ฮองเฮาเองเมื่อได้ยินว่าเป็นเพราะเรื่องนี้อีกแล้ว ก็โมโหขึ้นมา “เสด็จแม่ หม่อมฉันบอกกับท่านแล้วว่าเขาทำความผิด วันนี้ที่ลงโทษทุบตีถึงหกสิบไม้ขนาดใหญ่ เขาสามารถทนรับมันได้ ไม่มีทางเป็นอะไรขึ้น” “ไม่มีทางเป็นอะไร?” หวงไท่โฮ่วอ้าปากค้าง มองไปยังใบหน้าที่เฉยเมยของฮองเฮา “เขากำลังจะตายแล้ว เจ้ายังบอกว่าเขาไม่มีทางเป็นอะไร? เจ้าเคยเห็นบาดแผลของเขาหรือไม่? ส่วนเอวลงไปถูกทุบตีจนเป็นชิ้น ๆ ซุนกงกงเคยไปดูด้วยตนเอง จื่ออันบอกว่าเกรงว่าคงจะไม่อาจผ่านพ้นคืนวันนี้ไปได้” ฮองเฮาจะเชื่อที่ไหนกัน? คิดเพียงแต่ว่าหวงไท่โฮ่วทรงตรัสออกมาเช่นนี้ เพียงเพื่อต้องการจะหาเรื่องเท่านั้น “หม่อมฉันได้ให้หมอหลวงไปสอบถามมาแล้ว หมอหลวงบอกว่าเป็นเพียงแค่บาดแผลที่ผิวเนื้อ ไม่มีอะไรมาก มากสุดก็แค่กระดูกหักเท่านั้น” หวงไท่โฮ่วได้ยินว่านางยังคงมีท่าทีไม่สนใจอยู่ ก็โมโหเป็นอย่างยิ่ง "โบยด้วยไม้หนามขนาดใหญ่หกสิบไม้ เป็นเพียงแค่บาดแผลภายนอก? เจ้านี่เป็นมารดาที่ดีจริง ๆ ดีมาก มารดาทั่วใต้หล้านี้ จะมากหรือน้อยก็ต้องมีการลำเอียงกัน เจ้าจะลำเอียงเข้าข้างคนที่ไม่ดีคนนั้น ได้ ข้าก็ปิดตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง แล้วชดเชยให้กับเข
สวรรค์ หากว่าเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นนางที่ส่งมอบตำแหน่งรัชทายาทให้แก่องค์ชายสามเองหรอกหรือ? “ฮองเฮา เสือร้ายยังไม่กัดกินลูกของตนเอง เจ้าก็ลองคิดทบทวนให้ดีเถิด” เมื่อหวงไท่โฮ่วบรรลุจุดประสงค์แล้ว ก็ลุกขึ้นเดินจากไป มีบางเรื่องราวที่ฮองเฮาไม่เข้าใจ แต่ราชครูเข้าใจดี นางที่เป็นย่า หวังเพียงว่าฮองเฮาที่เป็นมารดานั้น จะไม่ทำความลำบากให้กับลูกชายของตนเองอีก ให้นางได้รู้ว่ารัชทายาทนั้นไร้ประโยชน์ และให้นางได้รู้ว่าบางทีแล้วอ๋องเหลียงอาจจะกลายเป็นที่พึ่งพาของนางได้ บางทีอาจจะลงมือกับเขาอย่างปราณีบ้างก็เป็นได้ และแน่นอนว่า ทุกอย่างนั้น จะต้องให้เขาก้าวผ่านปราการคืนนี้ไปให้ได้ แต่หากเมื่อผ่านคืนนี้ไปแล้ว จะก้าวผ่านพรุ่งนี้ไปได้หรือไม่? ในใจของหวงไท่โฮ่วนั้นรู้สึกย่ำแย่เป็นอย่างมากราวกับถูกเข็มทิ่มแทง ตรัสออกมากับซุนกงกง “ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมไท่หวงไท่โฮ่วถึงได้ไม่ยินดีที่จะกลับมา” ซุนกงกงเองก็เศร้าใจ “ไท่โฮ่วทรงว่าพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะต้องไม่เป็นอะไร” “ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น เด็กคนนี้ทนทุกข์ทรมานมามากแล้ว ไม่ได้ใช้ชีวิตที่ดีสักวัน หากว่าจากไปเช่นนี้ ก็คงจะทำใ
หลังจากที่หวงไท่โฮ่วจากไปแล้ว ฮองเฮาก็คิดทบทวน ก่อนจะให้หงฮวาออกจากวังเพื่อไปดูสถานการณ์ยังจวนอ๋องเหลียง ถึงแม้ว่านางจะไม่เชื่อว่าจะสาหัสดั่งเช่นที่หวงไท่โฮ่วตรัสออกมานั้น ทว่าเมื่อนางบอกออกมาเช่นนี้แล้ว หากว่าไม่มีหลักฐาน ในใจของนางคงจะไม่สงบนัก กลางดึกนั้นอ๋องเหลียงเกิดอาการชักเพราะว่าไข้สูง ถึงแม้ว่าจะไม่ส่งผลร้ายแรง แต่ก็ทำให้ทุกคนตื่นตกใจเป็นอย่างมาก จื่ออันปกป้องเขาอย่างเหนื่อยล้า อย่างที่สุด คอยเอ่ยอยู่ข้างหูเขา “ท่านจะต้องอดทนผ่านไปให้ได้ ครั้งนี้ไม่มีใครช่วยท่านได้ จะต้องอาศัยท่านเอง ท่านไม่อาจทิ้งพวกเราเอาไว้ คิดถึงว่ามีคนมากมายที่เป็นห่วงท่าน คอยอยู่กับท่าน ท่านจะต้องผ่านไปให้ได้” จื่ออันเอ่ยออกไปซ้ำไปซ้ำมา มู่หรงเจี๋ยจึงเอ่ยถามนาง “เอ่ยออกมาเช่นนี้มีประโยชน์หรือ? เขาจะได้ยินอย่างนั้นหรือ?” “เขามีสติ สามารถได้ยิน ตอนนี้เขาจะต้องอาศัยตนเพื่อผ่านพ้นไปให้ได้ ที่พวกเราสามารถทำได้ ก็ล้วนแต่ทำไปแล้ว” จื่ออันเอ่ย จื่ออันส่งเสียงอืมออกมา สีหน้าไม่ดีนัก ตั้งแต่ต้นแล้วที่หมัดไม่อาจจะคลายลงได้ จื่ออันรู้ว่าเขาคิดที่จะทำอะไร ทว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา นางค่อย ๆ คลายนิ้วมือของเข
อี๋เอ๋อร์กระวนกระวายเป็นอย่างมาก ค่อย ๆ เดินตามไปเซียวท่าพวกเขาลงบันไดไปทีละขั้น เมื่อขึ้นรถม้าแล้วก็ถามถึงสถานการณ์ของอ๋องเหลียง “ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” “สาหัสมาก หากว่าไม่ใช่เพราะว่าสถานการณ์สาหัสแล้ว ก็คงจะไม่ตามหาพวกเจ้าทั่วเมืองกลางดึกเช่นนี้” “ข้าไม่รู้การแพทย์” อี๋เอ๋อร์เอ่ย “พระชายาบอกว่า ขอเพียงให้ท่านคอยพูดคุยอยู่ต่อหน้าอ๋องเหลียง ให้เขาได้รับรู้ว่าทุกคนกำลังสนับสนุนเขาอยู่” เซียวท่าเอ่ย อี๋เอ๋อร์พยักหน้า “ต้องสนับสนุนอย่างแน่นอน” นางเงียบงันไปครู่หนึ่ง “เขาเป็นอ๋องเหลียงจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? ก่อนหน้านั้นข้าเคยได้ยินมาก่อนว่า อ๋องเหลียงโหดร้าย ยังทุบตีหญิงสาวอีกด้วย” ซูชิงเอ่ย “ก่อนหน้านั้นก็มีคนเคยบอกกับข้าเช่นกัน หวังอี๋เอ๋อร์ทำการค้าไม่ซื่อตรง แต่ทว่าข้าก็ไม่ได้เชื่อ” อี๋เอ๋อร์ส่งเสียงอ่าห์ออกมา “ใครที่เป็นคนเอ่ย?” “เป็นสหายที่อยู่รอบกายข้า ก่อนหน้านั้นพวกเขาพบเจ้าที่ขายของเล่นอยู่ บอกว่าเจ้าดุร้าย แล้วยังจะไม่ซื่อตรงอีกด้วย” อี๋เอ๋อร์โมโหเข้าให้แล้ว “พวกเขาพูดจาไร้สาระ ข้าทำการค้าอย่างซื่อตรงมาโดยตลอด” ซูชิงเอ่ย “ใช่แล้ว ในตอนที่ข้านำคำเหล่านี้บอกก
นางสูดจมูกเข้า ก่อนจะเอื้อมมือออกไปยีผมของเขา ค่อย ๆ ดึงผมที่ยุ่งเหยิงออกมาทีละน้อย จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปกวาดยังคิ้วและดวงตาของเขา ราวกับว่าต้องการจะแน่ใจว่าเขาคือคนนั้นที่นางรู้จัก “ข้าไม่เป็นอะไร ท่านก็ไม่ควรไปหาองค์รัชทายาท ไปหารัชทายาทมาจนลำบากให้ตนเองต้องถูกทุบตีเข้าอีก โง่จริง ๆ” อี๋เอ๋อร์เอ่ยออกมา เพราะว่าที่แห่งนั้นมีคนอยู่มาก นางจึงดูค่อนข้างไม่เป็นธรรมชาติ น้ำเสียงเองก็ค่อนข้างสั่นไหว นางหยุดลงครู่หนึ่ง หันไปเอ่ยถามจื่ออัน “ข้าจะต้องเอ่ยอะไรบ้าง?” จื่ออันเช็ดตรงหางตา “จะเอ่ยอะไรมาก็ได้ทั้งนั้น” อี๋เอ๋อร์ส่งเสียงรับออกมา หันกลับไป จับมืออ๋องเหลียงเอาไว้ ทว่าก็กลัวจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ สุดท้ายแล้วจึงปล่อยให้มือของเขากดทับลงบนหลังมือของนาง เอ่ยออกมาเสียงเบา “ตอนนี้ข้าไม่ได้ทำการค้าแล้ว ท่านแม่บอกว่าข้าทำเงินไม่ได้ และยังมักจะถูกคนหลอกลวงอีก ก็เลยไม่ทำเสีย ตอนนี้ข้าอยู่บ้านทุกวัน คอยดูแลสี่ตา ช่วงเช้าก็พามันออกไปเดินเล่นครั้งหนึ่ง เที่ยงก็พามันออกไปเดินเล่นอีกครั้ง ตอนค่ำก็ต้องพามันออกไปเดินเล่น ในตอนที่ข้าพาสี่ตาออกไปนั้น ข้าก็คิดถึงท่านขึ้นมา ข้ายังเคยลองไปตามหาท่าน
“สี่ตาเล่า?” อ๋องเหลียงเอ่ยถาม “อยู่กับท่านแม่ ท่านต้องการจะพบมันหรือ? ข้าจะไปนำมันมา” อี๋เอ๋อร์เอ่ย “ไม่ เจ้าอย่าไป!” อี๋เอ๋อร์ปลอบโยน “ตกลง ข้าไม่ไป ข้าจะให้แม่ทับเซียวไปนำสี่ตามา” อันที่จริงแล้ว อ๋องเหลียงไม่ได้ต้องการจะพบกับสี่ตาจริง ๆ ในตอนที่เขากับอี๋เอ๋อร์อยู่ด้วยกัน อี๋เอ๋อร์มักจะบอกว่าจะนำสี่ตาออกมา ในตอนที่อี๋เอ๋อร์ต้องการจะทำการค้านั้น สี่ตามักจะหมอบอยู่ตรงฝ่าเท้าของนาง นาง มักจะชอบเอ่ยถึงเรื่องที่น่าสนใจของสี่ตา เอ่ยออกมาอย่างมีชีวิตชีวา เอ่ยออกมาอย่างยินดี “สี่ตาเชื่อฟังหรือไม่?” อ๋องเหลียงเอ่ยถามพลางหลุบเปลือกตาลง “ไม่เชื่อฟัง ชอบทะเลาะเบาะแว้ง แถมยังตะกละ ชอบขโมยไก่ของป้าข้างบ้านกิน ป้าข้างบ้านมักจะชอบมาเอาเงินจากท่านแม่ ท่านแม่จะบอกว่าสี่ตาไม่ใช่ของบ้านพวกเรา มันมาเอง ให้ป้าข้างบ้านนำไปจัดการเอง ป้าข้างบ้านคิดว่าสี่ตาเป็นสุนัข จึงจูงมันไป ถูกสี่ตาทำให้ตื่นตกใจจนวิ่งหนีไป ภายหลังข้าขโมยเงินของท่านแม่ไปคืนป้าข้างบ้าน ป้าข้างบ้านยังดุด่าข้าอีกด้วย” อ๋องเหลียงยิ้มออกมา แต่ว่าดวงตากลับค่อย ๆ ปิดลง อี๋เอ๋อร์มองยังเขาด้วยความเป็นกังวล จากนั้นก็หันไปถามจื่ออัน “
จักรพรรดิองค์ก่อนนั้นเคยเอ่ยเอาไว้ ภายหน้าซ่งรุ่ยหยางจะต้องเป็นจักรพรรดิที่ดี ทว่าก็อาจจะไม่ใช่นักปกครองที่ดี และก็ไม่ใช่คนที่มีใจทะเยอทะยาน เพราะฉะนั้น เขาถึงได้จะให้จ้วงจ้วงแต่งงานกับซ่งรุ่ยหยาง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น ให้ทั้งสองแคว้นสามารถดำเนินการค้าด้วยกันได้ ซ่งรุ่ยหยางกระทำการต่าง ๆ นั้น เพื่อราษฎรจริง ๆ ทุกวันในต้าเหลียงนั้น เขาไปเยี่ยมเยียนผู้ที่มีความรู้ทุกแห่งหน เพื่อฟังแนวคิดการปกครองแคว้นของพวกเขา คนซื่อตรงเช่นนี้ ไม่เก่งเรื่องกลอุบายใด เพราะฉะนั้นเขาและที่ปรึกษามักจะมีความเห็นที่ไม่ตรงกันอยู่บ่อยครั้ง ทูตกงซุนเยี่ยนนั้นเป็นสหายร่วมเรียนกับรัชทายาทมาก่อน หลังจากนั้นก็คอยติดตามอยู่ข้างกายของเขาอยู่ตลอดเวลา ทว่ากงซุนเยี่ยนนั้นเก่งกาจในเรื่องวางอุบาย และมักจะรับรู้ได้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ เขาคิดว่าตำแหน่งของซุ่งรุ่ยหยางนั้นไม่มั่นคง ถึงได้มักจะเสนอให้เขาเอาชนะเหล่าขุนนาง และคบหากับคนที่มีความสามารถ มีสถานะตามแคว้นที่มีชายแดนติดกันให้มาก ก่อนที่จะมานั้น ซุนกงเยี่ยนยังเกลี้ยกล่อมให้เขาไปมาหาสู่ให้แนบชิดกับรัชทายาทมู่หรงเฉียว และราชครูเหลียง เพรา
“จริงหรือ?” อ๋องหลี่ตกตะลึงไป “เจ้าหลอกข้าใช่หรือไม่?” “ไม่ได้หลอก เลี้ยงไม่ไหวแล้ว มักจะชอบขโมยของกิน ทว่าท่านเองก็คงจะเอามันไปไม่ได้ มันติดข้า ติดอี๋เอ๋อร์” หลิวเย่ว์เอ่ยออกมาตามตรง “ข้าเลี้ยงดูมันได้ หากว่าเจ้ายินยอม ก็สามารถไปอยู่จวนอ๋องได้ จากนั้นข้าจะดูแลเรื่องอยู่กินของพวกเจ้า รอจนเมื่อมันคุ้นเคยกับข้าแล้ว พวกเจ้าค่อยไป” อ๋องหลี่ยินดียิ่งนัก พระชายาอาหมานส่งเสียงกระแอมไอออกมา เหมือนเป็นการเตือนเขา อ๋องหลี่หันกลับไปมองยังนาง เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เป็นอะไรไป?” และแน่นอนว่านางกระแอมออกมาเช่นนี้เพราะไม่พอใจ ทว่าทำไมนางถึงได้ไม่พอใจกัน “หลานชายของท่านยังคงนอนอยู่ไม่รู้ว่าเป็นตายอยู่ในนั้น ท่านยังคิดจะเลี้ยงสุนัข เลี้ยงหมาป่า?” อาหมานเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ไม่มีอะไรขัดข้องกันนี่” อ๋องหลี่เอ่ย อาหมานกลอกตา “ตกลง ท่านมีความสุขก็พอแล้ว” อ๋องหลี่ยังคงไม่สนใจนาง ยังคงเอ่ยถามต่อไป “เพราะอะไรถึงได้เรียกมันว่าสี่ตา?” “เหนือดวงตาทั้งสองข้างมีวงกลมขนสีขาวอยู่ เมื่อมองจากที่ไกล ๆ ก็เหมือนกับสี่ตา ก็เลยเรียกมันว่าสี่ตา” หลิวเย่วเอ่ยออกมาอย่างส่งเดช นางถอนหายใจออกมา เห็นได้ชัดว่า
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว