คนกลุ่มหนึ่งลงมาจากฟ้าราวกับภูตผี ล้อมกรอบเขากันเข้ามา ขวางทางเขาเอาไว้ เฉินฉู่ที่เต็มไปด้วยความโกรธ เมื่อครู่นี้นั่งมองลงมาจากบนหลังคาอยู่นานแล้ว รอให้เขาเข้าไปด้วยตนเอง ทว่าไม่คิดเลยว่าเขากลับไม่กล้าที่จะเข้าไป สุดท้ายแล้วยังหันหลังกลับแล้วจะจากไปอีก ช่างน่าโมโหจริง ๆ “นี่มันน้องชายเซียวหรือไม่? ในเมื่อมาแล้ว ก็เข้าไปนั่งกันด้านในเสียก่อนเถิด” เฉินฉู่ยิ้มแล้วเอ่ยออกมา พร้อมทั้งวาดแขนลงบนไหล่ของเซียวท่าแน่น เดิมทีนั้น เซียวท่าเป็นคนที่หุนหันพลันแล่น ภายหลังเมื่อตระหนักได้อย่างแน่ชัดแล้ว ในตอนที่ต้องการจะจากไปก็ถูกพี่น้องตระกูลเฉินขัดขวางเอาไว้ ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกขึ้นมา “ข้า ข้ายังมีเรื่องสำคัญให้ต้องทำ คงจะไม่เข้าไปแล้ว” “มาก็มาถึงแล้ว อีกทั้งยังนำของมาด้วย คงจะไม่ดีนัก” เฉินหลงดึงเขาเข้าไป ของที่อยู่บนกายก็ถูกพี่น้องตระกูลเฉินแย่งไปก่อนแล้ว “ไม่ อย่าเลย ข้าเปลี่ยนเป็นวันอื่นค่อยกลับมาใหม่ มีเรื่องสำคัญที่ต้องกระทำเข้าจริง ๆ พี่ชาย ข้า...ไม่ ท่านพ่อของข้า ข้าจะต้องไปหาท่านหมอก่อน” เมื่อเรื่องราวเร่งด่วนเข้าแล้ว เขาจึงได้นำคนในครอบครัวเข้ามาลำบากด้วย แต่ทว่าพี่น้องตระ
เมื่อประโยคนี้ของเขาออกมา เสียงดังอึกทึกทั่วทั้งห้องก็ดังก้องขึ้นมา “ยินดี!” ไม่ว่าจะเป็นสิบสองพี่น้องตระกูลเฉินหรือว่าบ่าวรับใช้ในจวน ต่างก็ส่งเสียงร้องตะโกนสองคำนี้ออกมา เห็นได้ว่า เรื่องงานแต่งงานของเฉินหลิวหลิ่วนั้นเป็นปัญหาใหญ่จริง ๆ เซียวท่ากลืนเลือดที่เอ่อล้นคอลงไป ในหัวรู้สึกราวกับวิงเวียนไปชั่วครู่ เขาเสียใจเข้าแล้ว เสียใจแล้วจริง ๆ หุนหันพลันแล่นไป กลับทำร้ายชีวิตคนคนหนึ่งเข้า หลิวหลิ่วถูกหามเข้ามา อาการบาดเจ็บที่ขาของนางยังไม่ทันหายดี บ่าวรับใช้ในจวนเองก็ไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไร ขุดนางขึ้นมาจากบนเตียง แล้วรีบหามออกมาอย่างรวดเร็ว หลิวหลิ่วคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น ในตอนที่มาถึงยังห้องโถงหลักนั้น พี่น้องตระกูลเฉินทั้งสิบสองก็รีบเก็บอาวุธลงทันที เมื่อมองเห็นฉากนี้เข้า นางก็เข้าใจผิดขึ้นมาทันที คิดว่าเหล่าพี่ชายจับตัวเซียวท่ามาเพื่อบังคับให้แต่งงานกับนาง “ปล่อยเขาเดี่ยวนี้นะ!” หลิวหลิ่วเอ่ยออกมาด้วยความโกรธจัด พี่น้องตระกูลเฉินรีบร้อนหลีกทางกันออกไป เฉินไท่จวินหรี่ตายิ้มเอ่ยออกมา “หลิวหลิ่ว เซียวท่ามาสู่ขอแต่งงาน” หลิวหลิ่วมองยังเซียวท่า แต่เซียวท่ากลับหลบตาอยู่ตล
เมื่อเผชิญหน้ากับความผ่าเผยของหลิวหลิ่วแล้ว เซียวท่าก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เงยหน้าขึ้นถามกับหลิวหลิ่ว “หลังจากแต่งงานไปแล้ว เจ้าจะคอยควบคุมข้าหรือไม่?” “ตามหลักการแล้วไม่มีทาง” หลิวหลิ่วเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าจะเอาเงินของข้าไป แล้วไม่ยอมให้ข้าดื่มเหล้าหรือไม่?” “ไม่มีทาง” “เช่นนั้นเจ้าจะทุบตีข้าหรือไม่? ศิลปะการต่อสู้ของข้าดีกว่าเจ้า แต่ข้าไม่มีทางทุบตีผู้หญิง” เซียวท่าเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ หลิวหลิ่วส่ายศีรษะออกมา “หากว่าไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะทุบตีเจ้าเพื่ออะไร? ทุบตีเจ้าก็สิ้นเปลืองแรงข้าเช่นกัน” เซียวท่าส่งเสียงอืมออกมา เผยความโล่งใจออกมาเล็กน้อย แต่ก็ยังคงลังเลอยู่ “เช่นนั้น หลังจากที่แต่งงานไปแล้ว พวกเราจะใช้ชีวิตกันอย่างไร? เจ้าว่าจู่ ๆ ก็แต่งงานเช่นนี้ ช่างไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย?” “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าไม่เคยแต่งงานมาก่อน ทว่าท่านอ๋องและจื่ออันเองก่อนหน้านั้น ก็ไม่เคยแต่งงานมาก่อน แต่ก็อยู่ด้วยกันเป็นอย่างดี” เซียวท่าถอนหายใจออกมา “หลิวหลิ่ว ในใจของข้ามักจะรู้สึกแปลก ๆ” “เช่นนั้น…” หลิวหลิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หรือว่า เจ้ากลับไปคิดทบทวนสักสองวัน
เฉินหลงเอ่ยออกมาพลาง พร้อมทั้งมองไปยังเซียวท่า คางของเซียวท่าแทบจะหลุดร่วงลงมาบนพื้น เฉินหลิวหลิ่วมีสินเดิมที่มั่งคั่งถึงเพียงนี้ ทำไมถึงยังแต่งงานไม่ได้กัน? เฉินหลงยิ้มแล้วเอ่ยออกมา “เดิมทีนั้น หลิวหลิ่วจะแต่งงาน สินเดินเหล่านี้ไม่ควรที่จะเปิดเผยออกไปก่อน แต่ท่านย่าบอกมาว่าจะต้องรีบแต่งนางออกไปให้ได้ จึงได้เปิดเผยสินเดิมของนางออกมาก่อน หลายวันมานี้ผู้ที่มาสู่ขอถึงหน้าประตูจวน แทบจะเหยียบประตูจวนจนหักไปแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าคุณชายตระกูลฟู่เองก็บอกว่าจะมาสู่ขอตั้งแต่พรุ่งนี้เช้าหรอกหรือ” “พรุ่งนี้เช้า?” เซียวท่าตะลึงไปครู่หนึ่ง “เร็วถึงเพียงนี้เชียว?” “กว่าครึ่งนั้น เขาคงจะพุ่งเป้ามายังสินเดิม ทว่าก็ไม่มีวิธีการอื่นใดแล้ว? งานแต่งงานของหลิวหลิ่วไม่อาจล่าช้าได้อีก เซียวท่า หลิวหลิ่วบอกว่าสามารถให้เจ้าได้คิดสักสองวัน พวกเราเองก็ไม่ควรที่จะบีบบังคับเจ้า วางใจได้ พวกเราจะต้องคิดหาวิธีอย่างสุดความสามารถเพื่อปฏิเสธไป เกรงก็แต่ว่าท่านพ่อท่านแม่ข้า เขาจะร้อนรนเข้า จนรับปากไป” เซียวท่าแทบจะเอ่ยออกมาในทันที “ข้ายังมีเรื่องให้ต้องทำอีก คงต้องไปก่อนแล้ว” เมื่อเอ่ยจบแล้ว เขาก็วิ่งออกไปราวกับลมบ
ส่วนราชครูและคนอื่น ๆ นั้น แน่นอนว่าย่อมไม่คิดที่จะยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยว เพราะอย่างไรก็เป็นเรื่องในราชวงศ์ของพวกเขา อีกทั้งนี่ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ท่านอ๋องกวางตงเมื่อเห็นว่าไม่มีใครเอ่ยออกมา จึงได้เอ่ยว่า “ในเมื่อทุกคนไม่คัดค้าน เรื่องนี้ก็มีข้า และหวงไท่โฮ่ว สำนักพิธีการ กรมกิจการภายในร่วมกันจัดการ ทุกคนสามารถแนะนำคนมีความสามารถได้” เสนาบดีสำนักพิธีการเอ่ยถามถึงปัญหาหนึ่งออกมา “ท่านอ๋อง หากว่าเมื่อองค์หญิงทรงอภิเษกแล้ว ราชบุตรเขยคนนี้ จะได้รับการปฏิบัติดั่งเช่นราชบุตรเขยคนอื่นหรือไม่?” อ๋องกวางตงเอ่ย “แน่นอน!” ใบหน้าของมู่หรงเจี๋ยยิ่งดำคล้ำเข้า “พอแล้ว!” คนที่เข้าใจเขากลับพอจะมองออก ถึงแม้ว่าเขาจะกรุ่นโกรธ แต่กลับดูโล่งใจ อ๋องหลี่เมื่อได้ยินคำนี้เข้า ก็รู้สึกประหลาดใจ ชายชราผู้นี้ก่อเรื่องวุ่นวายมากพอแล้ว คำพูดเช่นนี้จะเอ่ยออกมาต่อหน้าของเหล่าขุนนางได้อย่างไรกัน? หากว่าได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกับราชบุตรเขยคนอื่นแล้ว หากว่าเมื่อองค์หญิงจากไป อีกทั้งยังไม่มีบุตรธิดา ทรัพย์สมบัติของนาง จะไม่ตกเป็นมรดกของราชบุตรเขยไปหรอกหรือ? แน่นอนว่า เมื่อท่านอ๋องกวางตงเอ่ยคำน
ท่านอ๋องกวางตงเมื่อเห็นว่ามู่หรงเจี๋ยไม่ส่งเสียงใด ยังคิดว่าเขาไม่เชื่อในคำพูดของตน จึงได้เอ่ยออกมาต่อ “เจ้าน่ะ อย่าได้ไร้เดียงสาเกินไป ยังจะมีความคิดที่ดีกับเสด็จแม่และน้องชายของเจ้าอีก เขาไม่คิดที่จะเหลือเส้นทางให้เจ้าได้มีชีวิตอยู่ต่อ อ๋องหนานหวายไม่ได้หยุดที่จะรวบรวมกองกำลังทางชายแดนตอนใต้ ได้ยินมาว่าทางด้านตอนใต้นั้น เมื่อมีอายุครบสิบเจ็ดปีแล้ว ก็จะถูกบังคับให้เข้ากองทหาร ต่อให้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวก็ไม่ได้รับการยกเว้น ราชสำนักไม่สิทธิ์อำนาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารของเขา เขาทำเช่นนี้เพื่ออะไร? อีกทั้งหลายปีมานี้เขายังพัฒนาเหมืองเหล็กอย่างมาก เพื่อหลอมรวมอาวุธ และยังซื้อแร่เหล็กจากทางด้านเป่ยโม่ ส่วนเสด็จแม่ของเจ้านั้นกลับไม่หยุดลอบสะสมกองกำลังในเมืองหลวง เอาชนะเหล่าขุนนาง แย่งชิงแรงสนับสนุน แน่นอนว่า เจ้าอาจจะคิดว่าอาศัยเพียงแค่หญิงสาวอย่างนางจะสามารถทำอะไรได้บ้าง? เหล่าขุนนางเองก็อาจจะไม่ถูกนางทำให้สับสนได้ ทว่าเจ้าคิดเช่นนี้ผิดแล้ว จากที่ข้ารู้มา หลายปีมานี้นางไม่หยุดที่จะส่งสายลับออกมา แทบจะหลบซ่อนแอบอยู่ใต้เตียงของผู้อื่น เพื่อคอยฟังเรื่องลับส่วนตัว กลุ่มขุนนางในต้าโจว
อ๋องเหลียงคุกเข่าลงบนพื้น “ลูกขอคารวะเสด็จแม่!” ฮองเฮาโบกมืออกมา ให้นางกำนัลออกไป นางมองไปยังผ้าพันแผลบนมือของเขา มีกลิ่นยาลอยออกมา นางถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ได้ยินมาว่า เจ้าไปถอนหมั้นที่จวนตระกูลหลินมาแล้ว” “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” อ๋องเหลียงไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา ฮองเฮาเอ่ย “ข้าผิดหวังกับเจ้าเป็นอย่างมาก” “คุ้นชินก็ดีแล้ว คุ้นชินแล้วก็ไม่มีทางผิดหวัง” ฮองเฮาเมื่อเห็นว่าเขาเอ่ยออกมาอย่างไร้ชีวิตชีวา ราวกับว่ามีชีวิตอย่างได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจมามาก เอ่ยออกมาด้วยความเศร้าเจ็บปวดและโกรธเกรี้ยว “เจ้ารู้ไหมว่าน้องชายของเจ้าบาดเจ็บสาหัสเพียงใด? อีกเพียงนิด เขาก็จะกลายเป็นเหมือนกับเจ้าก่อนหน้านั้นแล้ว ไม่มีมนุษยธรรม จนกระทั่งตอนนี้เขายังไม่มีลูก ทำไมเจ้าถึงได้โหดร้ายเช่นนี้?” อ๋องเหลียงยิ้มออกมาอย่างเฉยเมย แต่กลับไม่เอ่ยอะไรออกมา โหดร้าย? ไม่ ในตอนต้นที่เขาถูกประกาศออกมาว่ากลายเป็นคนพิการ ไม่มีทางกลับกลายมาเป็นเฉกเช่นคนทั่วไปที่กำเนิดบุตรและธิดาได้นั้น นางยังคอยปลอบโยนมู่หรงเฉียวที่ร้องไห้อยู่ด้านข้างตลอด บอกให้เขาอย่าได้รู้สึกผิดไป โหดร้าย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นใครที่โหดร้ายกันแน
ในใจของฮองเฮารู้สึกแย่เป็นอย่างยิ่ง นางยังคงกล่าวโทษว่า ในเมื่ออ๋องเหลียงรับรู้ความเจ็บปวดของนางแล้ว ทำไมถึงได้ไม่อาจรู้ความไปอีกสักเล็กน้อย? “เจ้าลุกขึ้นมาเถิด!” ฮองเฮาถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เจ้าคิดว่าข้าเข้าข้างน้องชายของเจ้า บางทีอาจจะใช่ ทว่าในฐานะที่เจ้าเป็นพี่ชาย ไม่ควรจะถอยให้เขาหรอกหรือ?” อ๋องเหลียงไม่ได้ลุกขึ้นมา ยังคงคุกเข่าลงดังเดิม แล้วเอ่ยอย่างเสียดสีออกมา “ไม่ถอยอย่างนั้นหรือ? เสด็จแม่ หากว่าลูกไม่ได้รับบาดเจ็บ หากว่าลูกเป็นเหมือนกับคนทั่วไปแล้ว ท่านคิดว่าเสด็จพ่อจะแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาทหรือ?” คำพูดนี้ เดิมทีเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาไม่ควรเอ่ยออกมา ฮองเฮาเองก็คิดว่า ทั้งชีวิตนี้เขาจะไม่มีทางที่จะเอ่ยออกมา และตลอดทั้งชีวิตนี้จะไม่มีทางรับรู้ถึงเบื้องหลังของการทำร้ายเขาอีก ฮองเฮารู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นตกใจ ในใจเกิดเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น คราวนี้แย่แล้วจริง ๆ เขามีใจมุ่งมั่นที่จะแย่งชิงกับน้องชายเขาแล้วจริง ๆ ในหัวเกิดความคิดบางอย่างแวบผ่านมา แต่ก็ถูกนางปัดทิ้งไป “เสด็จแม่ล้วนแต่รู้ดี ทว่าเสด็จแม่เคยแสดงความไม่ยินยอมแทนข้ามาก่อนหรือไม่? ไม่มี ท่านยังคงสง
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว