รัชทายาทเอ่ยออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “ท่านนี่มันเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ถึงกลับกล้าใช้คำพูดเช่นนี้กับข้า? ข้าไม่ได้มีความขัดแย้งใด นางเริ่มเอ่ยยั่วยุออกมาก่อน ถัดมาข้าถึงได้รู้ว่านางเป็นคนในใจอ๋องเหลียง ถึงได้จับตัวนางไปเพื่อแก้แค้นอ๋องเหลียง ไม่ผิด ข้ายอมรับว่ามีใจที่จะแก้แค้นอ๋องเหลียง แต่หวังอี๋เอ๋อร์นั่นก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ข้าเพียงแต่จับตัวนางไปฟังคำสอนพระพุทธจากวัดของราชวงศ์เท่านั้น หากท่านต้องการจะลงโทษข้า ข้าก็มีโทษเพียงสถานเดียว แต่เพียงเพื่อหญิงชาวบ้านแค่คนเดียวถึงกับกระทำการใหญ่โตเช่นนี้ ถึงขั้นที่เรียกเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์เข้าวังมาเพื่อกำหนดโทษ ท่านต้องการจะพุ่งเป้ามายังข้า พยายามยัดเยียดข้า กล่าวหาที่จะปลดข้าเพื่อให้ตนเองได้ขึ้นสู่ตำแหน่งจักรพรรดิ ส่งเสริมจิตใจที่ทะเยอทะยานและครอบงำของท่าน ใช่หรือไม่?”การเอ่ยถามเสียงเคร่งของรัชทายาทได้รับการยินยอมมาจากราชครูเหลียงแล้ว ราชครูเหลียงเอ่ยออกมาอย่างประหลาด “ไม่ผิด วันนี้ที่ท่านอ๋องกล่าวโทษมานั้นดูจะไม่สอดคล้องกัน เพียงแค่เอ่ยข้อกล่าวหาออกมาแล้วกระทำมันให้ใหญ่โต ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ว่ารัชทายาทไม่มีคุณธรรม จากนั้นก็ให้ทุกคนร่วมก
ขุนนางที่ชาญฉลาดมากมายต่างก็มองเห็นได้ถึงความตั้งใจที่อยู่เบื้องหลังของมู่หรงเจี๋ย ทันใดนั้นก็ตระหนักรู้ได้ทันที เพราะว่าคุณธรรมของรัชทายาท ทำให้พวกเขามองเห็นอนาคตของต้าโจว สุดท้ายแล้ว หากว่ามอบต้าโจวไว้ในมือคนประเภทนี้แล้ว ช้าเร็วก็ต้องล่มสลายไปและแน่นอนว่า ทุกคนต่างก็ยังคงเกิดข้อกังขากับอ๋องเหลียง แต่ในเมื่อมู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาว่าทุกอย่างของอ๋องเหลียงที่ทุกคนมองเห็นนั้น มีคนที่จงใจใส่ร้ายป้ายสี เช่นนั้นอ๋องเหลียงที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร? ทุกคนต่างต้องการจะรู้มู่หรงเจี๋ยเพิกเฉยต่อความโกรธเกรี้ยวของฮองเฮา ยังคงเอ่ยต่ออย่างเคร่งขรึม “ในตอนที่อ๋องเหลียงอายุสิบสามปีนั้นขาหักไป ทุกคนต่างก็ได้ยินมาว่าเขาไม่ทันระวังล้มจนขาหัก ความจริงนั้นกลับเป็นรัชทายาทที่เป็นคนกระทำ ในตอนนั้นรัชทายาทมีใจคิดเช่นไรถึงได้ทำร้ายอ๋องเหลียงจนได้รับบาดเจ็บ คงจะไม่เอ่ยถึงชั่วคราว ทว่าฮองเฮาทั้ง ๆ ที่รู้ความจริง กลับออกคำสั่งปิดบังเรื่องนี้ คนในวังที่รู้เรื่องนี้ ต่างก็ถูกไล่ออกจากวัง อ๋องเหลียงได้รับบาดเจ็บจนพิการ ไม่นานหลังจากนั้น องค์จักรพรรดิก็แต่งตั้งรัชทายาท มู่หรงเฉียวถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท ข้าขอถามเ
สายตาของมู่หรงเจี๋ยละทางใบหน้าของฮองเฮา เอ่ยต่อไป “ไม่ผิด หลังจากที่อ๋องเหลียงได้รับบาดเจ็บไปแล้ว ฮองเฮาก็แสดงออกมาว่าเจ็บปวดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นนางจึงได้ร้องขอตำแหน่งชินอ๋องให้กับอ๋องเหลียง ร้องขอศักดินา ร้องขอทหารม้า เพื่อชดเชยการสูญเสียให้กับเขา ทว่าขณะเดียวกันนางก็เกรงว่าอ๋องเหลียงจะมีปัญหากันกับรัชทายาท เพราะฉะนั้นตั้งแต่ที่อ๋องเหลียงออกจากวังไปตั้งจวนนั้น นางจึงได้ส่งคนไปแฝงตัวอยู่ในจวนของเขา คอยจับตาดูทุกการกระทำทุกคำพูดของเขา คนที่ฮองเฮาส่งตัวไปคอยจับตามองนั้น ตอนนี้ยังคงอยู่ในจวน ทุกท่านหากว่าต้องการรู้ ข้าสามารนำตัวออกมาได้ ขณะเดียวกัน รัชทายาทเองก็กังวลว่าอ๋องเหลียงจะจดจำโกรธแค้นที่ตนเองทำร้ายเขาในตอนนั้น เพื่อให้ทุกคนทุกคนรังเกียจอ๋องเหลียง เขาถึงได้ร้องขอให้ฮองเฮารับสนมเข้าจวนให้อ๋องเหลียงจำนวนมาก แต่หลังจากที่สนมเหล่านั้นเข้าจวนมาแล้ว อยู่ดี ๆ ก็เสียชีวิตไป ถูกเฆี่ยนตีจนตายไปอย่างรุนแรง ก่อนจะค่อย ๆ กระจายออกไป บอกว่าเป็นเพราะว่าความพิการของอ๋องเหลียงทำให้ท่าทีของเขาดูรุนแรงและโหดร้าย ลงมือสังหารกับสนมที่บริสุทธิ์เหล่านี้ เรื่องเหล่านี้ที่รัชทายาททำลงไป ฮองเฮาล้ว
สีหน้าของฮองเฮาดูดำคล้ำ แต่กลับไม่อาจเอ่ยอธิบายออกมาได้ ราชครูเหลียงไม่อาจตอบโต้กลับไปชั่วขณะหนึ่ง ทำได้เพียงจ้องมองเหล่าขุนนางกระซิบกระซาบกันมู่หรงเจี๋ยเห็นสถานการณ์นี้เข้า จึงโบกมือให้กับหนี่หรง หนี่หรงเข้าใจในทันที แล้วหมุนกายหันหลังจากไปพยานบุคคลต่างก็อยู่ด้านนอกแล้ว ทว่าเขากลับใช้ข้ออ้างที่พยานบุคคลยังมาไม่ถึงเพื่อประกาศเรื่องของฮองเฮา เพราะว่าเรื่องที่ฮองเฮากระทำนั้นไม่เพียงพอให้กล่าวโทษได้ แต่กลับกระตุ้นความกรุ่นโกรธของทุกคนได้อาศัยโอกาสที่ด้านล่างนั้นกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ มู่หรงเจี๋ยก็เอ่ยกับฮองเฮาประโยคหนึ่ง ผู้อ่านไม่ได้ยิน มีเพียงแค่ฮองเฮาเท่านั้นที่สามารถได้ยินเขาเอ่ยว่า “เรื่องที่จะเกิดขึ้นอีกประเดี๋ยว ฮองเฮาสามารถยอมรับได้ หรือจะไม่ยอมรับก็ได้ ทว่าผลของการปฏิเสธนั้นก็คือการป่าวประกาศเรื่องของพระสนมอี๋และรัชทายาทออกไป ลองตรองเองเถิด”“เจ้าข่มขู่ข้า?” ฮองเฮากัดฟันตรัสออกมามู่หรงเจี๋ยยิ้มออกมาจาง ๆ “นั่นก็เรียนรู้มาจากฮองเฮาเองอย่างไรเล่า ท่านเองก็ข่มขู่อาซินเช่นนี้มิใช่หรือ? เขากลืนกินความทุกข์ทรมานมามากเท่าไหร่ ฮองเฮาก็ทรงกลืนกินไปเท่านั้นเถิด ทว่าฮองเฮาไม่สมคว
ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยออกมาด้วยความโกรธ “คำพูดนี้ของฮองเฮาหมายความว่าอย่างไรกัน? หรือจะหมายความว่าข้าและผู้สำเร็จราชการแทนสมคบคิดกันใส่ร้ายรัชทายาทของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้ ทว่ารัชทายาทยังไม่มีทายาท จู่ ๆ ก็มีบุตรสาวเพิ่มเข้ามา คงจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้คนสงสัย” ฮองเฮาตรัสออกมาอย่างเรียบเฉยซ่งรุ่ยหยางเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ฮองเฮาคิดถึงข้ามากจนเกินไป เพื่อสมคบคิดกับผู้สำเร็จราชการของพวกเจ้า ข้าถึงกับจงใจสร้างบุตรสาวเพิ่มขึ้นมา อีกทั้งยังนำบุตรสาวที่ไม่รู้จักกลับไปต้าเหลียงเพื่อเข้าสู่แผ่นหยก บันทึกลงในทะเบียนของราชวงศ์”“เมื่อถึงเวลานั้นรัชทายาทจะนำนางกลับไปหรือไม่ ใครจะรู้?” ฮองเฮาตรัสออกมา“หากว่าฮองเฮาไม่ทรงเชื่อแล้ว แล้วทำไมถึงไม่นำหยดเลือดมาตรวจสอบกันเล่า?” ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาฮองเฮาไม่ส่งเสียงใด หุบปากเคร่งขรึมอยู่ชั่วครู่รัชทายาทเอ่ยออกมา “ข้าไม่รู้ว่านางเป็นองค์หญิงของต้าเหลียง พวกเจ้ามีความสัมพันธ์กันยุ่งเหยิง ใครจะรู้เล่า?”ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ได้ยินคำของรัชทายาท หากว่าอี๋เอ๋อร์ไม่ใช่บุตรสาวของข้า เป็นเพียงแค่หญิงชาวบ้านเท่าน
เมื่อราชครูเหลียงเอ่ยคำนี้ออกมา เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางต่างก็ตื่นตกใจท่านอ๋องเป่าอันเอ่ยถาม "ราชครูเหลียง หากไม่มีหลักฐานเท็จจริง สิ่งที่ท่านเอ่ยมานั้นคือการใส่ร้ายฮองเฮา ซึ่งเป็นโทษร้ายแรง"ราชครูเหลียงเดินออกมาอย่างช้า ๆ มองฮองเฮาด้วยความเจ็บปวด จากนั้นหันไปมองเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนาง ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกจนบรรยายไม่ได้ "ข้าเพิ่งจะรู้เรื่องนี้ในวันนี้ ทว่าองค์รัชทายาทขอร้องข้าบอกว่าต้องการรับโทษแทนมารดา ไม่ยอมให้ข้าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป เมื่อเห็นว่ารัชทายาทกตัญญูเช่นนี้ แต่กลับถูกกล่าวหา หัวใจข้าก็เจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีด ข้าราชการผู้นี้ก็สลดใจยิ่งนัก แท้จริงแล้วเรื่องเหล่านี้ถูกฮองเฮาชี้แนะอยู่เบื้องหลัง นางไม่รู้ว่าหวังอี๋เอ๋อร์เป็นองค์หญิงต้าเหลียง คิดเพียงแต่ว่านางเป็นหญิงชาวบ้านต้าโจว จึงไม่ยินยอมให้อ๋องเหลียงแต่งงานกับนาง นางจึงยุยงให้รัชทายาทลักพาตัวนางไป รัชทายาทเกรงว่าจะทำร้ายจิตใจพี่ชาย ทั้งไม่กล้าขัดคำสั่งมารดา จึงสั่งคนเป็นการส่วนตัวให้แจ้งข้าให้หาทาง แจ้งพระชายาให้ช่วยหวังอี้เอ๋อร์ และทุกคนจะได้รู้หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ถ้าหากองค์รัชทายาทต้อง
นางส่ายศีรษะเบา ๆ “ฮองเฮา เจ้าจะรับผิดหรือไม่?” ฮองเฮามองไปยังรัชทายาท และรัชทายาทเองก็มองนางอย่างประหม่าเช่นกัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการอ้อนวอน ร่างกายของฮองเฮาแข็งทื่อ หมัดกำแน่น มีอารมณ์ที่ซับซ้อนในดวงตาของนาง ในที่สุดนางก็ผ่อนคลายร่างกายของนางอย่างอ่อนโยนและเอ่ยว่า "ถูกต้อง ข้าเป็นคนทำเองทั้งหมด" ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งว่า “ในเมื่อเจ้ายอมรับผิด เช่นนั้น เจ้าก็ต้องรับผลของสิ่งที่เจ้าทำลงไป” มีไม่กี่คนที่เข้าใจสิ่งที่หวงไท่โฮ่วเอ่ย นางหมายความว่าในเมื่อฮองเฮาเลือกที่จะรับโทษแทนรัชทายาท นางก็ต้องรับผลของโทษนั้น ไม่ใช่ข้อกล่าวหา ฮองเฮายิ้มเย้ยหยันอย่างเศร้าใจ “หม่อมฉันทราบเพคะ” หวงไท่โฮ่วเคร่งขรึมไปครู่หนึ่ง ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปมองทุกคน “ข้าจะหารือกับผู้สำเร็จราชการแทน สำหรับการกำหนดโทษของฮองเฮา” อย่างไรแล้ว หวงไท่โฮ่วยังคงต้องการให้โอกาสฮองเฮาอีกสักครั้ง เพราะว่าเมื่อยืนอยู่ตรงจุดนาง นางก็ยังคงคิดอยู่เสมอว่า การปลดฮองเฮาและรัชทายาทนั้นก็หนักหนาพอกัน ปลดฮองเฮา ก็จะสั่นสะเทือนไปทั้งวังหลัง เมื่อวังหลังยุ่งเหยิงวุ่นวาย เรื่องราวมากมายก็จะวุ่นวายตามไปด้วย นางไม่มีใจที่จะ
ดวงตาของมู่หรงเจี๋ยเป็นประกายเฉียบคม คำถามของหญิงชราดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่การเอ่ยออกมาอย่างเรียบง่าย อันที่จริงแล้วคือต้องขอความคิดเห็นจากเขา เพราะว่าใครที่ถูกยกขึ้นมา ก็จะหมายถึงคนที่กุมอำนาจของวังหลังเอาไว้ ทว่าเรื่องของวังหลัง มู่หรงเจี๋ยไม่อาจก้าวก่ายได้ เขาเอ่ยออกมา “พระสนมในวังหลังต่างก็มีคุณธรรม เสด็จแม่เลือกใช้ได้อย่างวางใจได้ เพียงแต่ต้องเรียนรู้บทเรียนจากฮองเฮา หากว่ามีญาติอยู่ในตำแหน่งสูงแล้ว ไม่อาจที่จะเลื่อนตำแหน่งได้ มิฉะนั้นแล้วก็จะมีฮองเฮาคนที่สอง” หวงไท่โฮ่วเมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ไม่มีญาติที่มีอำนาจนั้น อีกทั้งยังมีตำแหน่งพระสนมเป็นต้นไปนั้น ก็คงจะมีเพียงพระสนมเหมยเท่านั้น ตระกูลทางฝั่งมารดาของพระสนมเหมยนั้นเป็นเพราะว่าเข้าไปพัวพันกับฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเซี่ย ทำให้ตกต่ำไป หากว่าคนคนหนึ่งได้รับความคับข้องใจมาก่อน อย่างน้อยก็ควรจะรู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ในใจของหวงไท่โฮ่วตระหนักรู้ได้ ก็คิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ฮองเฮาวันที่มาหาข้า บอกว่าเจ้าจะใส่ร้ายว่าพระสนมอี๋และรัชทายาทลอบมีความสัมพันธ์กัน นี่มันเรื่องอะไรกัน?” มู่หรงเจี๋ยยิ้มออกมา “เส
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว