เขาก็เอาอกเอาใจซูถิงหว่านแบบนี้ หากให้ซูถิงหว่านรู้ว่าเซี่ยซางก็พานางไปโรงละครเช่นกัน นางต้องเป็นบ้าแน่ๆ!หลังจากนั้น เซี่ยซางก็พานางไปดูละคร จนรุ่งสางพวกเขาจึงค่อยออกมาจากโรงละคร แต่ว่านี่ที่ไฟสว่างไสวไปหมดราวกับตอนกลางวัน ผู้คนแน่นขนัด คึกคักเป็นอย่างมากเจียงเฟิ่งหัวรู้ว่าซูถิงหว่านซ่อนอยู่ในมุมมืด นางก็จงใจเข้าไปใกล้เซี่ยซาง ควงแขนเขาไว้ เข้าไปแนบชิด พูดใกล้ ๆ เขาเรื่องละครที่พวกเขาไปดูเมื่อคืน “หม่อมฉันยังไม่รู้เลยว่าละครก็ขับร้องแบบนี้ได้ พูดได้ว่าสนุกมาก ๆ เลยเพคะ หม่อมฉันหัวเราะจนท้องแข็งไปหมดแล้ว”เซี่ยซางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “หากเจ้าชอบละก็ คราวหน้าข้าจะพาเจ้ามาอีก”“เพคะ หม่อมฉันชอบมาก ขอเพียงแค่ได้อยู่กับท่านอ๋อง หม่อมฉันก็ชอบทั้งนั้นเพคะ” นางเข้าไปกอดเอวเขา ออดอ้อนออเซาะเซี่ยซางอดใจไม่ไหวจุมพิตใบหน้านางไปอีกหนึ่งครั้ง อุ้มนางขึ้นมาด้วยมือสองข้างแล้วเดินขึ้นรถม้าไปเลยซูถิงหว่านที่หลบอยู่ในมุมมืดเห็นเซี่ยซางรักและเอาใจใส่เจียงเฟิ่งหัวกับตาตัวเอง เขาพานางมาโรงละครของพวกเขา หัวใจของนางเหมือนถูกมีดกรีด เขาพาผู้หญิงคนอื่นไปโรงละครได้อย่างไร นางถึงกับไม่กล้าเปิดหน้าให้คน
เซี่ยซางรู้สึกอยู่ไม่สุข ยากจะห้ามใจ ยื่นแขนไปกอดนางมาไว้กับอกแน่นยิ่งกว่าเดิมอีกเล็กน้อย “หรวนหร่วน”เจียงเฟิ่งหัวรู้สึกจั๊กจี้ที่หูจนไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก แล้วก็ผลักเขาออกอย่างไม่ตั้งใจ บ่นพึมพำว่า “ท่านอ๋องบอกว่าต้องคำถึงสุขภาพหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ? ดังนั้นอย่ากวนเลย นอนไปดี ๆ เถอะเพคะ!”ตอนนี้เซี่ยซางจึงเพิ่งรู้ว่านางตื่นตั้งนานแล้ว ความปรารถนาในใจยิ่งลุกโชน เพื่อให้นางได้พักรักษาตัวอีกหนึ่งวัน เมื่อคืนเขาจึงไม่แตะนางเลยเขาพลิกตัวนางกลับมา เสียงห้าวทุ้มดังขึ้นที่ข้างหูนาง “ตื่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”ทันใดนั้นเจียงเฟิ่งหัวก็ลืมตาขึ้น จ้องมองเขาตรง ๆ ลำแขนขาวราวหิมะจับเอวเขาไว้ เลียนแบบท่าทางของเขา ใช้สองนิ้วบีบเอวเขา แล้วก็ถูหน้าท้องแข็ง ๆ ของเขาช้า ๆ น้ำเสียงนางนุ่มนวลหวานหู “ก็ตื่นตอนที่ท่านอ๋องทำแบบนี้กับหม่อมฉันเพคะ”เซี่ยซางถูกนางยั่วยวนจนลุ่มหลงโงหัวไม่ขึ้น มุมปากยกขึ้น ส่งรอยยิ้มที่ชวนให้คนหลงใหล “หรวนหร่วนก็เรียนรู้สิ่งที่ไม่ดีเข้าแล้ว”“ท่านอ๋องไม่ได้เป็นคนสอนหม่อมฉันหรอกหรือ…”เจียงเฟิ่งหัวยังพูดไม่จบ เขาก็อุดปากนางไว้แล้ว คราวนี้เซี่ยซางไม่ได้เล่น ๆ แล้วหยุดแค่นี
“หมัวมัวอย่าได้กังวลอีกเลย ข้าย่อมมีแผนของข้า” นางกล่าวเรียบๆ “เนื่องจากเมื่อคืนท่านอ๋องเข้านอนดึกไปเล็กน้อย และวันนี้ไม่ต้องทำงาน จึงได้ตื่นสายอยู่บ้าง”พลังงานในยามเช้าของบุรุษมักโชติช่วงมากหน่อย ดังนั้นเขาถึงได้ตักตวงบนเรือนร่างนางอย่างบ้าคลั่ง จึงได้ทิ้งร่องรอยไว้ ในยามปกติ นับว่าเขายังอ่อนโยนต่อนางมากอยู่ยามที่นางอยู่กับเซี่ยซาง นางก็ได้รับความสุขสมอย่างมากเช่นกัน ประกอบกับไม่ต้องการถูกควบคุมด้วยคำสอนเรื่องมารยาทกฎเกณฑ์อีก เพราะชีวิตคนนั้นสั้นนัก ด้วยฐานะและตำแหน่งในอนาคตของเซี่ยซาง เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะครอบครองเขาไว้ผู้เดียว ดังนั้นมิสู้เก็บเกี่ยวความทรงจำในเวลานี้ไว้มากหน่อย“เพคะ บ่าวเพียงเห็นแล้วรู้สึกปวดใจ เกรงว่าบุรุษไม่รู้หนักเบา สุดท้ายผู้ที่บาดเจ็บก็คือสตรี ผู้ที่ต้องทนทุกข์ก็ยังเป็นสตรีอีกเพคะ” สวีหมัวมัวอธิบายนางรู้ว่าสวีหมัวมัวรักถนอมนางตั้งแต่เล็ก จึงยิ้มบางว่า “หมัวมัวช่วยข้าทายาสักหน่อยเถอะ!” นางไม่อยากให้ผิวของตนเหลือตำหนิใดแม้แต่เศษเสี้ยวเมื่อคืนซูถิงหว่านมิได้กลับมา นี่เป็นข้อห้ามใหญ่ของสตรีที่ออกเรือนแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่แต่งงานเข้าสู่ราชวงศ์ยิ่งไม
ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง เซี่ยซางก็หาตัวซูถิงหว่านพบที่จวนสกุลซู“อาซาง ข้าผิดไปแล้ว ข้าก็แค่อยากให้ท่านมาหาข้า ข้าแค่อยากรู้ว่าท่านยังเป็นห่วงข้าอยู่หรือไม่ ข้าเลยหนีกลับมา” ซูถิงหว่านออดอ้อน “พอข้ากลับมาก็พักอยู่ที่นี่เลย”เช้าวันนี้อวิ๋นฟางมาเยือนอย่างกะทันหัน เมื่อเห็นนางกลับจวนสกุลซูมาคนเดียว อวิ๋นฟางยังตำหนินางไปรอบหนึ่ง บอกว่านางไม่ควรหนีกลับมาเองโดยพลการ นางไม่รู้ว่ากฎของราชวงศ์เข้มงวดเป็นที่สุด เมื่อนางแต่งงานแล้วแต่หนีกลับมาโดยพลการ เกรงว่าจะก่อเรื่องใหญ่เข้าให้นี่ก็เป็นเพราะนางเห็นเซี่ยซางกับเจียงเฟิ่งหัวออดอ้อนพลอดรักกันในโรงละครจนโมโห จึงได้หนีกลับมายังดีที่นางกลับมาจวนสกุลซู ไม่ได้ไปที่อื่นอีก ไม่เช่นนั้นไม่ว่าเรื่องใดก็คงอธิบายได้ไม่ชัดเจนแล้ว นี่เป็นกฎของสะใภ้ที่จะแต่งเข้าสู่ราชวงศ์เห็นนางทำตัวเป็นเด็กไม่รู้ความเช่นนี้ ทุกครั้งล้วนต้องให้เขามาตาม ตอนนี้เขายุ่งมาก เซี่ยซางจึงหมดความอดทนต่อนาง “หากข้าไม่มา เจ้าก็เตรียมจะอาศัยอยู่ที่จวนสกุลซูแล้ว?”“ข้าเชื่อว่าท่านต้องมา” ซูถิงหว่านพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านไม่มีทางลืมข้อตกลงของพวกเรา พวกเราเคยตกลงกันเรียบร้อ
หากซูถิงหว่านกับอวิ๋นฟางมีการติดต่อกัน ก็แปลว่าครั้งก่อนที่พวกเขาต้องการทำร้ายเจียงเฟิ่งหัว หวานหว่านก็เข้าร่วมด้วยแล้วชายที่ตายไปแล้วผู้นั้นถึงกับเป็นอันธพาลบนท้องถนน เรื่องที่อวิ๋นฟางไปคบค้าสมาคมกับคนเช่นนี้ หวานหว่านรู้หรือไม่?หรือว่านางโกหกนางมาตลอด?เซี่ยซางสลัดความคิดในสมองของตนไป เขายังไม่สามารถเชื่อว่าหวานหว่านจะเป็นสตรีที่จิตใจชั่วร้ายอำมหิตเช่นนี้ หวานหว่านไม่ใช่คนเช่นนั้นแต่ทุกเบาะแสกลับแสดงให้เห็นว่านางมิได้บริสุทธิ์จู่ๆ เขาก็ลูบผมของนางอย่างสนิทสนมขึ้นมา “วันหลังไม่อนุญาตให้อาละวาดเอาแต่ใจเช่นนี้อีก ต่อให้คิดหนีจะออกจากบ้านก็ไม่อนุญาตให้ค้างคืนข้างนอก หากเรื่องไปถึงหูเสด็จแม่ ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้ง่ายนัก”“อื้ม ข้ารู้แล้ว” ซูถิงหว่านไม่รู้ความคิดของเซี่ยซาง คิดเพียงว่าเขายังคงชมชอบตนเอง จึงเป็นฝ่ายไปนั่งบนตักเขาก่อน จากนั้นโอบคอของเซี่ยซางแล้วจูบลงไปบนริมฝีปากของเขา ยามนี้นางไม่อาจประมาท ลดความระมัดระวังตัวได้แล้ว จะต้องกุมหัวใจของอาซางไว้ให้มั่นในใจของเซี่ยซางรู้สึกต่อต้านอยู่บ้าง หากไม่ใช่ฝีมือของหวานหว่าน นางก็มิได้มีความผิดใด สุดท้ายเขาจึงยังคงเป็นฝ่ายเริ่มตอ
เซี่ยซางหัวเราะหยัน เพื่อปกป้องเจียงเฟิ่งหัว แม้แต่เจียงจิ่นเหยียนก็ยอมรับกับเขาแล้วว่า เป็นเจียงจิ่นเหยียนชัดๆ ที่ตีนางจนสลบแล้วโยนเข้าไปในตำหนักข้าง จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าของชายผู้นั้นจนหมดแล้วโยนเข้าไปในตำหนักของซูกุ้ยเฟยบางทีอาจเป็นเพราะเสด็จพ่อมีไมตรีต่อกุ้ยเฟย จึงไม่ได้สังหารนาง หรือบางทีอาจเป็นเพราะเสด็จพ่อทรงกริ่งเกรงสกุลซู จึงเหลือชีวิตของซูกุ้ยเฟยไว้และก็เป็นสตรีนางนี้ที่ยุยงให้หวานหว่านติดเงินไปทั่ว แต่หว่านหวานกลับมองไม่ออกถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง เขาก็ไม่คิดจะเปิดโปงนาง เพียงเพราะอยากให้หวานหว่านได้รู้ว่าจิตใจคนนั้นชั่วร้ายเช่นใดซูถิงหว่านเชื่อถืออวิ๋นฟางเป็นอย่างมาก จึงตกลงคำให้การกับนางไว้ก่อนแล้ว “นั่นสิ อวิ๋นฟางกูกูกลับบ้านไปน่ะ”“ข้าจำได้ว่า วันนี้หวานหว่านบอกว่าไม่รู้ว่านางไปที่ใดเหมือนกัน แล้วตอนนี้รู้ได้อย่างไรว่านางกลับบ้าน” แววตาที่เซี่ยซางจ้องมองซูถิงหว่านแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง มันไม่อ่อนโยนเหมือนเมื่อครู่แล้ว แต่กลับเปล่งประกายความเย็นชาออกมาซูถิงหว่านรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าเซี่ยซางจะฉีกหน้าแตกหักก็แตกหักเลยเช่นนี้อวิ๋นฟางก็ตอบสนองได้อย่าง
หวานหว่านไม่เคารพเจียงเฟิ่งหัวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ไม่เคยตำหนิหวานหว่านแม้แต่คำเดียวเลยจริงๆ แถมทุกครั้งเขากลับเลือกที่จะให้อดทนและให้อภัยเสียด้วยเจียงเฟิ่งหัวชื่นชอบเขา แต่ไม่เคยร้องขอสิ่งใดจากเขาเลยครั้งนี้ ต่อให้เสด็จแม่ทรงทราบความจริง ก็จะตำหนิโทษว่านางบกพร่องต่อหน้าที่ของพระชายาต้องโทษตัวเขาเอง ที่ไม่ได้มอบอำนาจการปกครองจวนอ๋องให้เจียงเฟิ่งหัวดูแล พ่อบ้านเฉิงพูดไม่ผิด ต้องมอบอำนาจให้พระชายาสักหน่อย หวานหว่านถึงจะรู้จักควบคุมตนเองลงบ้าง ไม่เช่นนั้น หากครั้งหน้าเขายังคอยช่วยหวานหว่านอย่างลับๆ เช่นนี้อีก แบบนี้ผู้ที่ถูกทำร้ายก็คือเจียงเฟิ่งหัวแล้วตัวเซี่ยซางในเวลานี้จะมีหน้าไปลงโทษสาวใช้ของเจียงเฟิ่งหัวได้อย่างไร คำพูดของสาวใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่างแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นเขาที่จัดการเรื่องราวอย่างไม่ยุติธรรม เอาแต่ปกป้องซูถิงหว่านอย่างผิดๆ มาตลอดเขาสาวเท้าออกไปทันที ซูถิงหว่านกับอวิ๋นฟางยังไม่รู้ว่าที่แท้เกิดสิ่งใดขึ้นซูถิงหว่านยิ่งโอบแขนของเขาไว้ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันแค่กลับสกุลซูเท่านั้น เรื่องแบบนี้ฮองเฮาก็ต้องพิโรธหม่อมฉันด้วยหรือ ฮองเฮาทรงไม่โปรดหม่อมฉันมาตลอด
เจียงเฟิ่งหัวย่อมคิดถึงจุดนี้นานแล้ว และรู้ว่าซูถิงหว่านใช้ฐานะของนางไปติดค้างเงินทอง ทว่าที่นางยังคงไม่สนใจไม่ไยดี ก็เพื่อรอวันที่นางถูกเปิดโปงออกมานั่นเอง แต่นางคิดไม่ถึงว่า เซี่ยซางจะเป็นฝ่ายไปคืนเงินแทนซูถิงหว่าน จากนั้นก็ถือว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว แม้แต่คำตำหนิสักคำก็ไม่มีนางย่อมต้องแสดงออกถึงความใจกว้าง ทว่าฮองเฮาย่อมไม่ได้ใจกว้างเหมือนนาง สตรีที่มีสามีแล้วออกจากจวนโดยพลการแถมยังไม่กลับมาตลอดคืน เทียบกับการที่นางใช้เงินไปหลายหมื่นตำลึงแล้วยังหนักหนายิ่งกว่าหากคิดให้ลึก ฐานะของเซี่ยซางมิใช่สามัญชนคนธรรมดา แต่เป็นองค์ชาย เป็นท่านอ๋อง ทุกการกระทำและคำพูดของพวกเขาล้วนตนอยู่ในสายตาของคนใต้หล้าไม่ว่าเซี่ยซางจะช่วยซูถิงหว่านอย่างไร เขาก็ไม่อาจต้านทานคำครหานินทาที่คนทั้งใต้หล้ามีต่อจวนเหิงอ๋องได้ครั้งก่อนทั้งที่ฮองเฮารู้ชัดๆ ว่าเป็นซูถิงหว่านที่ติดเงิน แต่ก็ไม่ได้เรียกนางเข้าวัง แต่เมื่อนางออกจากจวนโดยพลการกลับรีบเรียกตัวนางเข้าวังมาตำหนิ นี่ก็คือกฎระเบียบของราชวงศ์เจียงเฟิ่งหัวได้วางแผนไว้นานแล้ว การหลอกล่อให้นางใช้เงินเป็นเพียงตัวจุดชนวนเท่านั้น แม้จะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงของนางเ
“เช่นนั้นเราจะแต่งตั้งสนมรักเป็นเจาอี๋แล้วกัน และประทานทองคำและเงินอีกอย่างละหนึ่งพันตำลึง ส่วนปิ่นทองและเครื่องประดับให้สนมรักเลือกได้ตามใจ” ฮ่องเต้มือเติบเป็นอย่างยิ่งในเสี้ยวนาทีที่ความสูงศักดิ์มั่งคั่งอันมโหฬารนี้ถูกโยนลงมา ก็กระแทกใส่หวังเหม่ยเหรินจนวิงเวียน ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไรดี ยังคงเป็นนางกำนัลที่ปรนนิบัตินางก้าวเข้าไปเตือน นางจึงได้กล่าวขอบพระทัยติดๆ กันฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำ เพียงชั่วพริบตา หวังเหม่ยเหรินก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปถึงสองระดับ ทำให้เหล่าฮูหยินและไฉเหรินทั้งหลายอิจฉาไม่หยุดในเสี้ยววินาทีนั้น ก็มีคนเสนอตัวออกมาติดต่อกันเป็นจำนวนมาก จนทั่วทั้งตำหนักก็คึกคักขึ้นมาหย่าเฟยก็เต้นระบำของแคว้นเจาซีท่ามกลางสายตาผู้คนเพื่อสร้างความสำราญเช่นกัน สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังสะดือที่ปรากฏขึ้นอย่างวับวาบของนางเจียงเฟิ่งหัวนั่งอยู่บนที่นั่งอย่างว่าง่าย สายตาของฮ่องเต้มิได้ละจากฮองเฮาเลย นี่เขาหมายความว่าอย่างไรกัน? หรือฮ่องเต้ประสงค์ให้ฮองเฮาร่ายรำเพื่อพระองค์สักเพลงเช่นกัน?นางรีบปฏิเสธความคิดนี้ เพราะฮองเฮาอายุสี่สิบกว่าแล้ว ผู้ใดจะคาดว่าวินาทีฮ่
ก็เห็นฮองเฮาทรงอาภรณ์หงส์อันหรูหราน่าเกรงขามประทับนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน แม้นทั่วทั้งตำหนักจะเป็นสนมนางในของฮ่องเต้ ทว่าความยินดีบนใบหน้าของนางไม่ว่าจะปิดบังอย่างไรก็ปิดไม่มิดนางกำลังยินดีต่อความใส่ใจและห่วงใยที่บุตรชายมีต่อนาง ดังนั้นนางจึงอยากบอกให้ทุกคนได้รับรู้“ซางเอ๋อร์ หรวนหร่วน พวกเจ้าสองสามีภรรยากินให้มากหน่อย อาหารบนโต๊ะล้วนเป็นของที่พวกเจ้าชอบ” ฮองเฮาตรัสเซี่ยซางรู้สึกกระดากเล็กน้อย “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่” ที่แท้สิ่งที่เสด็จแม่ต้องการเป็นเพียงคำพูดที่แสดงความห่วงใยไม่กี่ประโยคของเขา ทว่าหลายปีมานี้เขากลับไม่เคยทำเลยสักครั้ง ส่วนมากล้วนเป็นการตัดพ้อต่อว่า เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เสด็จแม่ก็เสวยให้มากหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”เซี่ยซางเลือกอาหารที่ดีที่สุดวางลงในจาน แล้วให้นางกำนัลส่งไปที่เบื้องหน้าของฮองเฮา ฮองเฮาตะลึงไปครู่หนึ่ง หมอกน้ำตาจางๆ ปรากฏขึ้นในดวงตา จากนั้นก็กินอาหารลงไปอย่างยินดี การที่เขาเรียกนางว่าเสด็จแม่คำหนึ่งทำให้นางถึงกับน้ำตาไหลอาบแก้มมื้ออาหารเช่นนี้ทำผู้คนรับประทานจนหัวใจจะวาย มีเพียงฮองเฮาผู้เดียวเท่านั้นที่เพลิดเพลินไปกับมัน“ฝ่าบาทเสด็จ
ในชาตินี้ นางจะให้ลูกของนางถือกำเนิดภายใต้การรอคอยของเซี่ยซาง ได้รับความรักจากเขาจนเติบใหญ่ นางจะไม่มีทางซ้ำรอยความผิดพลาดในชาติก่อนแน่เจียงเฟิ่งหัวไม่มีทางไปสนใจว่า ซูถิงหว่านจะถูกจับกรอกยาป้องกันการมีบุตรด้วยวิธีใดเมื่อเรื่องในตำหนักคุนหนิงและตำหนักเฉินซีลอยไปถึงหูตำหนักอื่น หลังทุกคนได้รู้ก็เพียงหัวเราะออกมาเท่านั้นซูกุ้ยเฟยกดฮองเฮามานานหลายปีเพียงนี้ เวลานี้ซูกุ้ยเฟยถูกย้ายไปอยู่ตำหนักเย็นแล้ว ฮองเฮาจะไม่จัดการกับหลานสาวของนางได้อย่างไรผู้ใดใช้ให้หลานสาวของนางยั่วยวนจนลูกชายของฮองเฮาจนลุ่มหลง ฮองเฮาถอยแล้วถอยอีกถึงได้รับปากให้รับนางเข้าจวนมาเป็นชายารอง คิดไม่ถึงว่านางกลับไม่รู้จักกฎระเบียบ ไม่รู้หนักเบาเช่นนี้ที่น่าสงสารที่สุดคือบุตรสาวของราชครูเจียง เป็นพระชายาเหิงอ๋องแล้วอย่างไร ยังมิใช่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากสวามีหรือ คำพูดนี้ ในชาติก่อนยามทุกคนพบหน้าล้วนต้องกล่าวถึงขึ้นมาสักประโยค ราวกับกำลังรำพันถึงความหนาวเหน็บที่อยู่ในใจนางอย่างไรก็ตาม ในชาตินี้ทุกคนต้องพูดว่า พระชายาเหิงอ๋องมีการศึกษารู้ธรรมเนียม สง่างามสูงศักดิ์ รูปโฉมไม่ธรรมดา เหิงอ๋องก็โปรดปรานนางเป็นอย่างยิ
รอจนเซี่ยซางจากไป ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของซูถิงหว่านจึงจับจ้องไปที่เจียงเฟิ่งหัว จะต้องเป็นนางกล่าวสิ่งใดกับอาซางแน่ อาซางถึงได้รังเกียจข้าเช่นนี้สี่หมัวมัวก็ตกใจมากเช่นกัน นางไม่เคยเห็นเหิงอ๋องบันดาลโทสะใส่ชายารองซูเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่เคยเห็นเขาเป็นห่วงฮองเฮาถึงเพียงนี้เจียงเฟิ่งหัวปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้าของซูถิงหว่านอย่างสง่างามและน่าเกรงขาม นางจับจ้องไปที่นางโดยไม่แม้จะกะพริบด้วยสีหน้าเย็นชาและบรรยากาศที่กดดันผู้คน “ชายารองซู เจ้าคิดว่าท่านอ๋องทรงไม่ทราบเรื่องที่เจ้าแอบอ้างชื่อของข้าหลอกลวงคนไปทั่วอย่างนั้นหรือ”ดวงตาของซูถิงหว่านแสดงความประหลาดใจออกมา รีบปฏิเสธอย่างเร่งร้อนว่า “ท่านพูดสิ่งใดกัน ข้าฟังไม่เข้าใจ”“ฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรชายารองก็ลงชื่อไว้ ถูกเขียนไว้บนกระดาษเป็นลายลักษณ์อักษรเช่นนั้น คิดจะบ่ายเบี่ยงก็บ่ายเบี่ยงไม่พ้น”ซูถิงหว่านลนลานอย่างสิ้นเชิง นี่ก็เป็นเรื่องที่อวิ๋นฟางออกความคิดขึ้นมาเช่นกัน นางกล่าวว่า “อาศัยสิ่งใดท่านถึงใช้เงินของอา...ท่านอ๋องได้ แต่ข้าใช้ไม่ได้ล่ะ”“เจ้าย่อมใช้ได้เช่นกัน เพียงแต่เจ้าไม่อาจนำชื่อของข้า ‘เจ
นางย้อนนึกถึงการเปลี่ยนแปลงของเซี่ยซาง มีเพียงตอนที่นางพูดถึงเฉิงฮองเฮาเท่านั้น ที่เขาดูเหมือนจะสะเทือนใจขึ้นมา กระทั่ง…คำพูดประโยคนั้นของเขาจู่ๆ ในสมองของเจียงเฟิ่งหัวก็มีความคิดที่ทำให้คนตื่นตระหนกผุดขึ้นมา หรือว่าเซี่ยซางเข้าใจมาตลอดว่าเฉิงฮองเฮาไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของเขาแม้แต่ท่าทีที่ฮ่องเต้มีต่อเฉิงฮองเฮาก็ไร้ไมตรีเช่นนั้น นางจึงคิดว่าตัวนางในอดีตก็เหมือนเฉิงฮองเฮา ที่ไม่เป็นที่พึงใจของสวามีตน และถึงขนาดรังเกียจเพราะในใจของเซี่ยซางมีสตรีนางอื่นอยู่อย่างนั้นที่ฮ่องเต้ทรงรังเกียจฮองเฮา ก็เพราะในใจของฮองเฮามีบุรุษอื่นเช่นนั้นหรือ? จึงคิดว่าเซี่ยซางเป็นลูกที่ถือกำเนิดจากฮองเฮาและชายอื่นนางรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ราชวงศ์ไม่มีทางยอมให้สายเลือดของเชื้อพระวงศ์ไม่บริสุทธิ์อย่างเด็ดขาด นอกจากนี้เซี่ยซางยังต้องเป็นโอรสของฮ่องเต้จริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้นางคล้ายจะตะลึงค้างไปแล้ว ดูเหมือนนางจะค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของวังหลวงเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจซะแล้ว“ท่านอ๋อง ศีรษะของหม่อมฉันถูกพระองค์หมุนจนวิงเวียนไปหมดแล้วเพคะ ทรงรีบวางหม่อมฉันลงเร็วเข้า” เจียงเฟิ่งหัวรีบปรับ
สีหน้าของเจียงเฟิ่งหัวตะลึงไป ไม่มีสิ่งใดจะกล่าวอีก เซี่ยซางมุ่งมั่นปักใจรักซูถิงหว่านไม่แปรเปลี่ยน ดังนั้นเขาจึงมอบความโปรดปรานให้นาง และให้นางและอดทนให้อภัยนางอย่างไม่มีขีดจำกัดจู่ๆ นางก็กล่าวออกมาว่า “แม้แต่เด็กเล็กยังสามารถรับผิดชอบต่อคำพูดและพฤติกรรมของตน แล้วเหตุใดชายารองซูจึงทำไม่ได้ ชายารองซูนางไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่อาจนำความไร้เดียงสา ร่าเริงเปิดกว้างมารับมือได้ทุกครั้ง นางสามารถไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่หม่อมฉันไม่ทำตามอำเภอใจโกรธใครโดยไม่มีเหตุผลได้”“วันนั้นหม่อมฉันเห็นท่านอ๋องแยกแยะถูกผิดในศาลได้อย่างง่ายดาย หม่อมฉันจึงเต็มไปด้วยความยอมรับนับถือต่อท่านอ๋อง คิดว่าไม่ว่าท่านอ๋องจัดการเรื่องใดล้วนสามารถพิจารณาถูกผิดได้อย่างกระจ่าง คิดไม่ถึงว่าเมื่อท่านอ๋องทรงเผชิญหน้ากับหญิงอันเป็นที่รัก จะทรงมัวเมาหลงใหลจนสูญเสียบรรทัดฐานที่ควรมี”เซี่ยซางจ้องนางอย่างไม่ละสายตา เพราะนางผิดหวังในตัวเขาเสียแล้ว จึงได้ไม่สนใจใช่หรือไม่?นางย่อมไม่มีทางพูดคำพูดประเภท ‘ผิดหวังในตัวเขา’ ที่ทำร้ายสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาออกมา จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “ท่านอ๋องทรงอยากถามใช่หรือไม่ว่า ที
เมื่อซูถิงหว่านได้ยินก็ตกใจจนสีหน้าซีดสีขาว รีบกล่าวว่า “ข้าไม่ดื่ม เหตุใดข้าต้องดื่มด้วย ข้าไม่ได้ทำเรื่องที่ผิดต่ออาซาง ข้าก็บอกแล้ว ข้าไม่ได้อยู่กับชายอื่น ข้าอยู่กับแค่ท่านอ๋องเท่านั้น พวกท่านไปเรียกท่านอ๋องมาสิ ถามเขาดูว่าเมื่อเช้าทำเรื่องนั้นกับข้าใช่หรือไม่ ข้าจะพูดกับเขาต่อหน้า”หลังเฉิงฮองเฮาได้ยินก็หน้าแดงด้วยความเขินอาย เมื่อบุรุษผู้หนึ่งเต็มใจแตะต้องสตรีนางหนึ่งแสดงถึงสิ่งใด นี่แสดงว่าเขาชอบนาง หากครั้งนี้ซูถิงหว่านตั้งครรภ์ขึ้นมา และคืนก่อนนางก็ไม่ได้อยู่ในจวนอ๋องอีก เรื่องนี้ก็พูดได้ไม่ชัดเจนแล้วสี่หมัวมัวสั่งหมัวมัวอีกสี่นางให้กดซูถิงหว่านไว้อีกครั้งส่วนสี่หมัวมัวเมื่อยกยาขึ้นมาได้ก็จับกรอกลงปากของนางไปทันที ซูถิงหว่านหวาดกลัวแทบตาย นางปิดปากแน่น ไม่ง่ายเลยกว่านางจะล่อให้เซี่ยซางมาอยู่กับนางอีกครั้ง ต้องไม่ให้แผนชั่วของเฉิงฮองเฮาสำเร็จเด็ดขาดถึงอย่างไรซูถิงหว่านก็เป็นวรยุทธ์ แล้วจะยอมให้พวกนางกรอกยาง่ายๆ ได้อย่างไร นางโขกศีรษะออกไปอย่างแรงจนกระแทกถูกดั้งจมูกของสี่หมัวมัว เป็นเหตุให้จมูกของสี่หมัวมัวมีเลือดสดไหลออกมาจากนั้นก็ถือโอกาสที่ทุกคนกำลังตกตะลึงและผ่อนคลา
เซี่ยซางเป็นฝ่ายเดินเข้าไปประคองเจียงเฟิ่งหัวขึ้นมาด้วยฝีเท้าที่มั่นคง “ลุกขึ้นมาเถอะ”เขารู้จักเสด็จแม่ดี ขอเพียงเขาใส่ใจใครแม้เพียงเล็กน้อย เสด็จแม่ก็จะต้องเห็นคนผู้นั้นเป็นดั่งศัตรู ยี่สิบกว่าปีแล้ว ความเป็นห่วงใยที่เสด็จแม่มีต่อเขากดดันเขาจนแทบจะหายใจไม่ออกดวงตาทั้งคู่ของเจียงเฟิ่งหัวอดกลั้นจนเต็มไปด้วยหมอกน้ำตา ทำท่าจะลุกขึ้นมาทันที แต่ต้องพบว่าขาทั้งคู่ของนางแข็งทื่อ เซี่ยซางต้องช่วยประคองนางอีกแรงนางถึงลุกขึ้นมาได้เซี่ยซางคิดวางนางยืนดีแล้วจึงปล่อยมือออกวินาทีถัดมา ก็เห็นขาทั้งคู่ของเจียงเฟิ่งหัวสั่นสะท้านแล้วซวนเซจนล้มลงกับพื้น สีหน้าขาวซีดไปหมดเมื่อเซี่ยซางเห็นเช่นนั้นดวงตาก็เต็มไปด้วยความร้อนใจ อุ้มนางขึ้นมาทันที “หรวนหร่วน เจ้าเป็นอะไรไป? เหตุใดสีหน้าจึงได้แย่เช่นนี้”“หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ อาจเป็นเพราะคุกเข่านานไป เลยรู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง หม่อมฉันออกไปสูดอากาศเสียหน่อยก็หายแล้วเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวพูดเสียงเบา นางกำลังอดทนเซี่ยซางกอดนางไว้ในอ้อมกอดแน่น พยายามสะกดกลั้นเพลิงโทสะที่อัดแน่นอยู่ในอกโดยตลอด อุ้มนางได้ก็ออกจากตำหนักคุนหนิงทันทีเฉิงฮองเฮาก็ไม่คิดว่าจะ
เจียงเฟิ่งหัวรู้จักเฉิงฮองเฮาดี การที่นางส่งวังหมัวมัวไปเฝ้าดูทุกความเคลื่อนไหวของเซี่ยซาง ทำให้เขาไม่พอใจอยู่นานแล้ว ดังนั้นจึงทำให้ชาติก่อน พอเซี่ยซางขึ้นครองราชย์ อาศัยเพียงคำพูดประโยคเดียวของซูถิงหว่านก็แต่งตั้งซูกุ้ยเฟยเป็นไทเฮาแห่งวังตะวันตกนางไม่ได้รับความรักจากฮ่องเต้ จึงถ่ายโอนความสนใจทั้งหมดมาที่ตัวของเซี่ยซาง การควบคุมที่รุนแรงเช่นนี้แทบจะกลายเป็นความคลุ้มคลั่งไปแล้วเฉิงฮองเฮาก็ปล่อยให้นางคุกเข่าอยู่บนพื้น แม้แต่เบาะรองเข่าก็ไม่ประทานให้นางสักอัน ผิวของนางบอบบาง ตอนนี้หัวเขาแดงช้ำเป็นปื้นไปนานแล้ว แต่นางไม่ขยับแม้แต่น้อย หัวเข่ายิ่งออกแรงกดลงกับพื้นเข้าไปอีก ยิ่งแรงยิ่งดีในตอนที่เซี่ยซางบุกเข้ามาในตำหนักคุนหนิงด้วยความโมโห ก็เห็นเจียงเฟิ่งหัวกำลังคุกเข่าอยู่กลางตำหนัก ทั่วทั้งร่างของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว หมอบราบอยู่บนพื้นจากนั้น เขาก็มิได้มองนางอีก แต่ทำความเคารพฮองเฮาอย่างเคารพครั้งหนึ่ง “ลูกถวายบังคมเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”ซูถิงหว่านติดตามอยู่เบื้องหลังของเซี่ยซาง เมื่อเห็นเจียงเฟิ่งหัวคุกเข่าอย่างเรียบร้อยอยู่บนพื้น นางก็ทำความเคารพอย่างนอบน้อมเช่นเดียวกัน “หม