มู่หรงเจี๋ยขมวดคิ้วออกมา “ทั้ง ๆ ที่เป็นคนเดียว ทำไมถึงได้พูดกันไม่เหมือนกัน? เสี้ยนจู้จะวาดออกมาได้อย่างไร?” หยวนฉุ่ยยวี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่ต้องกังวลไป ผสานเข้าด้วยกันก็พอแล้ว” อันที่จริงแล้ว ทั้งสามคนต่างเอ่ยออกมาเหมือนกัน เพียงแต่มีปัญหาทางการแสดงออกเท่านั้น ก่อนหน้านั้นหยวนฉุ่ยยวี่เคยวาดภาพเหมือนของคนมาระยะหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จับพู่กันมานานมากแล้ว แต่ก็ยังคงไหลลื่น เห็นเพียงนางขีด ๆ เขียน ๆ พู่กันลากเป็นโครงร่างออกมา เพียงโครงร่างนั้นก็รู้แล้วว่าไม่ผิดแน่ เพราะทั้งสามคนต่างก็บอกว่ามีใบหน้ารูปเหลี่ยม คิ้ว ดวงตา จมูก ปาก ทั้งสามคนบอกออกมาต่างกันออกไป เช่น หลิวเย่ว์บอกตาเขามีดวงตาโต แต่เสี่ยวเอ้อร์กลับบอกว่าไม่ใหญ่ เพราะว่าเขาในทุกวันนั้นพบเจอคนมากมาย จะต้องพบเจอกับคนที่มีดวงตาใหญ่โตมามาก เพราะฉะนั้น เขาจึงคิดว่าดวงตาของหลี่ฉีไม่ถือว่าใหญ่มากนัก หลังจากที่วาดจนเรียบร้อยแล้ว หยวนฉุ่ยยวี่ก็นำภาพเหมือนส่งให้กับเซียวท่า เซียวท่าเปิดออกมาต่อหน้าของทั้งสามคน ทั้งสามคนอึ้งตะลึง ชี้ไปยังภาพเหมือนนั้นแล้วเอ่ยออกมา “ไม่ผิด เป็นเขา เหมือนราวกับแกะ” ทันในนั้นหลิวเย่วก็ตกตะลึงกับหย
และแน่นอนว่า ไม่ถึงหนึ่งเค่อ เซียวท่าก็กลับมาแล้ว เอ่ยออกมา “สารภาพแล้ว เพียงแค่นิ้วเดียวก็สารภาพแล้ว เขาบอกว่า คนที่ให้เขาไปขโมยเขาละมั่งโลหิตนั้นคือจางเฉวียนหลง ญาติผู้พี่ของตน เข้าวังนานแล้ว ตอนนี้รับใช้อยู่ในวังบูรพา”มู่หรงเจี๋ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่าเป็นคนของนาง “อืม นำตัวกลับศาลาว่าการ”“พ่ะย่ะค่ะ!” หน่วยหน้าหน่วยรับคำสั่งแล้วออกไปจื่ออันเองก็ค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน “ที่แท้ก็เป็นคนของรัชทายาท?”มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย “เขาถูกคนหลอกใช้เข้า หลิวเย่ว์เข้าพักโรงเตี้ยมมาสองวันแล้ว ทว่าจางฉีเพิ่งจะมาในวันนี้ พิสูจน์ได้ว่าคนผู้นี้เพิ่งจะรู้ว่าเขาละมั่งโลหิตนี้มีประโยชน์อะไร”“รัชทายาทไม่มีเหตุผลอะไรให้ทำเช่นนี้ ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ทำไมเขาถึงยังต้องทำร้ายจ้วงจ้วงอีก? นี่มันไม่ส่งผลดีต่อเขาเลย”มู่หรงเจี๋ยส่ายศีระษะออกมา “เกรงว่าเขาไม่ได้ต้องการทำร้ายจ้วงจ้วง แต่ต้องการทำร้ายอาซิน หากว่าข้าทายไม่ผิดแล้ว คนที่ให้เขาลงมือนั้น จะต้องบอกเขาว่า มีเพียงเขาละมั่งโลหิตเท่านั้นที่จะช่วยอาซินได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงเอามันไป อีกทั้ง เขาเอาเขาละมั่งโลหิตไป จะต้องทำล
“แต่เกรงว่าราชครูคงจะไม่หลงกล” “เช่นนั้นก็จัดการกับเขาก่อน” มู่หรงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา เขาเป็นตาของรัชทายาท อีกทั้งยังรับหน้าที่เป็นราชครูของรัชทายาท รัชทายาททำความผิด เขาก็หนีไม่พ้นความรับผิดชอบ” “แต่หากจะล้มเขา อาศัยเพียงแค่ตรงจุดนี้คงจะไม่ได้” “ข้ายังไม่ไร้เดียงสาถึงขั้นที่อาศัยครั้งนี้เพื่อล้มเขา พลังอำนาจของเขาหยั่งรากลึก นิสัยก็ยิ่งหยิ่งผยอง หากว่าไม่ตบหน้าเขาสักครั้งในตอนนี้ เขาไม่มีทางหยุดลง การตบครั้งนี้ อย่างน้อยก็ช่วยเรียกวันเวลาที่สงบสุขให้แก่ข้าได้เล็กน้อย ข้ายังมีโครงการทางการเมืองอีกหลายข้อที่ต้องทำ คงต้องอาศัยโอกาสจากเวลานี้แล้ว” จื่ออันกอดเขาเอาไว้ ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ต่อไปพวกเราไม่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิกันแล้ว ใครอยากจะเป็นก็ให้เป็นไป นี่ไม่ใช่วิถีการใช้ชีวิตของคนทั่วไป” ต้องรับมือกับแผนการจากหลายฝ่าย และยังต้องวางแผนนโยบายเพื่อให้เป็นประโยชน์กับแคว้น อีกทั้งยังคอยต้องแบ่งสมาธิไปจัดการกับแคว้นต่าง ๆ รอบ ๆ ที่มีใจทะเยอทะยาน ตอนนี้ยังต้องเป็นกังวลกับเรื่องในตระกูล จื่ออันรู้สึกว่าตนเองไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย “เด็กโง่ ชายหน
รัชทายาทที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในวังบูรพา ดาบทั้งสามสิบแปดเล่มนั้นของอ๋องเหลียงไม่ได้สร้างอาการบาดเจ็บให้เขามากนัก กลับเป็นที่ตรงส่วนนั้นที่สำคัญกว่า ตอนนี้ยังต้องต้มยานอนพักผ่อนอยู่บนเตียงอยู่อีก เหลียงซู่หลินได้กลับมารายงานแล้ว “ฝ่าบาท เขาละมั่งโลหิตได้มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถูกโยนลงไปในเหวลึก ไม่มีใครสามารถตามหาได้พบแน่” รัชทายาทกัดฟันเอ่ยออกมา “ดี เขาทำร้ายข้า ข้าก็จะเอาชีวิตของเขา” ดวงตาของเหลียงซู่หลินฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา “พ่ะย่ะค่ะ ไม่มีเขาละมั่งโลหิตแล้ว อ๋องเหลียงก็มีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” เป็นเหลียงซู่หลินที่เป็นผู้แจ้งแก่รัชทายาทใราวกับไม่ได้ตั้งใจว่าอ๋องเหลียงต้องการเขาละมั่งโลหิตเพื่อช่วยชีวิต อันที่จริงแล้ว.ด้านนอกนั้นมีคนมากมายที่รู้ว่าเขาละมั่งโลหิตใช้เพื่อช่วยชีวิตองค์หญิงใหญ่ ทว่าก่อนหน้านั้นรัชทายาทไม่ได้ใส่ใจต่อสถานการณ์ขององค์หญิงใหญ่ อีกทั้งได้รับบาดเจ็บอยู่ในวังบูรพา และโลกภายนอกนั้นเหมือนจะไม่ได้ติดต่อกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้เรื่อง เมื่อเหลียงซู่หลินเอ่ยออกมาเช่นนี้ เขาจึงเชื่อเข้า “ฝ่าบาท ราชครูส่งคนมา บอกว่ามีเรื่องต้องการสอบถามฝ่าบาทพ่ะย่ะ
“นางวิ่งเข้ามาเห็นกับตาตนเอง อีกทั้งในวันนั้น ที่วัดของราชวงศ์ ข้าเองก็กำลังทำเรื่องดีอยู่ นางก็บุกเข้ามา เห็นทุกอย่างด้วยตาตนเอง” “นอกจากนางแล้ว ยังมีใครที่เห็นอีกบ้าง?” เด็กรับใช้เอ่ยถาม รัชทายาทคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยังมีมารดาของหญิงชาวบ้านนั้นอีก ชื่อว่าหลิวเย่ว์ พระในวัดของราชวงศ์เองก็รู้ นางกำนัลสองคนของพระสนมอี๋เองก็รู้ คนข้างกายของข้าไม่กี่คนนั้นเองก็รู้” เด็กรับใช้ไม่คิดเลยว่ารัชทายาทจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ เรื่องนี้หากว่าถูกเปิดเผยออกไป ไม่จำเป็นต้องหารือใดก็สามารถปลดออกได้ทันที เขายุ่งวุ่นวายหลงระเริงในวังหลวง ขโมยสนมของบิดาตนเอง อกตัญญู แล้วยังจะต้องการการหารืออีกหรือ? ที่สำคัญก็คือ เรื่องนี้ยังถูกพระชายาของผู้สำเร็จราชการรู้เข้า ไม่น่าแปลกที่วันนี้มู่หรงเจี๋ยถึงได้กระทำการใหญ่โตเรียกตัวขุนนางและเชื้อพระวงศ์มา เขามีหลักฐานอยู่ “นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกหรือไม่?” เด็กรับใช้เอ่ยถาม รัชทายาทโบกมือ “จะยังมีอะไรอีก? ไม่มี” เรื่อที่ขโมยเขาละมั่งโลหิตในวันนี้ ไม่อาจเอ่ยออกไปได้ มิฉะนั้นแล้ว หากลอยไปถึงหูของเสด็จแม่ เสด็จแม่จะต้องโกรธเกลียดเขามาก “เช่นนั้นบ่าวขอลาก่อนแล้
ฮองเฮาแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่หูของตนเองได้ยินมา “เจ้าว่าอะไรนะ? อาศัยเพียงแค่เหตุผลเช่นนี้? พวกเขามีหลักฐานอะไรกัน?” “วันนั้นที่รัชทายาทจับตัวหญิงชาวบ้านไป พระสนมอี๋ก็อยู่ในวัดของราชวงศ์ด้วยพอดี ราชครูได้ข่าวมา บอกว่าพวกเขาคิดจะใช้เหตุนี้เพื่อใส่ร้ายว่ารัชทายาทลงมือกับพระสนมอี๋” ฮองเฮาโกรธเกลียดอย่างมาก “เซี่ยจื่ออันคงไม่อาจเก็บเอาไว้ได้แล้วจริง ๆ เก็บนางเอาไว้ ก็มีแต่ทำร้ายข้า ทำร้ายรัชทายาท” “เพราะฉะนั้น ราชครูบอกว่า ในตอนที่ฮองเฮาทรงไปเป็นพยานนั้น ฮองเฮาจะต้องบอกว่า ท่านส่งพระสนมอี๋ไปของพรให้กับองค์หญิงใหญ่ยังวัดของราชวงศ์” “ส่วนเรื่องที่รัชทายาทจับตัวหญิงชาวบ้านไป จะ...” เด็กรับใช้ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ฮองเฮาวางพระทัยได้ เพียงแค่หญิงชาวบ้านเท่านั้น ไม่มีทางสร้างความเสียหายอะไรร้ายแรง หญิงชาวบ้านนั่นก็ยังคงกลับมาโดยที่ไม่เสียหาย อีกทั้งฝ่าบาทเองก็เป็นเพราะเหตุนี้ ถึงได้ถูกอ๋องเหลียงทุบตีเสียยกใหญ่ การกระทำผิดที่โหดร้าย แลกกับการถูกทุบตีที่โหดเหี้ยม ต่อให้ขุนนางและเชื้อพระวงศ์จะรู้สึกว่ารัชทายาทสูญเสียคุณธรรมไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ต้องปลดเขา” ฮองเฮาถึงได้โล่งใจลงบ้าง “ทว่
หวงไท่โฮ่วหยัดกายลุกขึ้นทันที เบิกตากว้างตรัสออกมาเสียงดัง “ใครกันที่ใส่ร้ายออกมาเช่นนี้? นี่มันเป็นโทษอกตัญญูร้ายแรงยิ่งนัก” จะต้องรู้ว่าองค์รัชทายาทจะต้องเรียกพระสนมอี๋ว่าเสด็จแม่ หากว่าเขาไม่ความสัมพันธิ์ส่วนตัวกับพระสนมอี๋ ก็ไม่เท่ากับป่าวประกาศแก่โลกนี้ว่า เขาลอบขโมยหญิงสาวของบิดาตนเองหรอกหรือ? นี่ทำให้ราชวงศ์เสียหายอย่างมาก ต่อให้จะเป็นเรื่องจริง ก็ไม่อาจเปิดเผยออกไปต่อหน้าขุนนางได้ “เป็นใครที่ใส่ร้ายยังไม่ทราบเพคะ แต่ได้ยินมาว่าในวันนั้นที่เซี่ยจื่ออันไปช่วยคนยังวัดของราชวงศ์ พบเข้ากับพระสนมอี๋ที่อยู่ในวัดราชวงศ์ด้วยเช่นกัน” ฮองเฮาตรัสออกมาอย่างเรียบเฉย ดวงตาเรียวหงส์ของหวงไท่โฮ่วหรี่เล็กลง “เจ้าจะบอกว่า เป็นเซี่ยจื่ออันที่เอ่ยออกมา?” “หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ ทว่าพระสนมอี๋และรัชทายาทไม่ได้ไปมาหาสู่กันมาก่อน จู่ ๆ ก็ถูกใส่ร้ายเข้าเช่นนี้ จะต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่ หากว่าเป็นจื่ออันที่เอ่ยออกมา บางทีก็ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าใจผิดไปก็เป็นได้ เพราะอย่างไรแล้ว วันนั้นคนที่ติดตามไปก็มีไม่น้อย หากว่ามีคนเอ่ยคำไร้สาระกับจื่ออันสองสามประโยคแล้ว จื่ออันคิดว่าเป็นเรื่องจริง แล้วไปบอกแก่ท่าน
ทางด้านของโถงประชุม ทุกคนต่างก็มาถึงกันอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่สายรองอย่างท่านอ๋องเป่าอันเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ส่วนท่านอ๋องกวางตงนั้น ก็ถูกเชิญเข้าวังมาเช่นกันมู่หรงเจี๋ยเชิญทุกคนเข้านั่ง ที่นี่เป็นโถงประชุม ก่อนหน้านั้นเหล่าขุนนางเองก็หารือราชกิจที่แห่งนี้ เพราะฉะนั้น ที่นี่มีเก้าอี้และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานเป็นจำนวนมากหลังจากที่ทุกคนเข้านั่งแล้ว มู่หรงเจี๋ยก็มองไปยังรอบ ๆ ทุกคน แล้วเอ่ยออกมาช้า ๆ “วันนี้ที่ทุกคนมายังโถงประชุม เพราะว่ามีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องการจะหารือกับทุกท่าน เหล่าเชื้อพระวงศ์ และขุนนางทั้งหลายในที่แห่งนี้ต่างก็รู้ดีว่า องค์จักรพรรดิเคยมอบอำนาจให้ข้า หากว่ารัชทายาทกระทำความผิดรุนแรง อกตัญญู ข้ามีอำนาจที่จะปลดรัชทายาทเสีย”ราชครูเหลียงลุกขึ้นเอ่ยถามทันที “ท่านอ๋อง ขอถามเรื่องนี้องค์จักรพรรดิได้ทรงประทานพระราชโองการออกมาหรือไม่?”สายตาของมู่หรงเจี๋ยตกลงบนใบหน้าของราชครูเหลียง “ราชครูไม่เชื่อคำที่ข้าเอ่ยออกมาอย่างนั้นหรือ?”ราชครูเหลียงยิ้มแล้วส่ายศีรษะ “ไม่ ท่านอ๋องอย่าได้เข้าใจผิดไป ข้าน้อยเพียงแต่รู้สึกว่า การปลดรัชทายาทนั้นเป็นเรื่องสำคัญใหญ่โตของแคว้น ไม่อ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว