รัชทายาทที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในวังบูรพา ดาบทั้งสามสิบแปดเล่มนั้นของอ๋องเหลียงไม่ได้สร้างอาการบาดเจ็บให้เขามากนัก กลับเป็นที่ตรงส่วนนั้นที่สำคัญกว่า ตอนนี้ยังต้องต้มยานอนพักผ่อนอยู่บนเตียงอยู่อีก เหลียงซู่หลินได้กลับมารายงานแล้ว “ฝ่าบาท เขาละมั่งโลหิตได้มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถูกโยนลงไปในเหวลึก ไม่มีใครสามารถตามหาได้พบแน่” รัชทายาทกัดฟันเอ่ยออกมา “ดี เขาทำร้ายข้า ข้าก็จะเอาชีวิตของเขา” ดวงตาของเหลียงซู่หลินฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา “พ่ะย่ะค่ะ ไม่มีเขาละมั่งโลหิตแล้ว อ๋องเหลียงก็มีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” เป็นเหลียงซู่หลินที่เป็นผู้แจ้งแก่รัชทายาทใราวกับไม่ได้ตั้งใจว่าอ๋องเหลียงต้องการเขาละมั่งโลหิตเพื่อช่วยชีวิต อันที่จริงแล้ว.ด้านนอกนั้นมีคนมากมายที่รู้ว่าเขาละมั่งโลหิตใช้เพื่อช่วยชีวิตองค์หญิงใหญ่ ทว่าก่อนหน้านั้นรัชทายาทไม่ได้ใส่ใจต่อสถานการณ์ขององค์หญิงใหญ่ อีกทั้งได้รับบาดเจ็บอยู่ในวังบูรพา และโลกภายนอกนั้นเหมือนจะไม่ได้ติดต่อกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้เรื่อง เมื่อเหลียงซู่หลินเอ่ยออกมาเช่นนี้ เขาจึงเชื่อเข้า “ฝ่าบาท ราชครูส่งคนมา บอกว่ามีเรื่องต้องการสอบถามฝ่าบาทพ่ะย่ะ
“นางวิ่งเข้ามาเห็นกับตาตนเอง อีกทั้งในวันนั้น ที่วัดของราชวงศ์ ข้าเองก็กำลังทำเรื่องดีอยู่ นางก็บุกเข้ามา เห็นทุกอย่างด้วยตาตนเอง” “นอกจากนางแล้ว ยังมีใครที่เห็นอีกบ้าง?” เด็กรับใช้เอ่ยถาม รัชทายาทคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยังมีมารดาของหญิงชาวบ้านนั้นอีก ชื่อว่าหลิวเย่ว์ พระในวัดของราชวงศ์เองก็รู้ นางกำนัลสองคนของพระสนมอี๋เองก็รู้ คนข้างกายของข้าไม่กี่คนนั้นเองก็รู้” เด็กรับใช้ไม่คิดเลยว่ารัชทายาทจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ เรื่องนี้หากว่าถูกเปิดเผยออกไป ไม่จำเป็นต้องหารือใดก็สามารถปลดออกได้ทันที เขายุ่งวุ่นวายหลงระเริงในวังหลวง ขโมยสนมของบิดาตนเอง อกตัญญู แล้วยังจะต้องการการหารืออีกหรือ? ที่สำคัญก็คือ เรื่องนี้ยังถูกพระชายาของผู้สำเร็จราชการรู้เข้า ไม่น่าแปลกที่วันนี้มู่หรงเจี๋ยถึงได้กระทำการใหญ่โตเรียกตัวขุนนางและเชื้อพระวงศ์มา เขามีหลักฐานอยู่ “นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกหรือไม่?” เด็กรับใช้เอ่ยถาม รัชทายาทโบกมือ “จะยังมีอะไรอีก? ไม่มี” เรื่อที่ขโมยเขาละมั่งโลหิตในวันนี้ ไม่อาจเอ่ยออกไปได้ มิฉะนั้นแล้ว หากลอยไปถึงหูของเสด็จแม่ เสด็จแม่จะต้องโกรธเกลียดเขามาก “เช่นนั้นบ่าวขอลาก่อนแล้
ฮองเฮาแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่หูของตนเองได้ยินมา “เจ้าว่าอะไรนะ? อาศัยเพียงแค่เหตุผลเช่นนี้? พวกเขามีหลักฐานอะไรกัน?” “วันนั้นที่รัชทายาทจับตัวหญิงชาวบ้านไป พระสนมอี๋ก็อยู่ในวัดของราชวงศ์ด้วยพอดี ราชครูได้ข่าวมา บอกว่าพวกเขาคิดจะใช้เหตุนี้เพื่อใส่ร้ายว่ารัชทายาทลงมือกับพระสนมอี๋” ฮองเฮาโกรธเกลียดอย่างมาก “เซี่ยจื่ออันคงไม่อาจเก็บเอาไว้ได้แล้วจริง ๆ เก็บนางเอาไว้ ก็มีแต่ทำร้ายข้า ทำร้ายรัชทายาท” “เพราะฉะนั้น ราชครูบอกว่า ในตอนที่ฮองเฮาทรงไปเป็นพยานนั้น ฮองเฮาจะต้องบอกว่า ท่านส่งพระสนมอี๋ไปของพรให้กับองค์หญิงใหญ่ยังวัดของราชวงศ์” “ส่วนเรื่องที่รัชทายาทจับตัวหญิงชาวบ้านไป จะ...” เด็กรับใช้ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ฮองเฮาวางพระทัยได้ เพียงแค่หญิงชาวบ้านเท่านั้น ไม่มีทางสร้างความเสียหายอะไรร้ายแรง หญิงชาวบ้านนั่นก็ยังคงกลับมาโดยที่ไม่เสียหาย อีกทั้งฝ่าบาทเองก็เป็นเพราะเหตุนี้ ถึงได้ถูกอ๋องเหลียงทุบตีเสียยกใหญ่ การกระทำผิดที่โหดร้าย แลกกับการถูกทุบตีที่โหดเหี้ยม ต่อให้ขุนนางและเชื้อพระวงศ์จะรู้สึกว่ารัชทายาทสูญเสียคุณธรรมไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ต้องปลดเขา” ฮองเฮาถึงได้โล่งใจลงบ้าง “ทว่
หวงไท่โฮ่วหยัดกายลุกขึ้นทันที เบิกตากว้างตรัสออกมาเสียงดัง “ใครกันที่ใส่ร้ายออกมาเช่นนี้? นี่มันเป็นโทษอกตัญญูร้ายแรงยิ่งนัก” จะต้องรู้ว่าองค์รัชทายาทจะต้องเรียกพระสนมอี๋ว่าเสด็จแม่ หากว่าเขาไม่ความสัมพันธิ์ส่วนตัวกับพระสนมอี๋ ก็ไม่เท่ากับป่าวประกาศแก่โลกนี้ว่า เขาลอบขโมยหญิงสาวของบิดาตนเองหรอกหรือ? นี่ทำให้ราชวงศ์เสียหายอย่างมาก ต่อให้จะเป็นเรื่องจริง ก็ไม่อาจเปิดเผยออกไปต่อหน้าขุนนางได้ “เป็นใครที่ใส่ร้ายยังไม่ทราบเพคะ แต่ได้ยินมาว่าในวันนั้นที่เซี่ยจื่ออันไปช่วยคนยังวัดของราชวงศ์ พบเข้ากับพระสนมอี๋ที่อยู่ในวัดราชวงศ์ด้วยเช่นกัน” ฮองเฮาตรัสออกมาอย่างเรียบเฉย ดวงตาเรียวหงส์ของหวงไท่โฮ่วหรี่เล็กลง “เจ้าจะบอกว่า เป็นเซี่ยจื่ออันที่เอ่ยออกมา?” “หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ ทว่าพระสนมอี๋และรัชทายาทไม่ได้ไปมาหาสู่กันมาก่อน จู่ ๆ ก็ถูกใส่ร้ายเข้าเช่นนี้ จะต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่ หากว่าเป็นจื่ออันที่เอ่ยออกมา บางทีก็ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าใจผิดไปก็เป็นได้ เพราะอย่างไรแล้ว วันนั้นคนที่ติดตามไปก็มีไม่น้อย หากว่ามีคนเอ่ยคำไร้สาระกับจื่ออันสองสามประโยคแล้ว จื่ออันคิดว่าเป็นเรื่องจริง แล้วไปบอกแก่ท่าน
ทางด้านของโถงประชุม ทุกคนต่างก็มาถึงกันอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่สายรองอย่างท่านอ๋องเป่าอันเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ส่วนท่านอ๋องกวางตงนั้น ก็ถูกเชิญเข้าวังมาเช่นกันมู่หรงเจี๋ยเชิญทุกคนเข้านั่ง ที่นี่เป็นโถงประชุม ก่อนหน้านั้นเหล่าขุนนางเองก็หารือราชกิจที่แห่งนี้ เพราะฉะนั้น ที่นี่มีเก้าอี้และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานเป็นจำนวนมากหลังจากที่ทุกคนเข้านั่งแล้ว มู่หรงเจี๋ยก็มองไปยังรอบ ๆ ทุกคน แล้วเอ่ยออกมาช้า ๆ “วันนี้ที่ทุกคนมายังโถงประชุม เพราะว่ามีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องการจะหารือกับทุกท่าน เหล่าเชื้อพระวงศ์ และขุนนางทั้งหลายในที่แห่งนี้ต่างก็รู้ดีว่า องค์จักรพรรดิเคยมอบอำนาจให้ข้า หากว่ารัชทายาทกระทำความผิดรุนแรง อกตัญญู ข้ามีอำนาจที่จะปลดรัชทายาทเสีย”ราชครูเหลียงลุกขึ้นเอ่ยถามทันที “ท่านอ๋อง ขอถามเรื่องนี้องค์จักรพรรดิได้ทรงประทานพระราชโองการออกมาหรือไม่?”สายตาของมู่หรงเจี๋ยตกลงบนใบหน้าของราชครูเหลียง “ราชครูไม่เชื่อคำที่ข้าเอ่ยออกมาอย่างนั้นหรือ?”ราชครูเหลียงยิ้มแล้วส่ายศีรษะ “ไม่ ท่านอ๋องอย่าได้เข้าใจผิดไป ข้าน้อยเพียงแต่รู้สึกว่า การปลดรัชทายาทนั้นเป็นเรื่องสำคัญใหญ่โตของแคว้น ไม่อ
“หากว่าเสด็จแม่จะฟังอยู่ด้านข้าง แน่นอนว่าย่อมทำได้” มู่หรงเจี๋ยสั่งให้คนย้ายเก้าอี้เข้ามา ให้หวงไท่โฮ่วประทับอยู่ตรงกลาง ตนเองย้ายตำแหน่งที่นั่งเล็กน้อยหวงไท่โฮ่วกับนั่งลงตรงตำแหน่งที่เขานั่งลงเมื่อครู่นี้ พลางตรัส “ท่านอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ อีกทั้งยังหารือเรื่องสำคัญของแคว้น ข้าเป็นเพียงแค่สตรีจะไปเข้าใจอะไร เพียงแต่อยากฟังอยู่ด้านข้างก็เท่านั้น”มู่หรงเจี๋ยเองก็ไม่อิดออด นั่งลงทันทีฮองเฮาและราชครูมองสบตากัน ต่างก็พากันนั่งลงหวงไท่โฮ่วถึงแม้จะบอกว่าคอยนั่งฟังอยู่ด้านข้าง หลังจากที่นั่งลงแล้วกลับทรงถามออกมา “วันนี้หารือกันเรื่องอันใด? ถึงขั้นที่ต้องรบกวนให้เชื้อพระวงศ์เข้าวังมาด้วย”มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมา “เสด็จแม่ เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งจะถกเถียงกับราชครูอยู่ว่า ท้ายที่สุดแล้วข้ามีอำนาจปลดองค์รัชทายาทหรือไม่”สายตาของหวงไท่โฮ่วหรี่เคร่งขึ้น ตรัสออกมา “ท่านอ๋อง แน่นอนว่าย่อมต้องมีอำนาจทำเช่นนี้ ข้าได้ยินรับสั่งขององค์จักรพรรดิด้วยตนเอง ทว่า ไม่รู้ว่ารัชทายาทกระทำความผิดร้ายแรงอะไรกัน ถึงได้ต้องการจะปลดเขา?”หวงไท่โฮ่วเริ่มเปิดหัวข้อสนทนาขึ้นมา ทำให้ฮองเฮาตื่นตกใ
ฮองเฮาตรัสออกมา “ท่านอ๋องเป่าอันเอ่ยออกมามีเหตุผล ข้าจะจัดการเรื่องนี้อีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะลำเอียงไปจริง ๆ ทว่าข้าไม่ได้มีใจที่คิดจะลำเอียง หากว่าเข้าใจเหตุและผลแล้ว ถึงได้รู้ว่าหวังอี๋เอ๋อร์จงใจยั่วยุรัชทายาทก่อน รัชทายาทถึงได้โมโหจนจับตัวนางไป และไม่ได้มีใจจะทำร้าย เพียงแต่ต้องการจะเตือนนางสักเล็กน้อย มิฉะนั้นแล้ว คงจะไม่จับตัวนางไปยังวัดของราชวงศ์ วัดของราชวงศ์นั้นมีพระผู้ทรงศีลอยู่มากมาย รัชทายาทเพียงแต่เห็นว่าหวังอี๋เอ๋อร์หยิ่งผยอง นำนางไปยังวัดของราชวงศ์เพื่อฟังคำสอน ให้นางสงบเสงี่ยมสำรวมลง ถึงแม้จะมีความผิด แต่ไม่ได้ผิดร้ายแรง อีกทั้งหลังจากเกิดเรื่องนี้แล้ว อ๋องเหลียงยังคงทุบตีเขาไปยกใหญ่ เพราะฉะนั้นข้าจึงคิดว่า ลงโทษกักบริเวณสามเดือน ก็ไม่ได้เป็นการลำเอียงอันใด”นางยอมรับก่อนว่าตนเองลำเอียง จากนั้นก็บอกว่าไม่ได้ลำเอียง ถึงแม้จะพลิกกลับไปมา แต่กลับทำให้คนมองเห็นความอ่อนน้อมในภาพลวงตาของฮองเฮา ได้รับความเห็นชอบจากขุนนางไม่น้อย อันที่จริงแล้ว หากเพียงแค่หญิงสาวร้ายกาจที่พูดจายั่วยุต่อหน้าของรัชทายาทแล้ว รัชทายาทจะลงโทษก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ อีกทั้ง หากเป็นตามคำพูดของฮองเฮาแล้ว หญิ
“เสด็จแม่!” ฮองเฮาไม่คิดเลยว่าหวงไท่โฮ่วจะตรัสออกมาเช่นนี้ ในใจก็เกิดความคับข้องใจที่นางลำเอียงเช่นนี้ นางเป็นกังวลกับอี๋เอ๋อร์เช่นนี้ แต่กลับไม่สนใจรัชทายาท ราชครูส่งสายตาสัญญาณเตือนให้กับนาง เพื่อให้นางอย่าได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ตอนนี้การพิจารณาโทษยังไม่เริ่มต้นขึ้น นางกลับต่อต้าน และการต่อต้านนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ฮองเฮาเมื่อพบกับสายตาของบิดาแล้ว ก็ค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยออกมา “เสด็จแม่ตรัสออกมาไม่ผิด ข้าเองไม่ควรจะไปก้าวก่าย” รัชทายาทมู่หรงเฉียวถูกนำเข้ามา เขาถูกคนยกเข้า แสดงท่าทีอ่อนแรงอย่างมาก ใบหน้าซีดขาวไม่มีรอยเลือดแม้แต่น้อย ดวงตาเองก็ไม่ได้มีความหยิ่งผยองดังเดิม ดูรู้สึกผิด และไม่สบายใจอย่างยิ่ง รัชทายาทมองไปยังทุกคนรอบ ๆ อย่างหวาดกลัว ก้มศีรษะลงแล้วเอ่ยว่า “เสด็จลุง ข้ารู้ความผิดแล้ว ข้าไม่ควรที่จะลักพาตัวหวังอี๋เอ๋อร์เพียงเพราะคำยั่วยุไม่กี่คำเท่านั้น ทว่าในตอนต้นนั้นข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นหญิงสาวที่เสด็จพี่ชื่นชอบ เสด็จพี่เองก็ทุบตีข้าไปแล้ว ข้ารู้ความผิดแล้ว” ในอดีตนั้นรัชทายาทมักจะอยู่สูงส่งมาตลอด ทุกคนต่างก็ไม่เคยพบเห็นท่าทีของเขาเช่นนี้ม
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว