ทางด้านของโถงประชุม ทุกคนต่างก็มาถึงกันอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่สายรองอย่างท่านอ๋องเป่าอันเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ส่วนท่านอ๋องกวางตงนั้น ก็ถูกเชิญเข้าวังมาเช่นกันมู่หรงเจี๋ยเชิญทุกคนเข้านั่ง ที่นี่เป็นโถงประชุม ก่อนหน้านั้นเหล่าขุนนางเองก็หารือราชกิจที่แห่งนี้ เพราะฉะนั้น ที่นี่มีเก้าอี้และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานเป็นจำนวนมากหลังจากที่ทุกคนเข้านั่งแล้ว มู่หรงเจี๋ยก็มองไปยังรอบ ๆ ทุกคน แล้วเอ่ยออกมาช้า ๆ “วันนี้ที่ทุกคนมายังโถงประชุม เพราะว่ามีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องการจะหารือกับทุกท่าน เหล่าเชื้อพระวงศ์ และขุนนางทั้งหลายในที่แห่งนี้ต่างก็รู้ดีว่า องค์จักรพรรดิเคยมอบอำนาจให้ข้า หากว่ารัชทายาทกระทำความผิดรุนแรง อกตัญญู ข้ามีอำนาจที่จะปลดรัชทายาทเสีย”ราชครูเหลียงลุกขึ้นเอ่ยถามทันที “ท่านอ๋อง ขอถามเรื่องนี้องค์จักรพรรดิได้ทรงประทานพระราชโองการออกมาหรือไม่?”สายตาของมู่หรงเจี๋ยตกลงบนใบหน้าของราชครูเหลียง “ราชครูไม่เชื่อคำที่ข้าเอ่ยออกมาอย่างนั้นหรือ?”ราชครูเหลียงยิ้มแล้วส่ายศีรษะ “ไม่ ท่านอ๋องอย่าได้เข้าใจผิดไป ข้าน้อยเพียงแต่รู้สึกว่า การปลดรัชทายาทนั้นเป็นเรื่องสำคัญใหญ่โตของแคว้น ไม่อ
“หากว่าเสด็จแม่จะฟังอยู่ด้านข้าง แน่นอนว่าย่อมทำได้” มู่หรงเจี๋ยสั่งให้คนย้ายเก้าอี้เข้ามา ให้หวงไท่โฮ่วประทับอยู่ตรงกลาง ตนเองย้ายตำแหน่งที่นั่งเล็กน้อยหวงไท่โฮ่วกับนั่งลงตรงตำแหน่งที่เขานั่งลงเมื่อครู่นี้ พลางตรัส “ท่านอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ อีกทั้งยังหารือเรื่องสำคัญของแคว้น ข้าเป็นเพียงแค่สตรีจะไปเข้าใจอะไร เพียงแต่อยากฟังอยู่ด้านข้างก็เท่านั้น”มู่หรงเจี๋ยเองก็ไม่อิดออด นั่งลงทันทีฮองเฮาและราชครูมองสบตากัน ต่างก็พากันนั่งลงหวงไท่โฮ่วถึงแม้จะบอกว่าคอยนั่งฟังอยู่ด้านข้าง หลังจากที่นั่งลงแล้วกลับทรงถามออกมา “วันนี้หารือกันเรื่องอันใด? ถึงขั้นที่ต้องรบกวนให้เชื้อพระวงศ์เข้าวังมาด้วย”มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมา “เสด็จแม่ เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งจะถกเถียงกับราชครูอยู่ว่า ท้ายที่สุดแล้วข้ามีอำนาจปลดองค์รัชทายาทหรือไม่”สายตาของหวงไท่โฮ่วหรี่เคร่งขึ้น ตรัสออกมา “ท่านอ๋อง แน่นอนว่าย่อมต้องมีอำนาจทำเช่นนี้ ข้าได้ยินรับสั่งขององค์จักรพรรดิด้วยตนเอง ทว่า ไม่รู้ว่ารัชทายาทกระทำความผิดร้ายแรงอะไรกัน ถึงได้ต้องการจะปลดเขา?”หวงไท่โฮ่วเริ่มเปิดหัวข้อสนทนาขึ้นมา ทำให้ฮองเฮาตื่นตกใ
ฮองเฮาตรัสออกมา “ท่านอ๋องเป่าอันเอ่ยออกมามีเหตุผล ข้าจะจัดการเรื่องนี้อีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะลำเอียงไปจริง ๆ ทว่าข้าไม่ได้มีใจที่คิดจะลำเอียง หากว่าเข้าใจเหตุและผลแล้ว ถึงได้รู้ว่าหวังอี๋เอ๋อร์จงใจยั่วยุรัชทายาทก่อน รัชทายาทถึงได้โมโหจนจับตัวนางไป และไม่ได้มีใจจะทำร้าย เพียงแต่ต้องการจะเตือนนางสักเล็กน้อย มิฉะนั้นแล้ว คงจะไม่จับตัวนางไปยังวัดของราชวงศ์ วัดของราชวงศ์นั้นมีพระผู้ทรงศีลอยู่มากมาย รัชทายาทเพียงแต่เห็นว่าหวังอี๋เอ๋อร์หยิ่งผยอง นำนางไปยังวัดของราชวงศ์เพื่อฟังคำสอน ให้นางสงบเสงี่ยมสำรวมลง ถึงแม้จะมีความผิด แต่ไม่ได้ผิดร้ายแรง อีกทั้งหลังจากเกิดเรื่องนี้แล้ว อ๋องเหลียงยังคงทุบตีเขาไปยกใหญ่ เพราะฉะนั้นข้าจึงคิดว่า ลงโทษกักบริเวณสามเดือน ก็ไม่ได้เป็นการลำเอียงอันใด”นางยอมรับก่อนว่าตนเองลำเอียง จากนั้นก็บอกว่าไม่ได้ลำเอียง ถึงแม้จะพลิกกลับไปมา แต่กลับทำให้คนมองเห็นความอ่อนน้อมในภาพลวงตาของฮองเฮา ได้รับความเห็นชอบจากขุนนางไม่น้อย อันที่จริงแล้ว หากเพียงแค่หญิงสาวร้ายกาจที่พูดจายั่วยุต่อหน้าของรัชทายาทแล้ว รัชทายาทจะลงโทษก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ อีกทั้ง หากเป็นตามคำพูดของฮองเฮาแล้ว หญิ
“เสด็จแม่!” ฮองเฮาไม่คิดเลยว่าหวงไท่โฮ่วจะตรัสออกมาเช่นนี้ ในใจก็เกิดความคับข้องใจที่นางลำเอียงเช่นนี้ นางเป็นกังวลกับอี๋เอ๋อร์เช่นนี้ แต่กลับไม่สนใจรัชทายาท ราชครูส่งสายตาสัญญาณเตือนให้กับนาง เพื่อให้นางอย่าได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ตอนนี้การพิจารณาโทษยังไม่เริ่มต้นขึ้น นางกลับต่อต้าน และการต่อต้านนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ฮองเฮาเมื่อพบกับสายตาของบิดาแล้ว ก็ค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยออกมา “เสด็จแม่ตรัสออกมาไม่ผิด ข้าเองไม่ควรจะไปก้าวก่าย” รัชทายาทมู่หรงเฉียวถูกนำเข้ามา เขาถูกคนยกเข้า แสดงท่าทีอ่อนแรงอย่างมาก ใบหน้าซีดขาวไม่มีรอยเลือดแม้แต่น้อย ดวงตาเองก็ไม่ได้มีความหยิ่งผยองดังเดิม ดูรู้สึกผิด และไม่สบายใจอย่างยิ่ง รัชทายาทมองไปยังทุกคนรอบ ๆ อย่างหวาดกลัว ก้มศีรษะลงแล้วเอ่ยว่า “เสด็จลุง ข้ารู้ความผิดแล้ว ข้าไม่ควรที่จะลักพาตัวหวังอี๋เอ๋อร์เพียงเพราะคำยั่วยุไม่กี่คำเท่านั้น ทว่าในตอนต้นนั้นข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นหญิงสาวที่เสด็จพี่ชื่นชอบ เสด็จพี่เองก็ทุบตีข้าไปแล้ว ข้ารู้ความผิดแล้ว” ในอดีตนั้นรัชทายาทมักจะอยู่สูงส่งมาตลอด ทุกคนต่างก็ไม่เคยพบเห็นท่าทีของเขาเช่นนี้ม
จางฉีถูกเขาตะโกนใส่เช่นนี้ อารมณ์แห่งความครอบงำในท้องตลาดก็กลับมา เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “ทั้ง ๆ ที่เจ้าเป็นคนสั่งมาชัด ๆ เจ้ายังให้ตั๋วเงินข้ามาหนึ่งร้อยตำลึง”ขณะที่เอ่ย เขาก็นำตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อวางลงไปบนพื้น “ท่านอ๋อง นี่เป็นตั๋วเงินที่เขามอบให้ข้าน้อยมา บอกว่าหากเรื่องสำเร็จยังจะมอบให้ข้าน้อยอีกหนึ่งร้อยตำลึง ทว่าหลังจากที่ข้าน้อยมอบเขาละมั่งโลหิตให้เขาไปแล้ว เขากลับไม่ยอมมอบให้ ยังบอกว่าข้าน้อยอย่าได้ละโมบโลภมาก”รัชทายาทเมื่อได้ยินคำนี้ สายตาเย็นชาก็กวาดตามองไปยังจางเฉวียนหลง เขามอบเงินไปให้ห้าร้อยตำลึง ให้เขาหาคนไปจัดการเรื่องนี้ก่อนหน้านั้นจางเฉวียนหลงติดตามอยู่ข้างกายของรัชทายาท คุ้นชินกับท่าทีหยิ่งยโส บวกกับวันนี้รู้ว่าฮองเฮาและราชครูเองก็อยู่ด้วย รัชทายาทจะต้องไม่เป็นอะไร จึงได้ไม่เห็นมู่หรงเจี๋ยอยู่ในสายตา เอ่ยออกมาทันที “ไท่โฮ่ว ฮองเฮา ขอท่านช่วยชี้แนะด้วย บ่าวไม่เคยสั่งให้เขาไปขโมยเขาละมั่งโลหิตอะไรนั่นมาก่อน ทุกอย่างล้วนแต่เป็นการใส่ร้ายดูหมิ่น”เกาอวี้สื่อเอ่ยออกมาเสียงดัง “เจ้าตอบคำถามใครกัน? หวงไท่โฮ่วและฮองเฮาเพียงแต่เข้ามาร่วมฟังเท่านั้น เจ้าไม่ยอมตอบคำท
หนี่หรงเอ่ย “ท่านอ๋องทุกท่าน ใต้เท้าทุกท่าน หนังสือผ่านด่านแผ่นนี้ ค้นหาออกมาจากกายของจางฉี และเขายังใช้หนังสือผ่านด่านแผ่นนี้ลงทะเบียนเข้าพักโรงเตี้ยม จากที่เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์จำได้นั้น เขาและคนเข้าพักนั้นคือคนเดียวกัน”มู่หรงเจี๋ยส่งเสียงเย็นออกมา “จางเสวียนหลง เจ้าบอกว่าเจ้าไม่เคยสั่งให้จางฉีไปขโมยเขาละมั่งโลหิตมาก่อน เช่นนั้น เจ้ามอบบัตรผ่านด่านและเงินหนึ่งร้อยตำลึงเพื่ออะไรกัน?”จางเฉวียนหลงกลอกตาไปมาหลายครั้ง ปิดบังความตื่นตระหนกในใจ “นี่ นี่ บ่าวเคยมอบหนังสือผ่านด่านให้เขาจริง ๆ ทว่า เป็นเขาที่ร้องขอให้บ่าวทำ บอกว่าเขาทำความผิดในเมืองหลวง เกรงว่าครอบครัวของศัตรูจะมาหาเรื่องถึงที่ ไม่กล้าจะพักอยู่ที่บ้าน เพราะฉะนั้นจึงให้บ่าวช่วยทำหนังสือผ่านด่านแผ่นหนึ่ง ให้เขาหาโรงเตี้ยมเข้าพัก ส่วนเงินหนึ่งร้อยตำลึงนั้น เป็นบ่าวมอบให้เขาใช้ในยามฉุกเฉิน”มู่หรงเจี๋ยเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “สารเลว คำพูดก่อนหน้าไม่สมเหตุกับตอนท้าย เจ้าเพิ่งจะบอกว่าตั้งแต่ที่เข้าวังมา ก็ไม่ได้พบเขามานานแล้ว เขาจะไปร้องขอเจ้าได้อย่างไร? ยังมีเงินหนึ่งร้อยตำลึงนี้ของเจ้า ได้มาอย่างไรกัน? “ตั๋วเงินที่ออกโดยทา
หวงไท่โฮ่วที่นั่งอยู่ด้านหลังฮองเฮา เมื่อมองเห็นปลายนิ้วของนางสั่นเทา ก็ทรงถอนหายใจออกมาในใจ ช่างผิดบาปโดยแท้รัชทายาทเงยหน้าขึ้นมองมู่หรงเจี๋ย “ถึงแม้ว่าจ้าจะขโมยเขาละมั่งโลหิตไป แต่ก็เป็นเพียงการแย่งชิงระหว่างพี่น้องกับอ๋องเหลียง แล้วจะบอกว่าข้าอกตัญญูได้อย่างไร? หากว่าความหมายของเสด็จลุงคือการที่ข้าถูกเขาแทงเข้าสามสิบแปดครั้งแล้ว ยังจะสามารถนึกถึงว่าเขาเป็นพี่ชาย แล้วยังจะสามารถกตัญญูต่อเขาได้อีก เช่นนั้นก็ขออภัยด้วยที่ข้าไม่ใช่พระโพธิสัตย์ ข้าทำไม่ได้ เสด็จลุงจะจัดการเช่นไรก็ทรงจัดการเช่นนั้นเถิด”ใต้เท้าชุยเอ่ยออกมา “รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ คนที่ต้องการเขาละมั่งโลหิตนั้นไม่ใช่อ๋องเหลียง แต่เป็นองค์หญิงเจิ้นกั๋ว”รัชทายาทตกตะลึงไป แล้วหันไปมองยังเหลียงซู่หลินที่ประตูอย่างไม่รู้ตัว เหลียงซู่หลินก้มศีรษะลงต่ำ ไม่ได้มองเข้าไปด้านในห้องโถง“นี่…เรื่องนี้ข้าไม่รู้” รัชทายาทเอ่ยอธิบายออกมา ในใจกลับโกรธเกลียดเสียจนอยากจะฉีกเหลียงซู่หลินให้เป็นชิ้น ๆมู่หรงเจี๋ยเองก็ตบลงยังพนักแขนเก้าอี้ ตะเบ็งเอ่ยเสียงดัง “เพียงแค่คำเดียวว่าไม่รู้ก็จะสามารถหลบเลี่ยงไปได้หรือ? ตอนนี้องค์หญิงเจิ้นกั๋ว เป็นเพ
รัชทายาทเอ่ยออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “ท่านนี่มันเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ถึงกลับกล้าใช้คำพูดเช่นนี้กับข้า? ข้าไม่ได้มีความขัดแย้งใด นางเริ่มเอ่ยยั่วยุออกมาก่อน ถัดมาข้าถึงได้รู้ว่านางเป็นคนในใจอ๋องเหลียง ถึงได้จับตัวนางไปเพื่อแก้แค้นอ๋องเหลียง ไม่ผิด ข้ายอมรับว่ามีใจที่จะแก้แค้นอ๋องเหลียง แต่หวังอี๋เอ๋อร์นั่นก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ข้าเพียงแต่จับตัวนางไปฟังคำสอนพระพุทธจากวัดของราชวงศ์เท่านั้น หากท่านต้องการจะลงโทษข้า ข้าก็มีโทษเพียงสถานเดียว แต่เพียงเพื่อหญิงชาวบ้านแค่คนเดียวถึงกับกระทำการใหญ่โตเช่นนี้ ถึงขั้นที่เรียกเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์เข้าวังมาเพื่อกำหนดโทษ ท่านต้องการจะพุ่งเป้ามายังข้า พยายามยัดเยียดข้า กล่าวหาที่จะปลดข้าเพื่อให้ตนเองได้ขึ้นสู่ตำแหน่งจักรพรรดิ ส่งเสริมจิตใจที่ทะเยอทะยานและครอบงำของท่าน ใช่หรือไม่?”การเอ่ยถามเสียงเคร่งของรัชทายาทได้รับการยินยอมมาจากราชครูเหลียงแล้ว ราชครูเหลียงเอ่ยออกมาอย่างประหลาด “ไม่ผิด วันนี้ที่ท่านอ๋องกล่าวโทษมานั้นดูจะไม่สอดคล้องกัน เพียงแค่เอ่ยข้อกล่าวหาออกมาแล้วกระทำมันให้ใหญ่โต ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ว่ารัชทายาทไม่มีคุณธรรม จากนั้นก็ให้ทุกคนร่วมก
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว