“เสด็จแม่!” ฮองเฮาไม่คิดเลยว่าหวงไท่โฮ่วจะตรัสออกมาเช่นนี้ ในใจก็เกิดความคับข้องใจที่นางลำเอียงเช่นนี้ นางเป็นกังวลกับอี๋เอ๋อร์เช่นนี้ แต่กลับไม่สนใจรัชทายาท ราชครูส่งสายตาสัญญาณเตือนให้กับนาง เพื่อให้นางอย่าได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ตอนนี้การพิจารณาโทษยังไม่เริ่มต้นขึ้น นางกลับต่อต้าน และการต่อต้านนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ฮองเฮาเมื่อพบกับสายตาของบิดาแล้ว ก็ค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยออกมา “เสด็จแม่ตรัสออกมาไม่ผิด ข้าเองไม่ควรจะไปก้าวก่าย” รัชทายาทมู่หรงเฉียวถูกนำเข้ามา เขาถูกคนยกเข้า แสดงท่าทีอ่อนแรงอย่างมาก ใบหน้าซีดขาวไม่มีรอยเลือดแม้แต่น้อย ดวงตาเองก็ไม่ได้มีความหยิ่งผยองดังเดิม ดูรู้สึกผิด และไม่สบายใจอย่างยิ่ง รัชทายาทมองไปยังทุกคนรอบ ๆ อย่างหวาดกลัว ก้มศีรษะลงแล้วเอ่ยว่า “เสด็จลุง ข้ารู้ความผิดแล้ว ข้าไม่ควรที่จะลักพาตัวหวังอี๋เอ๋อร์เพียงเพราะคำยั่วยุไม่กี่คำเท่านั้น ทว่าในตอนต้นนั้นข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นหญิงสาวที่เสด็จพี่ชื่นชอบ เสด็จพี่เองก็ทุบตีข้าไปแล้ว ข้ารู้ความผิดแล้ว” ในอดีตนั้นรัชทายาทมักจะอยู่สูงส่งมาตลอด ทุกคนต่างก็ไม่เคยพบเห็นท่าทีของเขาเช่นนี้ม
จางฉีถูกเขาตะโกนใส่เช่นนี้ อารมณ์แห่งความครอบงำในท้องตลาดก็กลับมา เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “ทั้ง ๆ ที่เจ้าเป็นคนสั่งมาชัด ๆ เจ้ายังให้ตั๋วเงินข้ามาหนึ่งร้อยตำลึง”ขณะที่เอ่ย เขาก็นำตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อวางลงไปบนพื้น “ท่านอ๋อง นี่เป็นตั๋วเงินที่เขามอบให้ข้าน้อยมา บอกว่าหากเรื่องสำเร็จยังจะมอบให้ข้าน้อยอีกหนึ่งร้อยตำลึง ทว่าหลังจากที่ข้าน้อยมอบเขาละมั่งโลหิตให้เขาไปแล้ว เขากลับไม่ยอมมอบให้ ยังบอกว่าข้าน้อยอย่าได้ละโมบโลภมาก”รัชทายาทเมื่อได้ยินคำนี้ สายตาเย็นชาก็กวาดตามองไปยังจางเฉวียนหลง เขามอบเงินไปให้ห้าร้อยตำลึง ให้เขาหาคนไปจัดการเรื่องนี้ก่อนหน้านั้นจางเฉวียนหลงติดตามอยู่ข้างกายของรัชทายาท คุ้นชินกับท่าทีหยิ่งยโส บวกกับวันนี้รู้ว่าฮองเฮาและราชครูเองก็อยู่ด้วย รัชทายาทจะต้องไม่เป็นอะไร จึงได้ไม่เห็นมู่หรงเจี๋ยอยู่ในสายตา เอ่ยออกมาทันที “ไท่โฮ่ว ฮองเฮา ขอท่านช่วยชี้แนะด้วย บ่าวไม่เคยสั่งให้เขาไปขโมยเขาละมั่งโลหิตอะไรนั่นมาก่อน ทุกอย่างล้วนแต่เป็นการใส่ร้ายดูหมิ่น”เกาอวี้สื่อเอ่ยออกมาเสียงดัง “เจ้าตอบคำถามใครกัน? หวงไท่โฮ่วและฮองเฮาเพียงแต่เข้ามาร่วมฟังเท่านั้น เจ้าไม่ยอมตอบคำท
หนี่หรงเอ่ย “ท่านอ๋องทุกท่าน ใต้เท้าทุกท่าน หนังสือผ่านด่านแผ่นนี้ ค้นหาออกมาจากกายของจางฉี และเขายังใช้หนังสือผ่านด่านแผ่นนี้ลงทะเบียนเข้าพักโรงเตี้ยม จากที่เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์จำได้นั้น เขาและคนเข้าพักนั้นคือคนเดียวกัน”มู่หรงเจี๋ยส่งเสียงเย็นออกมา “จางเสวียนหลง เจ้าบอกว่าเจ้าไม่เคยสั่งให้จางฉีไปขโมยเขาละมั่งโลหิตมาก่อน เช่นนั้น เจ้ามอบบัตรผ่านด่านและเงินหนึ่งร้อยตำลึงเพื่ออะไรกัน?”จางเฉวียนหลงกลอกตาไปมาหลายครั้ง ปิดบังความตื่นตระหนกในใจ “นี่ นี่ บ่าวเคยมอบหนังสือผ่านด่านให้เขาจริง ๆ ทว่า เป็นเขาที่ร้องขอให้บ่าวทำ บอกว่าเขาทำความผิดในเมืองหลวง เกรงว่าครอบครัวของศัตรูจะมาหาเรื่องถึงที่ ไม่กล้าจะพักอยู่ที่บ้าน เพราะฉะนั้นจึงให้บ่าวช่วยทำหนังสือผ่านด่านแผ่นหนึ่ง ให้เขาหาโรงเตี้ยมเข้าพัก ส่วนเงินหนึ่งร้อยตำลึงนั้น เป็นบ่าวมอบให้เขาใช้ในยามฉุกเฉิน”มู่หรงเจี๋ยเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “สารเลว คำพูดก่อนหน้าไม่สมเหตุกับตอนท้าย เจ้าเพิ่งจะบอกว่าตั้งแต่ที่เข้าวังมา ก็ไม่ได้พบเขามานานแล้ว เขาจะไปร้องขอเจ้าได้อย่างไร? ยังมีเงินหนึ่งร้อยตำลึงนี้ของเจ้า ได้มาอย่างไรกัน? “ตั๋วเงินที่ออกโดยทา
หวงไท่โฮ่วที่นั่งอยู่ด้านหลังฮองเฮา เมื่อมองเห็นปลายนิ้วของนางสั่นเทา ก็ทรงถอนหายใจออกมาในใจ ช่างผิดบาปโดยแท้รัชทายาทเงยหน้าขึ้นมองมู่หรงเจี๋ย “ถึงแม้ว่าจ้าจะขโมยเขาละมั่งโลหิตไป แต่ก็เป็นเพียงการแย่งชิงระหว่างพี่น้องกับอ๋องเหลียง แล้วจะบอกว่าข้าอกตัญญูได้อย่างไร? หากว่าความหมายของเสด็จลุงคือการที่ข้าถูกเขาแทงเข้าสามสิบแปดครั้งแล้ว ยังจะสามารถนึกถึงว่าเขาเป็นพี่ชาย แล้วยังจะสามารถกตัญญูต่อเขาได้อีก เช่นนั้นก็ขออภัยด้วยที่ข้าไม่ใช่พระโพธิสัตย์ ข้าทำไม่ได้ เสด็จลุงจะจัดการเช่นไรก็ทรงจัดการเช่นนั้นเถิด”ใต้เท้าชุยเอ่ยออกมา “รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ คนที่ต้องการเขาละมั่งโลหิตนั้นไม่ใช่อ๋องเหลียง แต่เป็นองค์หญิงเจิ้นกั๋ว”รัชทายาทตกตะลึงไป แล้วหันไปมองยังเหลียงซู่หลินที่ประตูอย่างไม่รู้ตัว เหลียงซู่หลินก้มศีรษะลงต่ำ ไม่ได้มองเข้าไปด้านในห้องโถง“นี่…เรื่องนี้ข้าไม่รู้” รัชทายาทเอ่ยอธิบายออกมา ในใจกลับโกรธเกลียดเสียจนอยากจะฉีกเหลียงซู่หลินให้เป็นชิ้น ๆมู่หรงเจี๋ยเองก็ตบลงยังพนักแขนเก้าอี้ ตะเบ็งเอ่ยเสียงดัง “เพียงแค่คำเดียวว่าไม่รู้ก็จะสามารถหลบเลี่ยงไปได้หรือ? ตอนนี้องค์หญิงเจิ้นกั๋ว เป็นเพ
รัชทายาทเอ่ยออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “ท่านนี่มันเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ถึงกลับกล้าใช้คำพูดเช่นนี้กับข้า? ข้าไม่ได้มีความขัดแย้งใด นางเริ่มเอ่ยยั่วยุออกมาก่อน ถัดมาข้าถึงได้รู้ว่านางเป็นคนในใจอ๋องเหลียง ถึงได้จับตัวนางไปเพื่อแก้แค้นอ๋องเหลียง ไม่ผิด ข้ายอมรับว่ามีใจที่จะแก้แค้นอ๋องเหลียง แต่หวังอี๋เอ๋อร์นั่นก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ข้าเพียงแต่จับตัวนางไปฟังคำสอนพระพุทธจากวัดของราชวงศ์เท่านั้น หากท่านต้องการจะลงโทษข้า ข้าก็มีโทษเพียงสถานเดียว แต่เพียงเพื่อหญิงชาวบ้านแค่คนเดียวถึงกับกระทำการใหญ่โตเช่นนี้ ถึงขั้นที่เรียกเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์เข้าวังมาเพื่อกำหนดโทษ ท่านต้องการจะพุ่งเป้ามายังข้า พยายามยัดเยียดข้า กล่าวหาที่จะปลดข้าเพื่อให้ตนเองได้ขึ้นสู่ตำแหน่งจักรพรรดิ ส่งเสริมจิตใจที่ทะเยอทะยานและครอบงำของท่าน ใช่หรือไม่?”การเอ่ยถามเสียงเคร่งของรัชทายาทได้รับการยินยอมมาจากราชครูเหลียงแล้ว ราชครูเหลียงเอ่ยออกมาอย่างประหลาด “ไม่ผิด วันนี้ที่ท่านอ๋องกล่าวโทษมานั้นดูจะไม่สอดคล้องกัน เพียงแค่เอ่ยข้อกล่าวหาออกมาแล้วกระทำมันให้ใหญ่โต ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ว่ารัชทายาทไม่มีคุณธรรม จากนั้นก็ให้ทุกคนร่วมก
ขุนนางที่ชาญฉลาดมากมายต่างก็มองเห็นได้ถึงความตั้งใจที่อยู่เบื้องหลังของมู่หรงเจี๋ย ทันใดนั้นก็ตระหนักรู้ได้ทันที เพราะว่าคุณธรรมของรัชทายาท ทำให้พวกเขามองเห็นอนาคตของต้าโจว สุดท้ายแล้ว หากว่ามอบต้าโจวไว้ในมือคนประเภทนี้แล้ว ช้าเร็วก็ต้องล่มสลายไปและแน่นอนว่า ทุกคนต่างก็ยังคงเกิดข้อกังขากับอ๋องเหลียง แต่ในเมื่อมู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาว่าทุกอย่างของอ๋องเหลียงที่ทุกคนมองเห็นนั้น มีคนที่จงใจใส่ร้ายป้ายสี เช่นนั้นอ๋องเหลียงที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร? ทุกคนต่างต้องการจะรู้มู่หรงเจี๋ยเพิกเฉยต่อความโกรธเกรี้ยวของฮองเฮา ยังคงเอ่ยต่ออย่างเคร่งขรึม “ในตอนที่อ๋องเหลียงอายุสิบสามปีนั้นขาหักไป ทุกคนต่างก็ได้ยินมาว่าเขาไม่ทันระวังล้มจนขาหัก ความจริงนั้นกลับเป็นรัชทายาทที่เป็นคนกระทำ ในตอนนั้นรัชทายาทมีใจคิดเช่นไรถึงได้ทำร้ายอ๋องเหลียงจนได้รับบาดเจ็บ คงจะไม่เอ่ยถึงชั่วคราว ทว่าฮองเฮาทั้ง ๆ ที่รู้ความจริง กลับออกคำสั่งปิดบังเรื่องนี้ คนในวังที่รู้เรื่องนี้ ต่างก็ถูกไล่ออกจากวัง อ๋องเหลียงได้รับบาดเจ็บจนพิการ ไม่นานหลังจากนั้น องค์จักรพรรดิก็แต่งตั้งรัชทายาท มู่หรงเฉียวถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท ข้าขอถามเ
สายตาของมู่หรงเจี๋ยละทางใบหน้าของฮองเฮา เอ่ยต่อไป “ไม่ผิด หลังจากที่อ๋องเหลียงได้รับบาดเจ็บไปแล้ว ฮองเฮาก็แสดงออกมาว่าเจ็บปวดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นนางจึงได้ร้องขอตำแหน่งชินอ๋องให้กับอ๋องเหลียง ร้องขอศักดินา ร้องขอทหารม้า เพื่อชดเชยการสูญเสียให้กับเขา ทว่าขณะเดียวกันนางก็เกรงว่าอ๋องเหลียงจะมีปัญหากันกับรัชทายาท เพราะฉะนั้นตั้งแต่ที่อ๋องเหลียงออกจากวังไปตั้งจวนนั้น นางจึงได้ส่งคนไปแฝงตัวอยู่ในจวนของเขา คอยจับตาดูทุกการกระทำทุกคำพูดของเขา คนที่ฮองเฮาส่งตัวไปคอยจับตามองนั้น ตอนนี้ยังคงอยู่ในจวน ทุกท่านหากว่าต้องการรู้ ข้าสามารนำตัวออกมาได้ ขณะเดียวกัน รัชทายาทเองก็กังวลว่าอ๋องเหลียงจะจดจำโกรธแค้นที่ตนเองทำร้ายเขาในตอนนั้น เพื่อให้ทุกคนทุกคนรังเกียจอ๋องเหลียง เขาถึงได้ร้องขอให้ฮองเฮารับสนมเข้าจวนให้อ๋องเหลียงจำนวนมาก แต่หลังจากที่สนมเหล่านั้นเข้าจวนมาแล้ว อยู่ดี ๆ ก็เสียชีวิตไป ถูกเฆี่ยนตีจนตายไปอย่างรุนแรง ก่อนจะค่อย ๆ กระจายออกไป บอกว่าเป็นเพราะว่าความพิการของอ๋องเหลียงทำให้ท่าทีของเขาดูรุนแรงและโหดร้าย ลงมือสังหารกับสนมที่บริสุทธิ์เหล่านี้ เรื่องเหล่านี้ที่รัชทายาททำลงไป ฮองเฮาล้ว
สีหน้าของฮองเฮาดูดำคล้ำ แต่กลับไม่อาจเอ่ยอธิบายออกมาได้ ราชครูเหลียงไม่อาจตอบโต้กลับไปชั่วขณะหนึ่ง ทำได้เพียงจ้องมองเหล่าขุนนางกระซิบกระซาบกันมู่หรงเจี๋ยเห็นสถานการณ์นี้เข้า จึงโบกมือให้กับหนี่หรง หนี่หรงเข้าใจในทันที แล้วหมุนกายหันหลังจากไปพยานบุคคลต่างก็อยู่ด้านนอกแล้ว ทว่าเขากลับใช้ข้ออ้างที่พยานบุคคลยังมาไม่ถึงเพื่อประกาศเรื่องของฮองเฮา เพราะว่าเรื่องที่ฮองเฮากระทำนั้นไม่เพียงพอให้กล่าวโทษได้ แต่กลับกระตุ้นความกรุ่นโกรธของทุกคนได้อาศัยโอกาสที่ด้านล่างนั้นกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ มู่หรงเจี๋ยก็เอ่ยกับฮองเฮาประโยคหนึ่ง ผู้อ่านไม่ได้ยิน มีเพียงแค่ฮองเฮาเท่านั้นที่สามารถได้ยินเขาเอ่ยว่า “เรื่องที่จะเกิดขึ้นอีกประเดี๋ยว ฮองเฮาสามารถยอมรับได้ หรือจะไม่ยอมรับก็ได้ ทว่าผลของการปฏิเสธนั้นก็คือการป่าวประกาศเรื่องของพระสนมอี๋และรัชทายาทออกไป ลองตรองเองเถิด”“เจ้าข่มขู่ข้า?” ฮองเฮากัดฟันตรัสออกมามู่หรงเจี๋ยยิ้มออกมาจาง ๆ “นั่นก็เรียนรู้มาจากฮองเฮาเองอย่างไรเล่า ท่านเองก็ข่มขู่อาซินเช่นนี้มิใช่หรือ? เขากลืนกินความทุกข์ทรมานมามากเท่าไหร่ ฮองเฮาก็ทรงกลืนกินไปเท่านั้นเถิด ทว่าฮองเฮาไม่สมคว
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว