ความรักความรู้สึกผิดที่ฮองเฮามีต่ออ๋องเหลียง โดยมากแล้วเป็นเพราะความอดทนและเชื่อฟังของเขา เมื่อเขาคัดค้านไม่เชื่อฟังขึ้นมา ความรู้สึกผิดนั้นที่นางมีต่อเขาก็หายไป อ๋องเหลียงถูกลากออกไป ก่อนจะถูกกดลงบนม้านั่งยาวกลางลาน ม้านั่งนี้ทำขึ้นเพื่อใช้โบยนางกำนัลที่ทำความผิด “ตี ตีจนกระทั่งเขายอมรับผิด!” ฮองเฮาเอ่ยออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว อ๋องเหลียงหลับตาลง เหมือนดั่งเช่นก่อนหน้านั้น กลืนความไม่ยินยอมทั้งหมดลงไป ทว่าครั้งนี้เขากลับรู้สึกผ่อนคลาย เพราะว่ามีเพียงแค่ครั้งนี้ หลังจากครั้งนี้แล้ว เขาจะทำสิ่งใดก็ไม่จำต้องกังวลกับนางอีก นำสิ่งที่นางคิดว่าติดค้างอยู่นั้น คืนให้กับนางไปจนหมด ทหารองค์รักษ์เอ่ยถามออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ จะใช้ไม้หนามหรือว่าใช้ไม่ไผ่ดีพ่ะย่ะคะ?” โทษโบยนั้นมีอยู่สองชนิด ชนิดแรกคือใช้ไม้หนามสร้างขึ้น แบ่งเป็นขนาดใหญ่และขนาดเล็ก บนไม้นั้นตอกหนามแหลมคมลงไป หลังจากสิบไม้แล้ว ก็ทำให้คนเปื้อนเลือดขึ้นมาได้ ส่วนไม้กระดานนั้น กลับดูเหมือนว่าจะเบากว่า ทว่าห้าสิบไม้ นางกำนัลทั่วไปก็เหมือนจะตกตายไป ฮองเฮาตกอยู่ภายใต้ความลังเล ก็ค่อนข้างที่จะใจอ่อนอยู่เล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นท่
แน่นอนว่านางย่อมไม่อาจพบกับซ่งรุ่ยหยางภายในห้องนอนได้ หากว่าก้าวออกไปแล้ว ก็คงไม่อาจเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้ยินเสียงของไม้หนามตีลงบนกายของอ๋องเหลียง ใจของนางเจ็บปวดยิ่งนัก แต่ก็กลับจำต้องทำใจแข็ง “ต้าเหลียงซ่งรุ่ยหยางคารวะฮองเฮาต้าโจว!” ซ่งรุ่ยหยางก้าวเข้ามาประสานมือคารวะ “รัชทายาทตามสบายเถิด รีบนั่งลงเข้า!” ฮองเฮาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ใส่ใจเสียงที่ลอยมาจากด้านนอก เจ้าลูกอกตัญญูนั่นดื้อรั้นจนเกินไป ถูกโบยเช่นนี้แม้แต่เสียงร้องก็ยังไม่ส่งเสียงออกมา ซ่งรุ่ยหยางเหลือบมองไปด้านนอกประตู “ไม่ทราบว่าอ๋องเหลียงทำผิดพลาดใหญ่หลวงอะไรกันหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เมื่อดูจากสถานการณ์เมื่อครู่นี้ อย่างน้อยก็ถูกโบยไปแล้วหลายสิบไม้ แต่ก็ยังไม่หยุดลง เห็นได้ชัดว่าจะต้องเป็นเรื่องร้ายแรง ฮองเฮายิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ไม่เชื่อฟัง” ซ่งรุ่ยหยางเป็นคนที่รู้จักขอบเขต จึงไม่ถามออกมาอีก ทำเพียงเอ่ยสั่งเหล่าทูตออกไป “มา นำของขวัญที่ข้าจะมอบให้ฮองเฮาเข้ามา” ส่วนหวงไท่โฮ่วที่ได้ยินต้าจินบอกว่าฮองเฮาจะโบยอ๋องเหลียงด้วยไม้หนามขนาดใหญ่แล้ว จึงได้รีบนำคนเข้ามา ทว่าในตอนที่มาถึงนั้น ห้าสิบไม้ก็
หลังจากที่ซ่งรุ่ยหยางจากไปแล้ว ฮองเฮาถึงได้ตอบคำของหวงไท่โฮ่ว “เขาเป็นลูกชายของหม่อมฉัน หากว่าไม่ใช่เพราะว่าทำความผิดร้ายแรงแล้ว หม่อมฉันเองก็คงจะทำใจไม่ได้ที่ต้องทุบตีเขา” “เขาทำความผิดอะไรกัน?” หวงไท่โฮ่วไม่ได้สงสัยในความรักของฮองเฮาที่มีต่ออ๋องเหลียง ทว่ามีความผิดอะไรถึงได้ทุบตีจนกลายเป็นเช่นนี้? ฮองเฮาตรัสออกมา “เมื่อวานนี้เขาพาเซียวท่าบุกเข้าไปในวังบูรพา ทำร้ายรัชทายาท อีกเพียงนิดก็เกือบจะทำให้องค์รัชทายาทไร้ผู้สืบสกุลแล้ว ตอนนี้รัชทายาทยังไม่อาจลงจากเตียงได้ ราชครูก็สั่งคนให้มาสอบถามแล้ว หมายความว่าต้องการจะสืบหาคนร้ายด้วยตนเอง” หวงไท่โฮ่วตื่นตกใจขึ้นมา รีบตรัสถามออกมา “ทำไมเขาถึงได้ทุบตีรัชทายาทกัน?” ฮองเฮาตกตะลึงไป เรื่องนี้ยังไม่เคยถามถึงมาก่อน “นี่...คงจะมีคนยุแยงมากระมั่งเพคะ? ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกเขาดีมากมาตลอด” “ความสัมพันธ์ดี? คงจะมีเพียงแค่ฮองเฮาที่คิดเช่นนี้” หวงไท่โฮ่วเย้ยหยันออกมา “เจ้าแม้แต่เหตุผลที่เขาทุบตีคนอื่นก็ยังไม่ถามออกมาให้ชัดเจน ก็ลงโทษเขาหนักถึงเพียงนี้ เจ้านี่ช่างเป็นเสด็จแม่ที่ดีจริง ๆ” “ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุอะไร นั่นเป็นน้องชายแ
พระสนมอี๋ได้ยินคนจากวังฮองเฮามาเรียกตัว ก็รู้ว่าจะต้องเป็นเพราะเรื่องราวในวันนั้น รีบไปทันทีโดยไม่รอช้า เมื่อมาถึงยังวังจิ้งหนิง หลังจากที่คารวะแล้ว ฮองเฮาก็ทรงตรัสถามออกมาตรง ๆ “เจ้าไปขอพรยังวัดของราชวงศ์ ทำไมถึงได้รีบร้อนกลับมากัน?” พระสนมอี๋เอ่ย “เมื่อวานนี้เกิดเรื่องขึ้น หม่อมฉันก็เลยกลับมาเพคะ” ฮองเฮาเมื่อเห็นว่านางไม่คิดที่จะปิดบัง จึงได้ให้นางนั่งลง “เจ้าลองบอกให้ข้าฟังเสียหน่อย ตกลงแล้ววันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” พระสนมอี๋นั่งลง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เรื่องนี้หม่อนฉันลังเลอยู่คืนหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะทูลฮองเฮาไปดีหรือไม่ เพราะว่าท้ายที่สุดแล้ว หม่อมฉันก็เป็นเพียงแค่คนนอก หากว่าหม่อนฉันเอ่ยออกมา เกรงว่าจะไปทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้น้องสะใภ้ของฮองเฮา และพระชายาเข้า ยิ่งไปกว่านั้นจะเป็นการทำร้ายความสัมพันธ์ของลุงหลานขององค์รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนได้” ฮองเฮาตรัสออกมาอย่างเรียบเฉย “หากว่าเป็นความสัมพันธ์ที่แท้จริง อย่างไรแล้วก็ทำลายลงไม่ได้ หากว่าเป็นเรื่องปลอมแปลง ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำร้าย เจ้ามีอะไรก็เอ่ยออกมาตามตรงเถิด” พระสนมอี๋เงยหน้าขึ้นมา มองไปยังใบห
“แน่นอนว่าย่อมจำได้ เขาเองก็เป็นลูกชายของข้าเช่นกัน หากว่ามีเวลาก็พาเขามาเล่นที่วังจิ้งหนิง” ฮองเฮาเอ่ยออกมาอย่างไม่จริงจังนัก “เพคะ!” พระสนมอี๋เอ่ยออกมา เมื่อไล่พระสนมอี๋ออกไปแล้ว ฮองเฮาก็เริ่มที่จะปล่อยวางอ๋องเหลียงไม่ได้ สั่งให้คนไปยังวังของหวงไท่โฮ่วเพื่อถามถึงสถานการณ์ หงฮวากลับมารายงานว่าอ๋องเหลียงร้องขอออกจากวังเพื่อกลับจวน หวงไท่โฮ่วได้สั่งคนให้เตรียมการ ฮองเฮาโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก “ให้เขาไปเถิด ดีเสียอีกไม่ต้องเป็นกังวล หมอหลวงได้เอ่ยอะไรออกมาบ้างหรือไม่?” หงฮวาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “หมอหลวงบอกว่า ทั้งสองขาเกรงว่าคงไม่อาจจะรักษาเอาไว้ได้แล้ว ภายหน้าคงไม่อาจจะลุกขึ้นยืนได้อีก” นี่ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ฮองเฮาร้องขอ ทว่าเมื่อได้ยินหงฮวาเอ่ยออกมาเช่นนี้ ในใจก็ยังคงเจ็บปวด น้ำตาสองสายร่วงไหลลงมาอย่างเศร้าเสียใจ เอ่ยออกอย่างเจ็บปวด “เกรงว่าตั้งแต่นี้ไป เขาคงเกลียดข้าเป็นอย่างมาก แต่เขาจะรู้ความลำบากใจของข้าบ้างหรือไม่? ข้าเองก็หวังดีกับเขา ถึงแม้จะไม่มีขาทั้งคู่ แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้” หงฮวาเอ่ยปลอบโยน “ระหว่างแม่ลูก ไม่มีทางเกิดความเกลียดชังขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน ฝ่าบาทจะต
มู่หรงเจี๋ยและจื่ออันคิดว่าอ๋องเหลียงยังคงอยู่ในวังจิ้งหนิง กลับไม่รู้เลยว่าอ๋องเหลียงนั้นถูกหามออกมาจากประตูทางทิศเหนือแล้ว เมื่อไปถึงยังวังจิ้งหนิง คนในวังเข้าไปรายงาน ฮองเฮาที่กำลังคิดอยากจะพบจื่ออัน ได้ยินว่านางมาหา จึงได้ตรัสออกมาเสียงดัง “เรียกพวกเขาเข้ามา” พานตานที่กำลังออกไปพอดี เมื่อพบจื่ออันและมู่หรงเจี๋ย จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยเสียงต่ำออกมา “อ๋องเหลียงถูกหวงไท่โฮ่วส่งออกจากวังไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ อ๋องเหลียงยืนกรานที่จะกลับจวนไป” ทั้งสองคนเมื่อได้ยินคำของพานตาน ก็รีบร้อนพากันออกไป ในตอนที่หงฮวาออกมาเรียกทั้งสองคนนั้น พานตานกลับเอ่ยว่า พวกเขาออกไปแล้ว หงฮวามองไปยังพานตาน แล้วเอ่ยออกมาเสียงเบา “ใต้เท้าพาน เจ้านายของท่านคือฮองเฮา หวังว่าท่านจะจำเอาไว้” พานตานประสานมือเอ่ยออกมา “ขอบใจแม่นางหงฮวาที่เอ่ยเตือน” หงฮวาส่ายศีรษะ หมุนกายแล้วเดินเข้าไป ฮองเฮาเมื่อได้ยินว่ามู่หรงเจี๋ยและจื่ออันออกไปแล้ว ก็ยิ้มเย้ยหยันออกมา “คงไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับข้าแล้วกระมัง? เจ้าออกไปประกาศพระราชเสาวนีย์ของข้า ให้เซี่ยจื่ออันรีบมายังวังจิ้งหนิง” หงฮวารับคำสั่งแล้วหมุนกายออกไป แน่นอ
มู่หรงเจี๋ยกอดนางเอาไว้ เอ่ยถามอย่างเคร่งขรึมออกมา “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” จื่ออันอ้าปากกว้างสูดลมหายใจเข้า และเอ่ยออกมาอย่างสะอื้น “ไม่ดี ไม่ดีเอามาก ๆ เลย” “จะยังมีชีวิตรอดหรือไม่?” เขาถามออกมาอีกครั้ง ขอเพียงแค่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังคงมีความหวัง “ข้าไม่รู้” จื่ออันน้ำตาไหลนอง “ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าจะไม่มีการติดเชื้อ หากว่าเมื่อติดเชื้อเข้า ข้าก็คงจะไม่มียาสามารถรักษาเขาได้” “ทักษะเข็มทองเล่า?” น้ำเสียงของมู่หรงเจี๋ยแหบแห้ง ปลายนิ้วสั่นไหวเล็กน้อย “ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์!” มู่หรงเจี๋ยไม่ส่งเสียงได้ออกมา ทำเพียงแค่กอดนางเอาไว้แน่นอย่างระมัดระวัง และตัวสั่นเล็กน้อยราวกับกอดทั้งหมดที่มีของเขา ซูชิงเซียวท่าและหลิวหลิ่วหลังจากที่รู้เข้าก็เข้ามา เมื่อมองเห็นสถานการณ์ ทุกคนต่างก็รู้สึกแย่เช่นกัน หวงไท่โฮ่วเองก็ส่งคนมาถามสถานการณ์อยู่หลายครั้งแล้ว ตอนอยู่ในวังหลวง หมอหลวงหลีกเลี่ยงบอกว่าไม่สาหัส บอกแต่เพียงว่ามีบาดแผลภายนอกเท่านั้น ทว่าในใจของหวงไท่โฮ่วเองก็รู้ดี บาดเจ็บจนกลายเป็นเช่นนี้ เกรงว่าคงจะอันตรายเป็นอย่างมาก ฮองเฮาไม่ได้ส่งคนมาสอบถาม มีเพียงแค่พานตานที่เข้า
ฮองเฮาเองเมื่อได้ยินว่าเป็นเพราะเรื่องนี้อีกแล้ว ก็โมโหขึ้นมา “เสด็จแม่ หม่อมฉันบอกกับท่านแล้วว่าเขาทำความผิด วันนี้ที่ลงโทษทุบตีถึงหกสิบไม้ขนาดใหญ่ เขาสามารถทนรับมันได้ ไม่มีทางเป็นอะไรขึ้น” “ไม่มีทางเป็นอะไร?” หวงไท่โฮ่วอ้าปากค้าง มองไปยังใบหน้าที่เฉยเมยของฮองเฮา “เขากำลังจะตายแล้ว เจ้ายังบอกว่าเขาไม่มีทางเป็นอะไร? เจ้าเคยเห็นบาดแผลของเขาหรือไม่? ส่วนเอวลงไปถูกทุบตีจนเป็นชิ้น ๆ ซุนกงกงเคยไปดูด้วยตนเอง จื่ออันบอกว่าเกรงว่าคงจะไม่อาจผ่านพ้นคืนวันนี้ไปได้” ฮองเฮาจะเชื่อที่ไหนกัน? คิดเพียงแต่ว่าหวงไท่โฮ่วทรงตรัสออกมาเช่นนี้ เพียงเพื่อต้องการจะหาเรื่องเท่านั้น “หม่อมฉันได้ให้หมอหลวงไปสอบถามมาแล้ว หมอหลวงบอกว่าเป็นเพียงแค่บาดแผลที่ผิวเนื้อ ไม่มีอะไรมาก มากสุดก็แค่กระดูกหักเท่านั้น” หวงไท่โฮ่วได้ยินว่านางยังคงมีท่าทีไม่สนใจอยู่ ก็โมโหเป็นอย่างยิ่ง "โบยด้วยไม้หนามขนาดใหญ่หกสิบไม้ เป็นเพียงแค่บาดแผลภายนอก? เจ้านี่เป็นมารดาที่ดีจริง ๆ ดีมาก มารดาทั่วใต้หล้านี้ จะมากหรือน้อยก็ต้องมีการลำเอียงกัน เจ้าจะลำเอียงเข้าข้างคนที่ไม่ดีคนนั้น ได้ ข้าก็ปิดตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง แล้วชดเชยให้กับเข
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว