนเนื่องด้วยเขามีภาระงานราชการ อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับความลับขั้นสุดยอดของอาณาจักรต้าโจว เขาจึงอยู่กับซางอวี๋เพียนเพียนน้อยมาก ซางอวี๋เพียนเพียนก็ไม่ก้าวก่ายอะไรเขา ทั้งสองเป็นเหมือนเพื่อนที่เดินทางด้วยกันจางอวี่มั่วเริ่มสารภาพรักโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “ในเมื่อคุณชายยังไม่มีหญิงที่พึงใจ ไม่ทราบว่าคุณชายจะให้โอกาสอวี่มั่วได้หรือไม่ ปีนั้นตอนอายุเก้าขวบ ข้าได้พบคุณชายเจียงเป็นครั้งแรก ข้าก็มีใจให้คุณชายเจียงเ
หลินอวี่ยืนอยู่ข้างประตู จ้องเจียงจิ่นเหยียน นางรู้สึกเพียงว่าเขาช่างจริงใจตรงไปตรงมา ไร้ที่ติ สายตานางก็เป็นประกายขึ้นแวบหนึ่ง นางรู้ตั้งแต่เด็กแล้วว่า คนที่หลงรักเจียงจิ่นเหยียนจะต้องเจ็บปวด เพราะว่าเขาเก็บหญิงนางหนึ่งที่ล่วงลับไปแล้วไว้ในใจ แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงลืมนางไม่ลง แต่ได้มีชายคนหนึ่งระลึกถึงตลอดชีวิตเช่นนี้ ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนที่โชคดีมากแล้วคนที่ตายจากไปก็หลุดพ้นตั้งนานแล้ว คนที่ยังมีชีวิตอยู่คือคนที่ทรมานเสมอสิ่งเหล่านี้คือความลับที่หลินอวี่ค้นพบโดยบังเอิญ แม้แต่เจียงเฟิ่งหัวนางก็ไม่ได้บอกนางกล่าว “คุณชาย”“เอาเสื้อผ้าที่สะอาดไปส่งให้หรวนหร่วนกับเหิงอ๋อง” พูดจบเขาก็ก้าวออกจากประตูไปเมื่อเจียงจิ่นเหยียนออกมาจากหอเซียงหย่า ก็ไม่เห็นจางอวี่มั่วแล้ว เขานึกว่านางกลับบ้านไปพร้อมบ่าวของสกุลจางแล้วเวลานี้เอง ซางอวี๋เพียนเพียนก็วิ่งกลับมา “จิ่นเหยียน เหตุใดจึงมีแต่ท่านคนเดียวเล่า?”เจียงจิ่นเหยียนตอบ “เหิงอ๋องเมาแล้ว หรวนหร่วนกำลังดูแลเขาอยู่”“คุณหนูจางล่ะ?” ซางอวี๋เพียนเพียนถามเจียงจิ่นเหยียนก็ไม่ได้คิดมาก “นางก็กลับจวนแล้ว”ซางอวี๋เพียนเพียนเข้าไปกอดเอวเ
อีกฝั่งหนึ่ง จางอวี่มั่วออกมาจากหอเซียงหย่า มองดูผู้คนที่ผ่านไปมาบนถนน พ่อค้าริมถนนร้องเรียกขายของ วันนี้นางไม่ได้กินอะไรมาก อีกทั้งยังอดอยากมาสองวันแล้ว นางรู้สึกเพียงว่าท้องว่าง นางจึงนำเงินทั้งหมดที่มีในตัวออกมา เริ่มซื้อไปตลอดทางจนเมื่อถือไม่ไหวแล้ว นางจึงค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง มองดูแสงไฟสว่างไสวบนท้องถนน ความเศร้าหมองในใจนางก็มลายหายไปในทันทีก่อนมาที่หอเซียงหย่า เจียงเฟิ่งหัวพานางไปที่ศาลาการกุศล นางไม่เคยรู้ว่าในเมืองเซิ่งจิงอันสวยงามเจิดจรัสรุ่งเรืองเฟื่องฟูยังมีสถานสงเคราะห์แบบนี้อยู่ด้วยคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเด็กและผู้หญิงทั้งนั้น ที่นั่นเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและหัวเราะอย่างเบิกบาน เป็นที่ที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจ แต่เจียงเฟิ่งหัวบอกนางว่า ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างมีเรื่องราวของตัวเอง เด็ก ๆ เป็นเด็กกำพร้า หรือไม่ก็ถูกทอดทิ้ง ศาลาการกุศลเป็นคนรับพวกเขามาเลี้ยงในบรรดาหญิงสาว บางคนเคยถูกกระทำราวกับไม่ใช่มนุษย์ บางคนถูกผู้ชายหลอกลวงและทิ้งไป เมื่อไม่มีผู้ชายแล้ว พวกนางเป็นไม่ได้แม้แต่เครื่องประดับบารมี พวกนางถึงกับใช้ชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ตั้งแต่มีศาลาการกุศล พวกนางเลี้ยงตัวเอ
ชายคนนั้นกล่าวอีกว่า “เอาตัวพวกมันไป ลงโทษให้หนัก”จางอวี่มั่วร้องห่มร้องไห้จนไม่เป็นผู้เป็นคนตั้งนานแล้ว นางนั่งยอง ๆ กอดแขนอยู่ในมุม เวลานี้เอง ชายคนนั้นก็ยื่นมือมาทางนางในทันใด “ไม่เป็นไรแล้วนะ”จางอวี่มั่วเงยหน้าขึ้นมาจ้องชายที่อยู่ตรงหน้าและทหารกลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขา นางระแวดระวังอยู่ในใจ ไม่กล้าให้พวกเขาเข้ามาใกล้ชายคนนี้สวมชุดผ้าไหมสีเขียวล้วน มองดูสุภาพเรียบร้อย แต่ตัวเขาแผ่รัศมีความชั่วร้ายออกมาอย่างชัดเจน กล่าวเสียงหนักแน่นว่า “วางใจเถิด พวกเขาไม่กล้าข่มเหงท่านอีกแล้ว”จางอวี่มั่วลุกขึ้นยืน กล่าวเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณเจ้าค่ะ”ชายคนนั้นกล่าวอีกว่า “บ้านคุณหนูอยู่ที่ใด ข้าน้อยจะให้คนไปส่งท่านกลับจวน”จางอวี่มั่วอยากบอกว่าไม่ต้องหรอก แต่ว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ช่างน่ากลัวเกินไปแล้วจริง ๆ นางรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมาในใจ นางเกือบตายแล้ว ตอนนี้ยังไม่หายเสียขวัญ เห็นว่าอีกฝ่ายพาทหารมา ก็คิดในใจว่าน่าจะเป็นคนของราชสำนัก จึงบอกที่อยู่แก่เขาไปเมื่อชายคนนั้นได้ฟัง “ท่านเป็นคนของจวนจางกั๋วกง มาอยู่ที่นี่เพียงลำพังได้อย่างไร”“ข้า…” จางอวี่มั่วอยากจะพูดแต่ก็ยั้งไว้ “ข้
จีเฉินพาซูถิงหว่านมาหลบอยู่ในที่มืด เขาเข้าไปกระซิบข้างหูนาง “อยากเอาชนะศัตรู ก็ต้องรู้เขารู้เรา จึงจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เจ้าพุ่งเข้าชนโดยไม่สนใจใด ๆ ทั้งสิ้นเช่นนี้ มีแต่จะเจ็บตัว”“จุดอ่อนของเจียงเฟิ่งหัวคืออะไร?” เขาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายซูถิงหว่านคิดอยู่นาน ส่ายหัวไปมา “ข้าไม่รู้ นางทำตัวอ่อนแอ พอนางร้องไห้เซี่ยซางก็จะสงสารนาง ข้าก็ทำอะไรนางไม่ได้”จีเฉินกล่าว “นี่ก็คือความชาญฉลาดของนาง ผู้หญิงแสดงความอ่อนแอต่อหน้าผู้ชาย ผู้ชายก็จะเกิดความเมตตาสงสารนาง นานวันเข้า นางก็ย่อมล่อลวงผู้ชายไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้านั้นของนางต่างหากคืออาวุธสำคัญที่สุดของนาง นี่คือสิ่งที่เรียกว่ายอดบุรุษยากจะฝ่าด่านหญิงงามไปได้”ซูถิงหว่านได้ฟังแล้ว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “นางก็ใช้ใบหน้านี้ของนางนี่แหละยั่วยวนเซี่ยซาง ข้าละอยากทำลายมันเสียจริง”“ล่อลวงเซี่ยซางไปได้ เกรงว่านางจะไม่ได้อาศัยรูปโฉมอันงดงาม แต่เป็นเล่ห์เหลี่ยมของนางต่างหาก…” จีเฉินพูดคำเดียวก็กระจ่าง “บุตรสาวราชครูคนหนึ่ง ไม่ได้รอบรู้เท่านั้น ยังหน้าตาสะสวยถึงเพียงนี้อีกด้วย นางแสดงท่าทางต่อหน้าเซี่ยซางเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็
ในเสี้ยววินาทีนั้น ภายในใจของซูถิงหว่านก็เบิกบานขึ้นมาทันที “พี่เฉิน ความหมายของท่านคือพวกเราควรลงมือจากจุดนี้”วันทั้งวัน นางเอาแต่ต่อสู้แย่งชิงให้เซี่ยซางมาที่ห้องของนาง แต่เจียงเฟิ่งหัวทำเพียงกระดิกนิ้ว เซี่ยซางก็ไปที่เรือนของนางแล้ว มีเพียงทำให้นางหายไปอย่างสมบูรณ์เซี่ยซางจึงจะไม่คิดถึงนางอีกเจียงเฟิ่งหัวให้นางอ่านหนังสืออยู่ที่จวน นางก็มิได้จะสอบจอหงวนสักหน่อย อ่านหนังสือมากมายเพียงนี้ไปทำไมกัน นางจงใจหารังแกนางชัดๆ แต่เซี่ยซางยังดันไปเห็นด้วยอีกเมื่อนึกถึงเมื่อครู่หลังจากที่เขาเมาสุราก็เอาแต่พูดถึงหรวนหร่วน หัวใจของนางล้วนก็กำลังหลั่งเลือดออกมาภายหลังที่เจียงเฟิ่งหัวให้คนไปส่งจางอวี่มั่วกลับจวน นางก็กลับไปที่หอเซียงหย่า เห็นเซี่ยซางยังคงหลับอยู่ นางจึงดึงเจียงจิ่นเหยียนไปอีกทาง “พี่ใหญ่ ที่แท้ท่านชอบผู้ใดกันแน่? จางอวี่มั่วหรือซางอวี๋เพียนเพียน?”นางเตือนขึ้นอีกครั้งว่า “หากพี่ใหญ่ชอบซางอวี๋เพียนเพียน ฐานะของนางไม่ใช่ผู้ที่สกุลเจียงของเราจะเทียบเคียงได้ ในอนาคตนางจะ…” นางมิได้กล่าวคำพูดด้านหลังออกมาเจียงจิ่นเหยียนก็รู้ว่าไม่อาจมีความเกี่ยวข้องกับซางอวี๋เพียนเพียนมากเกิน
“ไม่ใช่เรื่องของผู้อื่น เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของหม่อมฉันเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวต่ออีกครั้ง “หม่อมฉันไม่อยากให้พวกเขาเกิดเรื่อง”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะเกิดเรื่อง? อีกอย่างพวกเขาจะเกิดเรื่องอะไรได้” เซี่ยซางถามนางเสียงหนักในชั่วขณะ เจียงเฟิ่งหัวก็ไม่อาจตอบได้เซี่ยซางแต่งกายเรียบร้อยนานแล้ว เมื่อลุกขึ้นมาก็เดินผ่านนางออกประตูไปทันทีเจียงเฟิ่งหัวงุนงงไปหมด เขาโมโหด้วยเหตุใดกัน เป็นเขาที่อาเจียนใส่นางไปทั้งร่างชัดๆช่างประหลาดเหลือเกินนางไม่อยากเดาว่าเหตุใดเขาจึงได้โทโสเช่นนี้ ยกชายกระโปรงไล่ตามออกไป “ท่านอ๋อง รอหม่อมฉันด้วยสิเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวไล่ตามออกไป เขาชะงักฝีเท้าไปชั่วขณะหนึ่งแล้วกลับเร่งความเร็วขึ้นอีกหลินอวี่ที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็ไล่ตามออกมาเช่นกัน ก็เห็นเจียงเฟิ่งหัวยืนอยู่หน้าบันได “เกิดสิ่งใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”ในครั้งนี้ เจียงเฟิ่งหัวไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเซี่ยซางจึงได้เป็นเช่นนี้ นางกำชับให้หลินอวี่ดูแลเจียงจิ่นเหยียนให้ดีก็ออกจากหอเซียงหย่าไปในตอนที่นางออกมา เซี่ยซางไม่ได้รอนางจริงๆ เขาจากไปแล้วนางรู้ว่าเซี่ยซางเจ้าอารมณ์ แต่นางไม่เคยรู้มาก่อนว่า
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู