หลังจากกลับจากประเทศจีน หยางซูมี่รู้สึกว่าหัวใจเธอหนักอึ้ง แม้ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องเหนือธรรมชาติที่ยากจะอธิบาย แต่กำไลหยกขาวที่พระรูปนั้นให้มาทำให้เธอปฏิเสธความจริงไม่ได้ซูมี่นัดพ่อแม่และหยางเหว่ย พี่ชายของเธอ ทานข้าวที่บ้านในค่ำวันหนึ่ง บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น อาหารจีนจานโปรดถูกจัดเรียงเต็มโต๊ะ ทั้งเป็ดย่าง เกี๊ยวน้ำ และผัดหมี่ที่อาม่าทำให้กินตั้งแต่เด็ก“ซูมี่ กลับมาจากจีน ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรในใจนะ” แม่ถามพลางมองหน้าลูกสาวด้วยความเป็นห่วงซูมี่เม้มปาก ก่อนสูดลมหายใจลึก “หนูมีเรื่องสำคัญจะบอกค่ะ… มันอาจฟังดูเหมือนเรื่องแต่ง แต่หนูอยากให้พ่อแม่กับพี่เชื่อหนู”“อะไรกันล่ะ” พ่อมองด้วยสายตาสงสัย แต่เปิดใจฟังซูมี่ดึงกำไลหยกขาวออกมาและวางไว้กลางโต๊ะ “ตอนหนูไปวัดในจีน พระรูปหนึ่งให้กำไลนี้กับหนู แล้วบอกว่าหนูต้อง ‘หวนคืน’ และ… หนูก็พบว่ามันไม่ใช่กำไลธรรมดา”หยางเหว่ยหัวเราะเบาๆ “กำไลมิติ? เดี๋ยวนี้ดูหนังไซไฟเยอะไปหรือเปล่า ”“พี่ ฟังหนูก่อน” ซูมี่เถียงพลางมองหน้าพี่ชายอย่างจริงจัง “ตอนหนูกำลังจะกลับไทย หนูลองใส่ของลงไปในกำไลโดยไม่ตั้งใจ แล้วมัน…หายไป หายไปจริงๆ! เหมือนกำ
เสียงเพลงในงานแฟชั่นโชว์ยังคงดังก้อง พร้อมแสงไฟที่วูบวาบจับไปยังนางแบบคนดังที่เดินออกมาจากรันเวย์อย่างสง่างาม “หยางซูมี่” คือชื่อที่ทุกคนพูดถึงในค่ำคืนนี้ เธอคือดวงดาวที่ส่องแสงเหนือใครทั้งในสายตาของผู้ชมและเหล่านักออกแบบ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเป้าหมายของความอิจฉาริษยา“เธอสมบูรณ์แบบจนเหมือนภาพวาด…” ใครบางคนพึมพำเบาๆ ในฝูงชนในอีกมุมหนึ่งของงาน “อลิซาเบธ” ยืนมองด้วยสายตาเย็นชา หญิงสาวผู้เป็นทั้งคู่แข่งและศัตรูตลอดกาลของซูมี่ เธอคลี่ยิ้มบางๆ ที่ซ่อนความคิดลึกซึ้งไว้เบื้องหลังหลังจบโชว์ เจ้าของงานได้เชิญซูมี่ พร้อมนางแบบและทีมงานคนอื่นๆ เข้าร่วมงานเลี้ยงมื้อค่ำในโรงแรมสุดหรู“คืนนี้นายทุนใหญ่หลายคนอยากพบเธอเป็นการส่วนตัว เธอเป็นเหมือนตัวชูโรงของงานนี้เลยนะซูมี่” ลิซ่า ผู้จัดการส่วนตัวของเธอพูดขึ้นระหว่างที่พวกเขากำลังเดินไปยังห้องจัดเลี้ยงซูมี่พยักหน้ารับ แม้เธอจะยิ้ม แต่ลึกๆ เธอกลับรู้สึกไม่สบายใจ ราวกับมีเงาแห่งอันตรายวนเวียนอยู่รอบตัวลิซ่าอดไม่ได้ที่จะสังเกตถึงสายตาของอลิซาเบธที่จับจ้องมาทางพวกเธอ สีหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอาฆาต“ซูมี่ ฉันว่าเธอควรระวังตัวหน่อยนะ อลิซาเบธดูไม่
หลังจากเหตุการณ์ที่ลู่เฉิงช่วยชีวิตหยางซูมี่จากการตกน้ำ เรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปราวกับโรคระบาด ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ต่างพูดถึงเหตุการณ์นี้ไม่หยุดในขณะที่บ้านหยางสายรองกำลังทำงานในแปลงนาอยู่นั้น ก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะได้ยินเสียงชาวบ้านคนหนึ่งพูดถึงเรื่องที่ลู่เฉิงอุ้มซูมี่ที่หมดสติตัวเปียกปอนกลับมาที่บ้าน "แบบนี้เรียกผิดผี ผิดธรรมเนียมแล้ว อย่างไรลูกชายสามบ้านลู่ต้องรับผิดชอบ ถึงซูมี่จะมีนิสัยร้ายกาจขนาดไหนก็ตาม ห้ามปล่อยเรื่องนี้ไปเด็ดขาด" ชาวบ้านอีกคนพูดขึ้นเมื่อมีคนพูดเรื่องนี้มา ทุกคนต่างพากันคิดตาม และพยักหน้าเห็นด้วยและเริ่มพากันพูดเสียงดัง ซู่เม่ยหันไปหาสามีสามีทันที เพื่อขอความคิดเห็น"เรื่องนี้เป็นแค่การช่วยชีวิตซูมี่ด้วยความจำเป็นและบริสุทธิ์ใจ อย่ามาผูกมัดกันด้วยเรื่องนี้เลย" หยางเหวินเทาพูดเพื่อปกป้องลูกและไม่อยากไปผูกมัดลู่เฉิงด้วยเรื่องนี้"ได้อย่างไร แม้จะเป็นการช่วยชีวิตก็เถอะ"อีกคนพูดพร้อมกับมองไปที่บ้านลู่ซึ่งทำงานอยู่ไกลออกไปแน่นอนว่าไม่มีทางได้ยินสิ่งที่ทุกคนพูดส่วนทางลู่เฉิงก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ตัวเขาคิดไว้แล้วว่าการแต่งงานมันต้องมีขึ้นอย่างแน่นอน เขาคิดไว้ว่าแต
ลู่เฉิงเดินมาหยุดหน้าบ้านของซูมี่ในเช้าวันหนึ่ง เพื่อมาบอกลาซูมี่ก่อนเดินทางกลับค่ายทหาร เขายืนอยู่ที่ลานหน้าบ้าน มองเธอด้วยแววตาอบอุ่น“ฉันคงต้องไปแล้ว” ลู่เฉิงพูด พร้อมยื่นมือมาลูบศีรษะเธอเบาๆ“เดินทางปลอดภัยนะคะ” ซูมี่ตอบพลางส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความห่วงใยหยางหลินที่บังเอิญเดินผ่านมาได้ยินบทสนทนานั้นเต็มสองหู เธอกำหมัดแน่นด้วยความโกรธพลางกัดฟันกรอด“ฉันคิดว่าลู่เฉิงจะอยู่นานกว่านี้… ทำไมเขาต้องรีบกลับค่ายด้วย” หยางหลินพึมพำในใจแต่เมื่อความโกรธเริ่มคลายลง รอยยิ้มร้ายกาจกลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ “แต่ช่างเถอะ แผนฉันยังไม่ล่มเสียทีเดียว” เธอคิด ก่อนจะรีบเดินออกไปจากตรงนั้น หยางหลินเดินเลียบถนนในหมู่บ้าน ทิ้งสายตาดูถูกใส่บ้านเรือนที่ดูเก่าคร่ำคร่า จนกระทั่งเธอเดินลึกไปจนถึงท้ายหมู่บ้าน สถานที่ที่ผู้คนไม่อยากยุ่งเกี่ยว เพราะเป็นที่อยู่ของ “ชายพิการขี้เมา” ชื่อว่า “เหลียงฟู่”เหลียงฟู่เป็นชายพิการที่ขาเสียจากอุบัติเหตุ และใช้ชีวิตไปวันๆ ด้วยการดื่มเหล้าจนเมามาย ไม่มีใครในหมู่บ้านให้ความสนใจเขาแม้แต่น้อย หยางหลินหยุดยืนหน้ากระท่อมเก่าๆ ของเหลียงฟู่ เธอตะโกนเรียกเสียงดัง“เหลียงฟู่
ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงสีและเสียงดนตรีจากแฟชั่นโชว์ระดับโลก ณ Grand Palais Paris สถานที่จัดงานอันหรูหราซึ่งเหล่าดีไซเนอร์ชั้นนำจากทั่วโลกต่างมารวมตัวกันเพื่อเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ของพวกเขา เวทีที่ประดับด้วยแชนเดอเลียร์คริสตัลส่องประกายระยิบระยับ ราวกับเป็นดินแดนแห่งเทพนิยาย ภายในงาน บรรดาแขกผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่น นักออกแบบระดับโลก และเซเลบริตี้ชั้นนำต่างจับจ้องไปที่รันเวย์ ในขณะที่เสียงดนตรีอันทรงพลังดังกระหึ่มขึ้น และในที่สุด…เธอก็ปรากฏตัว หยางซูมี่ ย่างก้าวออกมาอย่างสง่างาม ดวงตาคมดั่งนิลจับจ้องไปข้างหน้า เสื้อผ้าทอด้วยผ้าไหมสีทองประดับด้วยคริสตัล Swarovski นับร้อยสะท้อนแสงไฟทุกย่างก้าวของเธอ ทำให้เธอดูราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย ชุดราตรีจากแบรนด์ระดับตำนาน “Maison de Lumière” ถูกออกแบบมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ เสียงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปดังระรัว นักข่าวและช่างภาพพากันถ่ายภาพของเธออย่างไม่หยุดหย่อน เสียงกระซิบชื่นชมดังกระหึ่มไปทั่วงาน “เธอสง่างามจริงๆ …เหมือนนางพญาที่ก้าวออกจากจอภาพยนตร์” “หยางซูมี่คือราชินีแห่งวงการแฟชั่นของยุคนี้” “ไม่มีใครเทียบเธอได้เลย” เธอยิ้มเพียงเล็กน้อย รั
ลู่เฉิงเดินมาหยุดหน้าบ้านของซูมี่ในเช้าวันหนึ่ง เพื่อมาบอกลาซูมี่ก่อนเดินทางกลับค่ายทหาร เขายืนอยู่ที่ลานหน้าบ้าน มองเธอด้วยแววตาอบอุ่น“ฉันคงต้องไปแล้ว” ลู่เฉิงพูด พร้อมยื่นมือมาลูบศีรษะเธอเบาๆ“เดินทางปลอดภัยนะคะ” ซูมี่ตอบพลางส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความห่วงใยหยางหลินที่บังเอิญเดินผ่านมาได้ยินบทสนทนานั้นเต็มสองหู เธอกำหมัดแน่นด้วยความโกรธพลางกัดฟันกรอด“ฉันคิดว่าลู่เฉิงจะอยู่นานกว่านี้… ทำไมเขาต้องรีบกลับค่ายด้วย” หยางหลินพึมพำในใจแต่เมื่อความโกรธเริ่มคลายลง รอยยิ้มร้ายกาจกลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ “แต่ช่างเถอะ แผนฉันยังไม่ล่มเสียทีเดียว” เธอคิด ก่อนจะรีบเดินออกไปจากตรงนั้น หยางหลินเดินเลียบถนนในหมู่บ้าน ทิ้งสายตาดูถูกใส่บ้านเรือนที่ดูเก่าคร่ำคร่า จนกระทั่งเธอเดินลึกไปจนถึงท้ายหมู่บ้าน สถานที่ที่ผู้คนไม่อยากยุ่งเกี่ยว เพราะเป็นที่อยู่ของ “ชายพิการขี้เมา” ชื่อว่า “เหลียงฟู่”เหลียงฟู่เป็นชายพิการที่ขาเสียจากอุบัติเหตุ และใช้ชีวิตไปวันๆ ด้วยการดื่มเหล้าจนเมามาย ไม่มีใครในหมู่บ้านให้ความสนใจเขาแม้แต่น้อย หยางหลินหยุดยืนหน้ากระท่อมเก่าๆ ของเหลียงฟู่ เธอตะโกนเรียกเสียงดัง“เหลียงฟู่
หลังจากเหตุการณ์ที่ลู่เฉิงช่วยชีวิตหยางซูมี่จากการตกน้ำ เรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปราวกับโรคระบาด ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ต่างพูดถึงเหตุการณ์นี้ไม่หยุดในขณะที่บ้านหยางสายรองกำลังทำงานในแปลงนาอยู่นั้น ก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะได้ยินเสียงชาวบ้านคนหนึ่งพูดถึงเรื่องที่ลู่เฉิงอุ้มซูมี่ที่หมดสติตัวเปียกปอนกลับมาที่บ้าน "แบบนี้เรียกผิดผี ผิดธรรมเนียมแล้ว อย่างไรลูกชายสามบ้านลู่ต้องรับผิดชอบ ถึงซูมี่จะมีนิสัยร้ายกาจขนาดไหนก็ตาม ห้ามปล่อยเรื่องนี้ไปเด็ดขาด" ชาวบ้านอีกคนพูดขึ้นเมื่อมีคนพูดเรื่องนี้มา ทุกคนต่างพากันคิดตาม และพยักหน้าเห็นด้วยและเริ่มพากันพูดเสียงดัง ซู่เม่ยหันไปหาสามีสามีทันที เพื่อขอความคิดเห็น"เรื่องนี้เป็นแค่การช่วยชีวิตซูมี่ด้วยความจำเป็นและบริสุทธิ์ใจ อย่ามาผูกมัดกันด้วยเรื่องนี้เลย" หยางเหวินเทาพูดเพื่อปกป้องลูกและไม่อยากไปผูกมัดลู่เฉิงด้วยเรื่องนี้"ได้อย่างไร แม้จะเป็นการช่วยชีวิตก็เถอะ"อีกคนพูดพร้อมกับมองไปที่บ้านลู่ซึ่งทำงานอยู่ไกลออกไปแน่นอนว่าไม่มีทางได้ยินสิ่งที่ทุกคนพูดส่วนทางลู่เฉิงก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ตัวเขาคิดไว้แล้วว่าการแต่งงานมันต้องมีขึ้นอย่างแน่นอน เขาคิดไว้ว่าแต
เสียงเพลงในงานแฟชั่นโชว์ยังคงดังก้อง พร้อมแสงไฟที่วูบวาบจับไปยังนางแบบคนดังที่เดินออกมาจากรันเวย์อย่างสง่างาม “หยางซูมี่” คือชื่อที่ทุกคนพูดถึงในค่ำคืนนี้ เธอคือดวงดาวที่ส่องแสงเหนือใครทั้งในสายตาของผู้ชมและเหล่านักออกแบบ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเป้าหมายของความอิจฉาริษยา“เธอสมบูรณ์แบบจนเหมือนภาพวาด…” ใครบางคนพึมพำเบาๆ ในฝูงชนในอีกมุมหนึ่งของงาน “อลิซาเบธ” ยืนมองด้วยสายตาเย็นชา หญิงสาวผู้เป็นทั้งคู่แข่งและศัตรูตลอดกาลของซูมี่ เธอคลี่ยิ้มบางๆ ที่ซ่อนความคิดลึกซึ้งไว้เบื้องหลังหลังจบโชว์ เจ้าของงานได้เชิญซูมี่ พร้อมนางแบบและทีมงานคนอื่นๆ เข้าร่วมงานเลี้ยงมื้อค่ำในโรงแรมสุดหรู“คืนนี้นายทุนใหญ่หลายคนอยากพบเธอเป็นการส่วนตัว เธอเป็นเหมือนตัวชูโรงของงานนี้เลยนะซูมี่” ลิซ่า ผู้จัดการส่วนตัวของเธอพูดขึ้นระหว่างที่พวกเขากำลังเดินไปยังห้องจัดเลี้ยงซูมี่พยักหน้ารับ แม้เธอจะยิ้ม แต่ลึกๆ เธอกลับรู้สึกไม่สบายใจ ราวกับมีเงาแห่งอันตรายวนเวียนอยู่รอบตัวลิซ่าอดไม่ได้ที่จะสังเกตถึงสายตาของอลิซาเบธที่จับจ้องมาทางพวกเธอ สีหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอาฆาต“ซูมี่ ฉันว่าเธอควรระวังตัวหน่อยนะ อลิซาเบธดูไม่
หลังจากกลับจากประเทศจีน หยางซูมี่รู้สึกว่าหัวใจเธอหนักอึ้ง แม้ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องเหนือธรรมชาติที่ยากจะอธิบาย แต่กำไลหยกขาวที่พระรูปนั้นให้มาทำให้เธอปฏิเสธความจริงไม่ได้ซูมี่นัดพ่อแม่และหยางเหว่ย พี่ชายของเธอ ทานข้าวที่บ้านในค่ำวันหนึ่ง บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น อาหารจีนจานโปรดถูกจัดเรียงเต็มโต๊ะ ทั้งเป็ดย่าง เกี๊ยวน้ำ และผัดหมี่ที่อาม่าทำให้กินตั้งแต่เด็ก“ซูมี่ กลับมาจากจีน ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรในใจนะ” แม่ถามพลางมองหน้าลูกสาวด้วยความเป็นห่วงซูมี่เม้มปาก ก่อนสูดลมหายใจลึก “หนูมีเรื่องสำคัญจะบอกค่ะ… มันอาจฟังดูเหมือนเรื่องแต่ง แต่หนูอยากให้พ่อแม่กับพี่เชื่อหนู”“อะไรกันล่ะ” พ่อมองด้วยสายตาสงสัย แต่เปิดใจฟังซูมี่ดึงกำไลหยกขาวออกมาและวางไว้กลางโต๊ะ “ตอนหนูไปวัดในจีน พระรูปหนึ่งให้กำไลนี้กับหนู แล้วบอกว่าหนูต้อง ‘หวนคืน’ และ… หนูก็พบว่ามันไม่ใช่กำไลธรรมดา”หยางเหว่ยหัวเราะเบาๆ “กำไลมิติ? เดี๋ยวนี้ดูหนังไซไฟเยอะไปหรือเปล่า ”“พี่ ฟังหนูก่อน” ซูมี่เถียงพลางมองหน้าพี่ชายอย่างจริงจัง “ตอนหนูกำลังจะกลับไทย หนูลองใส่ของลงไปในกำไลโดยไม่ตั้งใจ แล้วมัน…หายไป หายไปจริงๆ! เหมือนกำ
หลังกลับจากงานปารีสแฟชั่นวีค หยางซูมี่ตัดสินใจใช้ช่วงเวลาหยุดพักจากชีวิตที่วุ่นวาย เดินทางกลับไปยังหมู่บ้านชนบทเล็กๆ ในมณฑลเสฉวน ที่ซึ่งอากงและอาม่าของเธอยังคงอาศัยอยู่ สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของเธอ สถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันอบอุ่นในวัยเด็ก เธอได้บอกพ่อแม่และชวนพี่ชายมาด้วยกัน แต่ก็ไม่มีใครว่างเลย เหตุเพราะเธอชวนกะทันหันเกินไป ไม่สามารถเคลียงานได้ทัน เธอเลยบินเดี่ยวสู่จีนแผ่นดินใหญ่ด้วยตัวคนเดียว จริงๆพี่ลิซ่าอาสามาเป็นเพื่อนด้วย แต่โดนเธอปฎิเสธไปเพราะเกรงใจ นานๆจะได้มีวันหยุดทั้งที ปล่อยให้พี่ลิซ่าเดทกับคุณสามีไปเถอะ การเดินทางสู่ชนบท เมื่อเครื่องบินแตะพื้นดินในมณฑลใกล้บ้านเกิด ซูมี่ออกเดินทางต่อด้วยรถยนต์ ท่ามกลางภูมิประเทศที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากเมืองใหญ่สู่ชนบทที่เงียบสงบ ถนนสายเล็กๆ ลัดเลาะไปตามภูเขาสูงที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี กลิ่นอายของธรรมชาติและเสียงนกร้องทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรถแล่นเข้าสู่หมู่บ้านเล็กๆ ที่เธอเคยเรียกว่าบ้านในวัยเด็ก ความทรงจำในอดีตก็พลันหลั่งไหลเข้ามา บ้านไม้หลังเก่าที่เธอเคยวิ่งเล่นยังคงตั้งอยู่กลางลานดินกว้าง ที่น
ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงสีและเสียงดนตรีจากแฟชั่นโชว์ระดับโลก ณ Grand Palais Paris สถานที่จัดงานอันหรูหราซึ่งเหล่าดีไซเนอร์ชั้นนำจากทั่วโลกต่างมารวมตัวกันเพื่อเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ของพวกเขา เวทีที่ประดับด้วยแชนเดอเลียร์คริสตัลส่องประกายระยิบระยับ ราวกับเป็นดินแดนแห่งเทพนิยาย ภายในงาน บรรดาแขกผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่น นักออกแบบระดับโลก และเซเลบริตี้ชั้นนำต่างจับจ้องไปที่รันเวย์ ในขณะที่เสียงดนตรีอันทรงพลังดังกระหึ่มขึ้น และในที่สุด…เธอก็ปรากฏตัว หยางซูมี่ ย่างก้าวออกมาอย่างสง่างาม ดวงตาคมดั่งนิลจับจ้องไปข้างหน้า เสื้อผ้าทอด้วยผ้าไหมสีทองประดับด้วยคริสตัล Swarovski นับร้อยสะท้อนแสงไฟทุกย่างก้าวของเธอ ทำให้เธอดูราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย ชุดราตรีจากแบรนด์ระดับตำนาน “Maison de Lumière” ถูกออกแบบมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ เสียงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปดังระรัว นักข่าวและช่างภาพพากันถ่ายภาพของเธออย่างไม่หยุดหย่อน เสียงกระซิบชื่นชมดังกระหึ่มไปทั่วงาน “เธอสง่างามจริงๆ …เหมือนนางพญาที่ก้าวออกจากจอภาพยนตร์” “หยางซูมี่คือราชินีแห่งวงการแฟชั่นของยุคนี้” “ไม่มีใครเทียบเธอได้เลย” เธอยิ้มเพียงเล็กน้อย รั