ดวงตาของมู่หรงเจี๋ยเป็นประกายเฉียบคม คำถามของหญิงชราดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่การเอ่ยออกมาอย่างเรียบง่าย อันที่จริงแล้วคือต้องขอความคิดเห็นจากเขา เพราะว่าใครที่ถูกยกขึ้นมา ก็จะหมายถึงคนที่กุมอำนาจของวังหลังเอาไว้ ทว่าเรื่องของวังหลัง มู่หรงเจี๋ยไม่อาจก้าวก่ายได้ เขาเอ่ยออกมา “พระสนมในวังหลังต่างก็มีคุณธรรม เสด็จแม่เลือกใช้ได้อย่างวางใจได้ เพียงแต่ต้องเรียนรู้บทเรียนจากฮองเฮา หากว่ามีญาติอยู่ในตำแหน่งสูงแล้ว ไม่อาจที่จะเลื่อนตำแหน่งได้ มิฉะนั้นแล้วก็จะมีฮองเฮาคนที่สอง” หวงไท่โฮ่วเมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ไม่มีญาติที่มีอำนาจนั้น อีกทั้งยังมีตำแหน่งพระสนมเป็นต้นไปนั้น ก็คงจะมีเพียงพระสนมเหมยเท่านั้น ตระกูลทางฝั่งมารดาของพระสนมเหมยนั้นเป็นเพราะว่าเข้าไปพัวพันกับฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเซี่ย ทำให้ตกต่ำไป หากว่าคนคนหนึ่งได้รับความคับข้องใจมาก่อน อย่างน้อยก็ควรจะรู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ในใจของหวงไท่โฮ่วตระหนักรู้ได้ ก็คิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ฮองเฮาวันที่มาหาข้า บอกว่าเจ้าจะใส่ร้ายว่าพระสนมอี๋และรัชทายาทลอบมีความสัมพันธ์กัน นี่มันเรื่องอะไรกัน?” มู่หรงเจี๋ยยิ้มออกมา “เส
“เกี่ยวข้องอะไรกันกับเจ้า? อย่าถือว่าเรื่องไม่สำคัญอะไรก็เอามาใส่ตนเอง” หวงไท่โฮ่วดึงมือเขาเอาไว้ “ตอนนี้อาการประชวรขององค์จักรพรรดิดูจะแย่ลง ดูเหมือนว่าจะไม่พ้นปีนี้แล้ว แล้วจะทำอย่างไรกัน? สถานการณ์ดูยุ่งเหยิงเกินไปแล้ว หากว่าเขาสวรรคตไป ก็ไม่รู้ว่าจะวุ่นวายจนกลายเป็นเช่นไร” “ทหารมา แม่ทัพขวางกั้น น้ำมา คันดินตั้งรับ จะทำอย่างไรได้?” มู่หรงเจี๋ยขมวดคิ้วออกมา อาการประชวรขององค์จักรพรรดินั้นแย่ลงมากแล้ว แต่จะทำอย่างไรได้? อาการประชวรของเขาไม่อาจเปิดเผยออกไปได้ เสด็จแม่เองก็ไม่ยินยอมให้จื่ออันเข้าไปดู อีกทั้งอาการป่วยนี้ไม่มียาที่จะรักษาได้ ต่อให้จื่ออันไปรักษา ก็ไม่แน่ว่าจะรักษาได้ กลับกันอาจจะถูกกล่าวโทษได้ ในใจของหวงไท่โฮ่วเริ่มตระหนักถึงเรื่องนั้นขึ้นมา เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็จ้องมองไปยังมู่หรงเจี๋ยอย่างเคร่งขรึม “หากว่าระหว่างพระสนมอี๋และรัชทายาทนั้นมีอะไรขึ้นจริง เจ้าจะต้องปิดบังเอาไว้ห้ามมิให้ผู้ใดเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป ในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ จะต้องไว้หน้าให้กับเขาบ้าง ข้าจะไปตรวจสอบ หากว่าเป็นความจริง พระสนมอี๋ก็คงจะเก็บเอาไว้ไม่ได้” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาอย่างจริงจั
ฮองเฮาเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ท่านโกหก ข้าไปยังจวนอ๋องเหลียงมาก่อน สถานการณ์ของเขาคงที่แล้ว” ราชครูเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “เป็นเพียงแค่คงที่ชั่วคราวเท่านั้น แต่จะสามารถมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่นั้น ก็ต้องรอดูกันต่อไป” ฮองเฮาส่ายศีรษะ “ท่านพ่อจะสาปแช่งเขาเช่นนี้ไปเพื่ออะไร? เขาเองก็เป็นหลานของท่าน” ราชครูเอ่ยเสียงดัง “พ่อไม่ได้สาปแช่งเขา หากว่าเจ้าไม่เชื่อแล้ว ก็สามารถออกจากวังไปดูได้ เขาเป็นหลานของข้านั้นไม่ผิด แต่ลำแขนเขาผิดรูป ต่อให้จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท ก็จะต้องใกล้ชิดกับมู่หรงเจี๋ย คนที่ดื้อรั้นเช่นนี้ ข้าไม่มีทางจะให้เขาได้นั่งบนตำแหน่งรัชทายาท” ฮองเฮายิ้มอย่างอนาถ “อย่างนั้นหรือ? ถึงแม้ว่าเขาจะใกล้ชิดกับมู่หรงเจี๋ย แต่ข้าก็ยังคงเป็นเสด็จแม่ของเขา ท่านก็ยังเป็นตาของเขา ขอเพียงแค่ท่านตั้งใจจะสนับสนุนเขา เขาก็จะไม่ทำอะไรท่าน” รัชทายาทหยุดร้องไห้ลง เอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจนัก “ความหมายของเสด็จแม่ก็คือ หากว่าลูกถูกปลดไป ก็จะแต่งตั้งเศษสวะอ๋องเหลียงนั่นเป็นรัชทายาททันที ท่านถึงจะพอใจใช่หรือไม่? หากว่าเสด็จแม่ทรงคิดเช่นนี้ ตอนที่อยู่ในโถงประชุ
จื่ออัน พวกเขารอการกลับมาของมู่หรงเจี๋ยที่จวนอ๋องเหลียง ข่าวคราวจากในวังได้แพร่กระจายมาแล้ว หวงไท่โฮ่วได้ออกคำสั่งให้ปลดฮองเฮา ข่าวคราวนี้เป็นซ่งรุ่ยหยางและอี๋เอ๋อร์ที่กลับมาเอ่ยถึง ข่าวนี้แน่นอนว่าย่อมต้องทำให้คนตื่นเต้น อย่างน้อยก็โล่งใจให้กับอ๋องเหลียงแล้ว ทว่าทุกคนก็ยังไม่อาจยินดีขึ้นมาได้จริง ๆ เพราะว่าเขาละมั่งโลหิตหายไปแล้ว อีกทั้งอ๋องเหลียงถึงจะลดไข้ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่พ้นจากช่วงระยะอันตราย ทุกคนยังคงเป็นกังวล เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างเข้า หลังจากที่อี๋เอ๋อร์กลับมาแล้วก็เข้าไปอยู่เป็นเพื่อน นางยิ้มแย้มแจ่มใสบอกกับอ๋องเหลียงว่านางได้พบกับหวงไท่โฮ่วแล้ว อ๋องเหลียงที่ได้สติ แต่จิตใจยังคงไม่ชัดเจนนัก ทว่าเขาชื่นชอบได้ยินเสียงอี๋เอ๋อร์เอ่ยออกมา และชอบมองนาง ฉะนั้นก็คอยดึงสติพูดคุยกับนาง หลิวเย่ว์ที่นั่งอยู่ตรงหน้าระเบียง ได้ยินจื่ออันและเฉินหลิวหลิ่วเอ่ยกัน เมื่อได้ยินถึงเขาละมั่งโลหิต นางก้มศีรษะลงอย่างเศร้าเสียใจ หากว่านางมอบเขาละมั่งโลหิตให้จื่ออันไปก่อนแล้ว ก็คงไม่อันตรายถึงชีวิตขององค์หญิงใหญ่ ซ่งรุ่ยหยางนั่งลงข้างกายนาง “คิดอะไรอยู่?” “คิดถึงเขาละมั่งโล
หลังจากที่มู่หรงเจี๋ยออกจากวังแล้ว ก็ได้ยินจื่ออันบอกถึงข่าวดี ก็ยินดีขึ้นมา ทั้งสองคนไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของในวัง สนใจเพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ตอนนี้ขอเพียงแค่ตามหาท่านหมอหยวนพบ จ้วงจ้วงก็จะมีหวังแล้ว หลิวเย่ว์เมื่อเห็นทุกคนต่างก็รีบร้อนกัน ในใจก็ลอบกระวนกระวายขึ้นมา นางรู้สึกว่าตนเองเอ่ยถึงท่านหมอหยวน ให้ความหวังแก่พวกเขา สุดท้ายแล้วหากว่าตามหาท่านหมอหยวนไม่พบ เช่นนั้นจะรู้สึกแย่เพียงใด ทว่านางเองไม่ได้รั้งอยู่ที่จวนอ๋องเหลียง กลับถูกซ่งรุ่ยหยางนำตัวไป ซ่งรุ่ยหยางบอกว่าจะนำตัวนางกลับไปยังเรือนพักรับรองชั่วคราว เซียวท่าคิดจะเรียกให้อยู่ต่อ ทว่ากลับถูกสายตาของซ่งรุ่ยหยางจ้องมองมาอย่างดุร้าย ทันใดนั้นเขาก็หยุดคำพูดเอาไว้ จากนั้นก็กลืนน้ำลายลงไป “เดินทางดี ๆ!” เฉินหลิวหลิ่วเมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบลง จึงเอ่ยกับจื่ออัน “ในเมื่อองค์หญิงมีความเป็นไปได้ว่าจะช่วยเหลือกลับมาได้แล้ว เช่นนั้นข้าก็มีเรื่องหนึ่งที่จะประกาศ จื่ออันมองยังนาง “เจ้าต้องการจะประกาศอะไร?” หลิวหลิ่วสูดหายใจเข้าลึก สีหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ระงับความตื่นเต้นตรงระหว่างคิ้วเอาไว้ไม่ได้ “เซียวท่าจะแต่งงา
มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาอย่างไม่ยินดีนัก “ข้ายังคิดจะบอกกับนาง” หลิวหลิ่วได้ยินคำนี้ ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองไปยังเขา “เช่นนั้นท่านอ๋องบอกข้ามา เขาเอ่ยออกมาว่าอย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกลับทำสีหน้าเฉยเมย “ไม่บอก” หลิวหลิ่วกรุ่นโกรธเสียจนกระทืบเท้าออกมา ขณะที่กำลังที่จะโมโหใส่เซียวท่านั้น ตรงมุมห้องนั้นก็มีเสียงอ่อนแอดังขึ้น “เขาบอกว่าท่านคุกเข่าลงร้องขอให้เขาขอท่านแต่งงาน” ทุกคนมองออกไป ก็พบกับตาวเหล่าต้าที่หลบอยู่ตรงมุมห้องแทะตีนเป็ดอยู่ ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำมันเต็มปาก ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำมัน “เซียวท่า!” หลิวหลิ่วส่งเสียงราวสิงโตออกมา สั่นสะเทือนไปถึงฟ้า เซียวท่า “ฟรึ่บ” ดังขึ้น หายไปอย่างรวดเร็ว หลิวหลิ่วกัดฟันออกมา และเพราะอาการบาดเจ็บที่ขาทำให้ไม่อาจไล่ตามได้ทัน ทำได้เพียงแค่อธิบายออกไปด้วยใบหน้าดำคล้ำ “ไม่ใช่เช่นนั้น เป็นเขาที่ไปสู่ขอ กลางดึกดื่น นำมะพร้าวและเหล้าออกมาสู่ขอยังจวนของข้า เป็นความจริง ข้าไม่ได้โกหก” “เชื่อข้า เป็นความจริง ข้าไม่ได้คุกเข่าลงขอเขาแต่งงาน ข้าเองก็ปฏิเสธไม่ได้...หรอก ต่อให้ข้าจะปฏิเสธได้ ข้าเองก็ไม่มีทางทำเช่นนั้น หากว่าเขาไม่ยินยอมที่จะสู่ขอข้า ข้
จื่ออันมองไปยังเขา พยายามอ่านอารมณ์ที่หลบซ่อนอยู่ของเขาอย่างเต็มที่ จากนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ท่านไม่อยากจะแต่งชายารองใช่หรือไม่? หากว่าท่านไม่อยากแต่งแล้ว ข้าจะไปปฏิเสธแทนท่านเอง” มู่หรงเจี๋ยออกจะหงุดหงิดเล็กน้อย “ไม่ใช่ปัญหาที่ว่าข้าอยากจะแต่งงานหรือไม่ แต่เป็นเจ้าที่อยากจะให้ข้าแต่งหรือไม่ หากว่าเจ้าไม่ชอบแล้ว ตนเองก็ไปบอกกับเสด็จแม่เอง” “ข้าอย่างไรก็ได้” จื่ออันรับรู้ได้ถึงความคิดของเขา จึงยักไหล่ออกมา “ท่านชื่นชอบก็พอแล้ว” มู่หรงเจี๋ยส่งเสียงฮึมฮัมออกมา ก่อนจะลุกขึ้นแล้วนั่งลงอย่างไม่พอใจนัก จื่ออันเท้าคางแล้วถอนหายใจออกมาอย่างแรง “กังวลเรื่องอาซินหรือ?” มู่หรงเจี๋ยถามออกมา “ข้ากังวลเกี่ยวกับเขา และก็กังวลกับจ้วงจ้วง และยิ่งกังวลกับสถานการณ์ในปัจจุบัน” มู่หรงเจี๋ยไม่ส่งเสียงใดออกมา การปลดฮองเฮาเป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น ขั้นแรกที่ทำให้ทางด้านของราชครูเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา จากนั้นตั้งใจรับมือกับเรื่องที่อ๋องหนานหวายจะกลับเข้ามาในเมืองหลวง เขาเอ่ยออกมา “เมื่อปลดฮองเฮาแล้ว ในวังก็จะเกิดความวุ่นวายขึ้นระยะหนึ่ง ข้าได้เสนอเรื่องที่ให้ยกพระสนมเหมย เจ้าสามารถเข้าวังไป
มู่หรงเจี๋ยยิ้มแล้วเอ่ยออกมา “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องเลือกพระสนมอี๋ก่อน” ไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากสนมอี๋ พระสนมอี๋ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ แต่กลับซ่อนกายอยู่ในที่ลับมาตลอด ถึงเวลาแล้วที่จะให้นางออกมาแสดงกายภายใต้แสงสว่าง ได้รับการเฝ้ามองและการกราบไหว้จากทุกคน คนคนหนึ่งหากว่ามีตำแหน่งสำคัญแล้ว ก็จะต้องมีคนคอยจับจ้องอยู่ พระสนมอี๋ไปมาหาสู่กับใคร แต่ละวันนั้นทำอะไรบ้าง กินอะไรเข้าไป เข้าห้องน้ำกี่ครั้ง ล้วนแต่จะต้องมีคนคอยสังเกตการณ์อยู่ อีกทั้งพระสนมอี๋และพระสนมเหมยทั้งสองคนนั้น ถึงแม้จะกล่าวได้ว่าเป็นสหายที่ดีต่อกัน ทว่าในใจของพระสนมอี๋นั้นไม่ได้ชื่นชอบพระสนมเหมย ในใจของพระสนมเหมยเองก็มีระแวดระวังพระสนมอี๋อยู่เล็กน้อย อีกทั้งตระกูลของพระสนมอี๋นั้นค่อนข้างจะโดดเด่น พระสนมเหมยเองก็มีแผนการของนางอยู่ในใจ จึงไม่มีทางที่จะสานสัมพันธ์กันอย่างจริงใจ จื่ออันเมื่อเห็นว่ามู่หรงเจี๋ยยังคงยิ้มอยู่ อีกทั้งยังยิ้มได้อย่างน่ากลัวอย่างยิ่ง จึงได้เอ่ยถาม “ท่านยังมีแผนการอื่นใดอยู่อีกหรือ?” “เจ้าไม่รู้สึกว่าจะต้องเพิ่มอีกหนึ่งคนเข้าไปถึงจะสนุกหรอกหรือ?” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาอย่างชั่วร้าย จื่ออันเอ่ยอ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว