เถ้าแก่ไช่เดินลงมาจากชั้นบน ได้ยินว่าแขกในห้องโถงยังคงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสถานะของสตรีที่อยู่ข้างเหิงอ๋อง ในบรรดาแขกเหล่านั้นยังมีลูกค้าประจำจำนวนมากอีกด้วย เนื่องจากเกรงว่าทุกคนจะทำให้เหิงอ๋องไม่พอใจและกระทบต่อธุรกิจของโรงเตี๊ยม เขาจึงกล่าวว่า “คนที่อยู่กับเหิงอ๋องก็ต้องเป็นพระชายาเหิงอ๋องอยู่แล้ว ต่อไปอย่าวิพากษ์วิจารณ์ให้มากนัก ระวังจะถูกตัดลิ้นได้”ทุกคนจึงค่อยหยุด ไม่คาดเดาและวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป ต่างคนต่างกินข้าว ดื่มเหล้า ไม่นึกว่าเหิงอ๋องจะรักและเอาใจใส่พระชายาเหิงอ๋องขนาดนี้ในเมื่อเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ พวกเขาก็ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อีก รู้สึกเพียงว่าขณะนี้เหิงอ๋องทำคดีใหญ่หลายคดี ในใจพวกเขาก็ยิ่งเคารพยำเกรงเขาในห้องส่วนตัว อาหารเลิศรสอันประณีตถูกลำเลียงขึ้นโต๊ะทีละจาน มีสีสัน กลิ่นและรสชาติครบถ้วน เซี่ยซางกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบกินอาหารรสอ่อน วันนี้ก็กินสักนิดแก้ขัดไปก่อนนะ”เจียงเฟิ่งหัวก็ไม่ใช่คนที่มองไม่เห็นความดีของผู้อื่น เซี่ยซางได้ตำหนิเถ้าแก่ไช่ต่อหน้านาง ระบายความโกรธแทนนางที่ถูกซูถิงหว่านแอบอ้างชื่อมากินโดยไม่จ่ายเงินแล้วเขาใช้วิธีแบบนี้จัดการปัญหานี้ได้ แ
นางพยายามแสดงละครกับเขาให้สมจริงที่สุด เขาเองก็ให้สิ่งที่นางต้องการได้พอดี พวกเขาก็ถือว่าไม่ติดค้างต่อกัน!เซี่ยซางไม่รู้ว่าเจียงเฟิ่งหัวคิดอะไรอยู่ในใจ เขาคีบอาหารให้นางอย่างอ่อนโยน เจียงเฟิ่งหัวอิ่มแล้วก็ไม่กินอีก แต่ก็แค่ตามใจเซี่ยซางเท่านั้น ผู้ชายมักจะกินเยอะกว่าผู้หญิงเสมอเมื่อออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว เจียงเฟิ่งหัวยังคงมีกิริยาอ่อนโยน รู้มารยาท นางนึกว่าเซี่ยซางจะพานางกลับจวน ไม่นึกว่าเขาจะพานางไปเดินที่ถนนหนุ่มสาวรูปงามดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่มาเที่ยวเล่นไม่น้อย เขาก็เหมือนไม่ได้สนใจ ราวกับว่ากำลังป่าวประกาศว่านางก็คือพระชายาเหิงอ๋อง จูงมือนางเดินช้า ๆ อย่างสบายอารมณ์ไปตลอดทางถนนสายนี้เจริญมาก เป็นหนึ่งในถนนที่คึกคักที่สุดในเมืองเซิ่งจิงเมื่อตกกลางคืนก็ยิ่งคึกคัก แทบจะสว่างไสวด้วยแสงไฟทั้งคืน สวยงามเป็นอย่างมาก มีแสงสีเสียงจากแหล่งเริงรมย์ เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของผู้คน ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยบรรยากาศความฟุ้งเฟ้อและเสื่อมโทรมทางศีลธรรมมาถึงหน้าประตูร้านชุ่ยอวี้เซวียน เซี่ยซางก็พานางเข้าไปเลือกเครื่องประดับเดินดูแล้วรอบหนึ่ง เจียงเฟิ่งหัวไม่ถูกใจอะไรเลยสักอย่าง เพราะว
ขนตายาว ๆ ของนางเหมือนปีกจักจั่นที่ยอบตัวลงบนดวงตาทรงเมล็ดซิ่ง นัยน์ตาทั้งสองข้างของนางแจ่มใสเหมือนผืนน้ำในฤดูใบไม้ร่วง แฝงไปด้วยความอ่อนโยนและบริสุทธิ์เซี่ยซางอดใจไม่ไหวประคองใบหน้าของนางขึ้นมาด้วยมือสองข้าง คิดจะจูบ แต่ก็นึกถึงคำพูดของหมอหลวงเหมย เขาจึงข่มใจไว้ คว้ามือนางแล้วก็วิ่งไปทางริมทะเลสาบเจียงเฟิ่งหัวจู่ ๆ ก็ถูกเขาลากไป เหนื่อยจบหอบแฮ่ก มาถึงริมทะเลสาบ ที่นี่ห่างไกลจากความวุ่นวาย กลับกลายเป็นที่ที่เงียบสงบและงดงามมากนางพูดไปยิ้มไป “หม่อมฉันชอบที่นี่เพคะ”เซี่ยซางเข้ามาโอบเอว ค่อย ๆ สวมสร้อยเส้นหนึ่งให้ที่คอนางเจียงเฟิ่งหัวตกใจ ใจเต้นระรัว ใช้มือคลำ ๆ ดู เป็นหยกชิ้นหนึ่ง นางถาม “นี่คืออะไรหรือเพคะ?”เขาโน้มไปใกล้ ๆ ที่ข้างหูนาง กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ของขวัญให้เจ้า”“แต่ว่าวันนี้ท่านอ๋องมอบของขวัญให้หม่อมฉันเยอะแล้วนะเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวไม่รู้ว่าเขาซื้อสร้อยนี้มาตอนไหน“นี่มันไม่เหมือนกัน” เขากล่าวอีกว่า “ของสิ่งนี้มีชิ้นเดียวบนโลก”เจียงเฟิ่งหัวมองดูแวบหนึ่ง ก็แน่ใจว่าไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร รูปทรงเป็นกระต่ายตัวเล็ก ๆ อันประณีตละเอียดอ่อนที่หมอบคลานอยู่ เนื้อหยกคุ
เขาก็เอาอกเอาใจซูถิงหว่านแบบนี้ หากให้ซูถิงหว่านรู้ว่าเซี่ยซางก็พานางไปโรงละครเช่นกัน นางต้องเป็นบ้าแน่ๆ!หลังจากนั้น เซี่ยซางก็พานางไปดูละคร จนรุ่งสางพวกเขาจึงค่อยออกมาจากโรงละคร แต่ว่านี่ที่ไฟสว่างไสวไปหมดราวกับตอนกลางวัน ผู้คนแน่นขนัด คึกคักเป็นอย่างมากเจียงเฟิ่งหัวรู้ว่าซูถิงหว่านซ่อนอยู่ในมุมมืด นางก็จงใจเข้าไปใกล้เซี่ยซาง ควงแขนเขาไว้ เข้าไปแนบชิด พูดใกล้ ๆ เขาเรื่องละครที่พวกเขาไปดูเมื่อคืน “หม่อมฉันยังไม่รู้เลยว่าละครก็ขับร้องแบบนี้ได้ พูดได้ว่าสนุกมาก ๆ เลยเพคะ หม่อมฉันหัวเราะจนท้องแข็งไปหมดแล้ว”เซี่ยซางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “หากเจ้าชอบละก็ คราวหน้าข้าจะพาเจ้ามาอีก”“เพคะ หม่อมฉันชอบมาก ขอเพียงแค่ได้อยู่กับท่านอ๋อง หม่อมฉันก็ชอบทั้งนั้นเพคะ” นางเข้าไปกอดเอวเขา ออดอ้อนออเซาะเซี่ยซางอดใจไม่ไหวจุมพิตใบหน้านางไปอีกหนึ่งครั้ง อุ้มนางขึ้นมาด้วยมือสองข้างแล้วเดินขึ้นรถม้าไปเลยซูถิงหว่านที่หลบอยู่ในมุมมืดเห็นเซี่ยซางรักและเอาใจใส่เจียงเฟิ่งหัวกับตาตัวเอง เขาพานางมาโรงละครของพวกเขา หัวใจของนางเหมือนถูกมีดกรีด เขาพาผู้หญิงคนอื่นไปโรงละครได้อย่างไร นางถึงกับไม่กล้าเปิดหน้าให้คน
เซี่ยซางรู้สึกอยู่ไม่สุข ยากจะห้ามใจ ยื่นแขนไปกอดนางมาไว้กับอกแน่นยิ่งกว่าเดิมอีกเล็กน้อย “หรวนหร่วน”เจียงเฟิ่งหัวรู้สึกจั๊กจี้ที่หูจนไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก แล้วก็ผลักเขาออกอย่างไม่ตั้งใจ บ่นพึมพำว่า “ท่านอ๋องบอกว่าต้องคำถึงสุขภาพหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ? ดังนั้นอย่ากวนเลย นอนไปดี ๆ เถอะเพคะ!”ตอนนี้เซี่ยซางจึงเพิ่งรู้ว่านางตื่นตั้งนานแล้ว ความปรารถนาในใจยิ่งลุกโชน เพื่อให้นางได้พักรักษาตัวอีกหนึ่งวัน เมื่อคืนเขาจึงไม่แตะนางเลยเขาพลิกตัวนางกลับมา เสียงห้าวทุ้มดังขึ้นที่ข้างหูนาง “ตื่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”ทันใดนั้นเจียงเฟิ่งหัวก็ลืมตาขึ้น จ้องมองเขาตรง ๆ ลำแขนขาวราวหิมะจับเอวเขาไว้ เลียนแบบท่าทางของเขา ใช้สองนิ้วบีบเอวเขา แล้วก็ถูหน้าท้องแข็ง ๆ ของเขาช้า ๆ น้ำเสียงนางนุ่มนวลหวานหู “ก็ตื่นตอนที่ท่านอ๋องทำแบบนี้กับหม่อมฉันเพคะ”เซี่ยซางถูกนางยั่วยวนจนลุ่มหลงโงหัวไม่ขึ้น มุมปากยกขึ้น ส่งรอยยิ้มที่ชวนให้คนหลงใหล “หรวนหร่วนก็เรียนรู้สิ่งที่ไม่ดีเข้าแล้ว”“ท่านอ๋องไม่ได้เป็นคนสอนหม่อมฉันหรอกหรือ…”เจียงเฟิ่งหัวยังพูดไม่จบ เขาก็อุดปากนางไว้แล้ว คราวนี้เซี่ยซางไม่ได้เล่น ๆ แล้วหยุดแค่นี
“หมัวมัวอย่าได้กังวลอีกเลย ข้าย่อมมีแผนของข้า” นางกล่าวเรียบๆ “เนื่องจากเมื่อคืนท่านอ๋องเข้านอนดึกไปเล็กน้อย และวันนี้ไม่ต้องทำงาน จึงได้ตื่นสายอยู่บ้าง”พลังงานในยามเช้าของบุรุษมักโชติช่วงมากหน่อย ดังนั้นเขาถึงได้ตักตวงบนเรือนร่างนางอย่างบ้าคลั่ง จึงได้ทิ้งร่องรอยไว้ ในยามปกติ นับว่าเขายังอ่อนโยนต่อนางมากอยู่ยามที่นางอยู่กับเซี่ยซาง นางก็ได้รับความสุขสมอย่างมากเช่นกัน ประกอบกับไม่ต้องการถูกควบคุมด้วยคำสอนเรื่องมารยาทกฎเกณฑ์อีก เพราะชีวิตคนนั้นสั้นนัก ด้วยฐานะและตำแหน่งในอนาคตของเซี่ยซาง เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะครอบครองเขาไว้ผู้เดียว ดังนั้นมิสู้เก็บเกี่ยวความทรงจำในเวลานี้ไว้มากหน่อย“เพคะ บ่าวเพียงเห็นแล้วรู้สึกปวดใจ เกรงว่าบุรุษไม่รู้หนักเบา สุดท้ายผู้ที่บาดเจ็บก็คือสตรี ผู้ที่ต้องทนทุกข์ก็ยังเป็นสตรีอีกเพคะ” สวีหมัวมัวอธิบายนางรู้ว่าสวีหมัวมัวรักถนอมนางตั้งแต่เล็ก จึงยิ้มบางว่า “หมัวมัวช่วยข้าทายาสักหน่อยเถอะ!” นางไม่อยากให้ผิวของตนเหลือตำหนิใดแม้แต่เศษเสี้ยวเมื่อคืนซูถิงหว่านมิได้กลับมา นี่เป็นข้อห้ามใหญ่ของสตรีที่ออกเรือนแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่แต่งงานเข้าสู่ราชวงศ์ยิ่งไม
ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง เซี่ยซางก็หาตัวซูถิงหว่านพบที่จวนสกุลซู“อาซาง ข้าผิดไปแล้ว ข้าก็แค่อยากให้ท่านมาหาข้า ข้าแค่อยากรู้ว่าท่านยังเป็นห่วงข้าอยู่หรือไม่ ข้าเลยหนีกลับมา” ซูถิงหว่านออดอ้อน “พอข้ากลับมาก็พักอยู่ที่นี่เลย”เช้าวันนี้อวิ๋นฟางมาเยือนอย่างกะทันหัน เมื่อเห็นนางกลับจวนสกุลซูมาคนเดียว อวิ๋นฟางยังตำหนินางไปรอบหนึ่ง บอกว่านางไม่ควรหนีกลับมาเองโดยพลการ นางไม่รู้ว่ากฎของราชวงศ์เข้มงวดเป็นที่สุด เมื่อนางแต่งงานแล้วแต่หนีกลับมาโดยพลการ เกรงว่าจะก่อเรื่องใหญ่เข้าให้นี่ก็เป็นเพราะนางเห็นเซี่ยซางกับเจียงเฟิ่งหัวออดอ้อนพลอดรักกันในโรงละครจนโมโห จึงได้หนีกลับมายังดีที่นางกลับมาจวนสกุลซู ไม่ได้ไปที่อื่นอีก ไม่เช่นนั้นไม่ว่าเรื่องใดก็คงอธิบายได้ไม่ชัดเจนแล้ว นี่เป็นกฎของสะใภ้ที่จะแต่งเข้าสู่ราชวงศ์เห็นนางทำตัวเป็นเด็กไม่รู้ความเช่นนี้ ทุกครั้งล้วนต้องให้เขามาตาม ตอนนี้เขายุ่งมาก เซี่ยซางจึงหมดความอดทนต่อนาง “หากข้าไม่มา เจ้าก็เตรียมจะอาศัยอยู่ที่จวนสกุลซูแล้ว?”“ข้าเชื่อว่าท่านต้องมา” ซูถิงหว่านพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านไม่มีทางลืมข้อตกลงของพวกเรา พวกเราเคยตกลงกันเรียบร้อ
หากซูถิงหว่านกับอวิ๋นฟางมีการติดต่อกัน ก็แปลว่าครั้งก่อนที่พวกเขาต้องการทำร้ายเจียงเฟิ่งหัว หวานหว่านก็เข้าร่วมด้วยแล้วชายที่ตายไปแล้วผู้นั้นถึงกับเป็นอันธพาลบนท้องถนน เรื่องที่อวิ๋นฟางไปคบค้าสมาคมกับคนเช่นนี้ หวานหว่านรู้หรือไม่?หรือว่านางโกหกนางมาตลอด?เซี่ยซางสลัดความคิดในสมองของตนไป เขายังไม่สามารถเชื่อว่าหวานหว่านจะเป็นสตรีที่จิตใจชั่วร้ายอำมหิตเช่นนี้ หวานหว่านไม่ใช่คนเช่นนั้นแต่ทุกเบาะแสกลับแสดงให้เห็นว่านางมิได้บริสุทธิ์จู่ๆ เขาก็ลูบผมของนางอย่างสนิทสนมขึ้นมา “วันหลังไม่อนุญาตให้อาละวาดเอาแต่ใจเช่นนี้อีก ต่อให้คิดหนีจะออกจากบ้านก็ไม่อนุญาตให้ค้างคืนข้างนอก หากเรื่องไปถึงหูเสด็จแม่ ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้ง่ายนัก”“อื้ม ข้ารู้แล้ว” ซูถิงหว่านไม่รู้ความคิดของเซี่ยซาง คิดเพียงว่าเขายังคงชมชอบตนเอง จึงเป็นฝ่ายไปนั่งบนตักเขาก่อน จากนั้นโอบคอของเซี่ยซางแล้วจูบลงไปบนริมฝีปากของเขา ยามนี้นางไม่อาจประมาท ลดความระมัดระวังตัวได้แล้ว จะต้องกุมหัวใจของอาซางไว้ให้มั่นในใจของเซี่ยซางรู้สึกต่อต้านอยู่บ้าง หากไม่ใช่ฝีมือของหวานหว่าน นางก็มิได้มีความผิดใด สุดท้ายเขาจึงยังคงเป็นฝ่ายเริ่มตอ
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู