จริงดังคาด หลังจากถามเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าประตูเมือง พบว่ามู่หรงเจี๋ยจากไปแล้วจริง ๆอ๋องฉีสับสน เขารู้ว่ามู่หรงเจี๋ยไม่ใช่คนที่ได้รับแรงกระตุ้นนิดหน่อยแล้วใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เขามักจะปฏิบัติตนอย่างมีเหตุผลและรอบคอบ คราวนี้จักรพรรดิก็ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างให้เกียรติแล้ว เช่นนั้นพวกเขาจะจากไปด้วยความโกรธได้อย่างไร?หากเขาจากไปเช่นนี้ แล้วสงครามจะยังเกิดขึ้นอยู่หรือไม่?อ๋องฉีทำได้เพียงเข้าไปในพระราชวังและทูลรายงานต่อองค์จักรพรรดิ กระนั้นจักรพรรดิกลับไม่กังวลเลย และยังกล่าวกับฮองเฮาเฉาสองสามคำอย่างสบาย ๆ ก่อนที่จะตอบอ๋องฉี“ไม่ต้องกังวลไป หากเจ้าเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีโรคระบาด ก็จะพบพวกเขาอยู่ที่นั่นเอง”“ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร? พวกเขาไปยังพื้นที่โรคระบาดด้วยตัวเองหรือ?” อ๋องฉีตกใจ“พวกเขาไปขอความช่วยเหลือให้องค์หญิงอันส่งคนไปประกาศต่อสาธารณชนว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อรักษาโรค ทั้งยังบอกอีกว่าข้าจะจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับพวกเขา เห็นแก่ใบหน้าของราชวงศ์เรา ทำให้ข้าจำเป็นต้องรับสมอ้างตามนั้น”ฮองเฮาเฮามองไปที่อ๋องฉี อดไม่ได้ที่จะพูดประชด “อ๋องฉีนะอ๋องฉี เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? ความตั้งใจขอ
ฮองเฮาเฉากล่าว “ทุกคนคิดว่ามู่หรงเจี๋ยคงไม่คิดหลบหนีแน่เมื่อมาถึงเป่ยโม่ ทั้งยังคิดว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะเล่นตุกติก แต่จู่ ๆ เขากลับจากไปทันทีโดยไม่บอกกล่าว บัดนี้ผู้คนโดยทั่วรู้แล้วว่าหมอเทวดาจากต้าโจวมาถึงแล้ว และทุกคนต่างก็ตั้งตารอรอให้หมอเทวดาผู้นี้ไปยังพื้นที่โรคระบาด ฝ่าบาท พระองค์คิดว่าเราควรทำอย่างไร?”ฮองเฮาเฉาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจักรพรรดิจะถอนคำสั่งของเขาก่อน เลื่อนการโจมตีแผ่นดินต้าโจวออกไป สงครามระหว่างประเทศ จลาจลกลางเมือง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และโรคระบาด ล้วนเป็นความโชคร้ายที่เกิดขึ้นในเป่ยโม่ ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนล้วนไม่ใช่คนที่ดำรงตำแหน่งสูง ๆ แต่เป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากส่งทหารไปโจมตีอีกครั้ง ประชาชนอาจก่อจลาจลขึ้นมาจริง ๆอย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิต้องการก่อสงครามโดยเร็วที่สุด ดังนั้นเขาจึงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ฮองเฮามีข้อเสนอแนะอะไรบ้าง?”“หม่อมฉันเพียงคิดว่าฝ่าบาทยังไม่ควรส่งกองทัพไปโจมตีต้าโจว เพราะผู้คนจะกล่าวหาว่าพระองค์เพิกเฉยต่อโรคระบาดและเห็นแก่สงครามเป็นใหญ่”“พูดเร็วเข้า!” ดวงตาของจักรพรรดิเป็นประกายฮอง
แน่นอน เขาไม่เชื่อว่ามู่หรงเจี๋ยจะขโมยดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า เพียงแต่เขารู้สึกโกรธเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะไปยังต้าโจว เขาได้ทำข้อตกลงกับมู่หรงเจี๋ยอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะเพื่อหารือเรื่องการพักรบ แต่ตอนนี้เขาแค่เจออุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น กลับพากลุ่มคนออกไปโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคำลาเขาทำงานอย่างสงบสุขมาตลอดชีวิต งานนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำตั้งแต่แรก เขาต้องทนทุกข์กับความคับข้องใจมากมายเมื่อไปยังต้าโจว แต่ทำไมมู่หรงเจี๋ยถึงไม่ทนทุกข์กับความคับข้องใจบ้างเมื่อเขามาที่เป่ยโม่?ตอนนี้การกระทำที่หุนหันพลันแล่นของเขาทำให้ผู้คนในเป่ยโม่โกรธจัดจากข่าวลือ เช่นนั้นสงครามจะมีอันยุติได้อย่างไร? เกรงว่าจากนี้อาจไม่เหลือสันติภาพระหว่างทั้งสองประเทศอีกแล้วเขาใช้เวลาทั้งชีวิตในการพยายามยุติสงคราม ปรากฏว่าความพยายามทั้งหมดของเขากลับไร้ผลองค์จักรพรรดิส่งทหารกองทัพจักรวรรดิจำนวนมากออกไปตามล่ามู่หรงเจี๋ย เพราะเนื่องจากข่าวเกี่ยวกับดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยแพร่กระจายไปในวงกว้าง ความสนใจของผู้คนจึงไม่ได้อยู่ที่โรคระบาดอีกต่อไปดังนั้นเขาจึงฉวยโอกาสส่งกองทัพจักรวรรดิจำนวนมากออกไป เพื่อทำให้เรื่องนี้กลายเป็
หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหว ถนนที่นำไปสู่หมู่บ้านมู่ไจ้ก็ปกคลุมไปด้วยดินโคลน สะพานจวนพังแหล่มิพังแหล่ หลังจากที่เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์เข้าไปถนนก็ขาด เพื่อให้แก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์จึงอยู่ภายในหมู่บ้านมู่ไจ้ ช่วยทำความสะอาดดินโคลนแล้วซ่อมแซมสะพานและถนนหลวงแผ่นดินไหวครั้งนี้ ทำให้หมู่บ้านมู่ไจ้มีผู้เสียชีวิตถึงสามร้อยราย บาดเจ็บกว่าเก้าร้อยราย เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถอพยพออกไปรักษาตัวได้ ทำให้ผู้บาดเจ็บมากกว่าสองร้อยรายจากเก้าร้อยเสียชีวิตในเวลาต่อมา ในท้ายที่สุดเพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายลงไปอีก เจ้าหน้าที่และทหารไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องอ้อมไปใช้เส้นทางที่ยาวขึ้นเพื่อตามหมอต่อมา พวกเขาเชิญหมอเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว แต่ใครจะคิดว่าหมอจะล้มป่วยในวันที่สามหลังจากเข้ามาในหมู่บ้านหมอท่านนี้ป่วยด้วยโรคระบาดมาจากในเมือง ก่อนเข้ามาที่หมู่บ้านมู่ไจ้ เขาไม่มีอาการใด ๆ แม้แต่ตัวหมอเองก็ไม่รู้เรื่องนี้หลังจากอยู่ในหมู่บ้านมู่ไจ้ได้สามวัน เขาได้ออกไปพบปะและสัมผัสกับผู้บาดเจ็บเกือบทั้งหมด ผู้บาดเจ็บเหล่านี้ไม่ภูมิต้านทานที่เพียงพอ ทำให้ชาวบ้านมากกว่าครึ่งติดเชื้อด้ว
หัวหน้าหมู่บ้านโม่เช็ดเหงื่อแล้วกล่าวว่า “นายท่าน คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากแผ่นดินไหว พวกเขาคือคนที่ป่วยด้วยโรคระบาด”“ผู้ที่ป่วยด้วยโรคระบาดงั้นหรือ? มีโรคระบาดเกิดขึ้นในหมู่บ้านมู่ไจ้ด้วยรึ?” เฉากั๋วจิ่วสะดุ้ง จากนั้นขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ และบังคับให้ม้าก้าวถอยหลัง“ท่านไม่รู้หรอกหรือ? เนื่องจากหมู่บ้านมู่ไจ้มีโรคระบาด องค์จักรพรรดิจึงส่งผู้คนมาที่หมู่บ้านมู่ไจ้เพื่อรักษาผู้คนตั้งแต่สองวันก่อน แม้แต่องค์หญิงอันก็มาด้วยเช่นกัน” หัวหน้าหมู่บ้านโม่กล่าวด้วยความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง“องค์หญิงอันอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?” เฉากั๋วจิ้วรู้สึกประหลาดใจ ปกติแล้วองค์หญิงอันเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว เป็นคนประเภทที่ไม่เคยทิ้งสิ่งใดไว้ข้างหลัง เรื่องใด ๆ ที่ไม่มีประโยชน์นางก็จะไม่ให้ความสนใจ แต่เวลานี้นางกลับมาเยือนพื้นที่โรคระบาดด้วยตัวเองจริงหรือ?นางทำไปเพื่อชื่อเสียงหรือผลประโยชน์อื่น?อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาได้ยินว่าองค์หญิงอันอยู่ที่นี่ จึงต้องลงมาแสดงความเคารพต่อนาง“นำทางข้าไปพบองค์หญิงอัน” เฉากั๋วจิ้วลงจากหลังม้า เหลือบมองพื้นที่ฝั่งตะวันตกด้วยความรังเกียจ แล้วกล่าวว่า “คนที่ป
จื่ออันอยู่ที่นี่มาสองวันแล้ว ใบสั่งยาที่สั่งไว้ล้วนเป็นตัวยาที่หาได้ยากอย่างยิ่ง ขั้นตอนแรกของการรักษาคือจะต้องล้างพิษและต้านเชื้อไวรัสก่อน อย่างไรก็ตาม หมู่บ้านมู่ไจ้มียาสมุนไพรเหลืออยู่ไม่มากนัก จะต้องขึ้นไปเก็บสด ๆ จากบนภูเขาเท่านั้นการค้นหาสมุนไพรทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการปรุงยาไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่หมู่บ้านมู่ไจ้อยู่ที่ตีนเขา ล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสามด้าน และด้านหนึ่งหันหน้าไปทางแม่น้ำ ทำให้เสาะหาสมุนไพรได้เกือบครบดอกเหลี่ยงเคี้ยว หวงฉิน ป่านหลานเกิน ถู่เซี่ยจู เซี่ยคูเฉ่า ยวี๋ซิงเฉ่า ดอกแดนดิไลออน และอย่างอื่นเป็นสมุนไพรที่พบเจอได้ทั่วไป โดยเฉพาะฤดูที่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างฤดูใบไม้ผลิสู่ฤดูร้อน พืชพรรณบนภูเขาจะบานสะพรั่งโตเต็มวัยอย่างไรก็ตาม การหาวัตถุดิบที่ใช้ทำยาฆ่าเชื้อไม่ใช่เรื่องง่ายตัวอย่างเช่น โสม เห็ดหลินจือ หวงฉี ฝูหลิง หวงจิง โท่วซีจี้ และฉื่ออู่เจีย พวกเขาแทบจะไม่สามารถหาโท่วซีจี้ได้เลย สำหรับวัสดุยาอื่น ๆ ยังต้องลงจากภูเขาไปหาซื้อในขณะที่จื่ออันและคนอื่น ๆ ตามหาไม่พบ แต่เกาเฟิ่งเทียนกลับหาได้วันนี้เขาสั่งให้คนออกไปหาซื้อยาเหล่านี้ การซื้อยาในเวลานี้ถ
จุดประสงค์ก็เพื่อปกป้องชามยานี้ ไม่อย่างนั้นจะหลีกเลี่ยงได้อย่างไร?เฉากั๋วจิ้วสะดุ้งและเอ่ยว่า “ฝีมือช่างดีจริง ๆ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงหลีกเลี่ยงฝ่ามือข้า?”เขายกมือขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มอันดุร้าย “มอบพวกมันให้ข้าเถอะ”ทหารกองทัพจักรวรรดิทั้งหมดถูกระดมกำลังเพื่อล้อมโจมตีอย่างแข็งขัน หลิงลี่ถือชามยาไว้มั่นแล้วรีบเข้าไปในพื้นที่อย่างรวดเร็ว โดยหวังว่านำยาไปเก็บก่อน แล้วค่อยจะออกมาจัดการกับคนเหล่านี้แต่แล้วเมื่อนางวิ่งเข้าไป ทหารก็ไล่ตามนางเข้าไปอย่างกระชั้นชิด แล้ววาดขาเตะ ทำให้โต๊ะล้มระเนระนาดลงกับพื้น พอรังพลิกคว่ำแล้วไข่จะยังอยู่รอดได้อย่างไร? โต๊ะล้มคว่ำ ชามยาที่นางปกป้องมาเป็นเวลานานท้ายที่สุดก็ยังตกแตกหลิงลี่โกรธมากจนเส้นเลือดในตาชัดขึ้น นางเงื้อหมัดขึ้นแล้วส่งออกไปเสียงแตกกราวดังขึ้น พร้อมกับทหารกองทัพจักรวรรดิทั้งหมดก็ถูกผลักกระเด็นออกไปหลิวหลิ่วที่อยู่อีกด้านหนึ่งไม่มีความได้เปรียบเท่าหลิงลี่ ทหารสามนายปิดล้อมนาง จนนางไม่สามารถหาทางหนีทีไล่ได้ เกือบยืนหยัดทรงตัวไว้ไม่อยู่ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้ามา ลงจอดต่อหน้าหลิวหลิ่ว ดาบยาวพุ่งออกไปราวกับลมบ้าหมู ภา
รอยยิ้มของเฉากั๋วจิ้วค่อย ๆ จางลง เขามองไปที่องค์หญิงอัน “องค์หญิง แน่ใจหรือว่าพวกท่านมาถึงที่นี่ในช่วงกลางวันของวันที่ห้า?”“เฉากั๋วจิ้ว เจ้าถามเช่นนี้หมายความว่าเจ้ากำลังสงสัยว่าข้าโกหกกระนั้นหรือ?” องค์หญิงอันขมวดคิ้วเฉากั๋วจิ้วโบกมือ "องค์หญิงอย่าเข้าใจข้าผิด ข้าไม่มีเจตนาอื่นใด ทว่าทหารกองทัพจักรวรรดิที่เฝ้าประจำการอยู่ในพระราชวังบอกว่าเขาเห็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งต้าโจวขโมยดาบศักดิ์สิทธิ์ สิ่งนี้ไม่มีทางเป็นเท็จไปได้…”องค์หญิงอันกล่าวด้วยความโกรธ “ระหว่างข้ากับนายทหารคนนั้นต้องมีสักคนที่โกหก หากไม่ใช่ข้า ก็ต้องเป็นนายทหารผู้นั้น ครู่นี้เจ้าบอกว่าสิ่งที่ทหารกองทัพจักรวรรดิพูดไม่เป็นความจริง เช่นนั้นเจ้ากำลังจะบอกว่าข้าโกหกงั้นหรือ?”องค์หญิงอันมักจะวางตัวสบาย ๆ สวมเสื้อผ้าเรียบ ๆ มีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ มองจากภายนอกแล้วเหมือนนางเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อใบหน้าของนางเย็นชา ความสง่างามของสตรีชั้นสูงก็เผยออก รัศมีของนางสามารถข่มขวัญคู่สนทนาได้เฉากั๋วจิ้วแอบบ่นในใจและสับสนเล็กน้อย หรือว่ามู่หรงเจี๋ยจะไม่ได้เป็นผู้ที่ขโมยดาบศักดิ์สิทธิ์ไป?แต่ราชองครักษ์คน
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว