รอยยิ้มของเฉากั๋วจิ้วค่อย ๆ จางลง เขามองไปที่องค์หญิงอัน “องค์หญิง แน่ใจหรือว่าพวกท่านมาถึงที่นี่ในช่วงกลางวันของวันที่ห้า?”“เฉากั๋วจิ้ว เจ้าถามเช่นนี้หมายความว่าเจ้ากำลังสงสัยว่าข้าโกหกกระนั้นหรือ?” องค์หญิงอันขมวดคิ้วเฉากั๋วจิ้วโบกมือ "องค์หญิงอย่าเข้าใจข้าผิด ข้าไม่มีเจตนาอื่นใด ทว่าทหารกองทัพจักรวรรดิที่เฝ้าประจำการอยู่ในพระราชวังบอกว่าเขาเห็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งต้าโจวขโมยดาบศักดิ์สิทธิ์ สิ่งนี้ไม่มีทางเป็นเท็จไปได้…”องค์หญิงอันกล่าวด้วยความโกรธ “ระหว่างข้ากับนายทหารคนนั้นต้องมีสักคนที่โกหก หากไม่ใช่ข้า ก็ต้องเป็นนายทหารผู้นั้น ครู่นี้เจ้าบอกว่าสิ่งที่ทหารกองทัพจักรวรรดิพูดไม่เป็นความจริง เช่นนั้นเจ้ากำลังจะบอกว่าข้าโกหกงั้นหรือ?”องค์หญิงอันมักจะวางตัวสบาย ๆ สวมเสื้อผ้าเรียบ ๆ มีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ มองจากภายนอกแล้วเหมือนนางเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อใบหน้าของนางเย็นชา ความสง่างามของสตรีชั้นสูงก็เผยออก รัศมีของนางสามารถข่มขวัญคู่สนทนาได้เฉากั๋วจิ้วแอบบ่นในใจและสับสนเล็กน้อย หรือว่ามู่หรงเจี๋ยจะไม่ได้เป็นผู้ที่ขโมยดาบศักดิ์สิทธิ์ไป?แต่ราชองครักษ์คน
เจ้านายฉลาดแกมโกง องครักษ์ใต้บังคับบัญชายิ่งกว่านั้นสมแล้วที่เป็นคนของตำหนักองค์หญิงองครักษ์หน้ากากเหล็กไม่รีรอ ร่อนลงมาจากท้องฟ้าและจับกุมตัวเฉากั๋วจิ้วไว้ ใบหน้าของเฉากั๋วจิ้วเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำด้วยความโกรธ เขาจ้องเขม็งมองไปทางองค์หญิงอัน “กระหม่อมพอเข้าใจความคิดขององค์หญิงอยู่หรอก แต่กระหม่อมไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครเอาเปรียบได้ ไว้พบกันอีกครั้งต่อหน้าฮองเฮา”องค์หญิงอันยิ้มอย่างสดใสและกล่าวว่า “แน่นอน ไว้พบกันใหม่”ราวกับพวกเขาเตรียมการไว้แต่แรกอยู่แล้ว องครักษ์หน้ากากเหล็กหยิบกระดานไม้ขนาดใหญ่ออกมา บนกระดานไม้เขียนว่า เฉากั๋วจิ้วใส่ความองค์ชายผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และพระชายาที่เดินทางมารักษาโรคระบาด มีจุดประสงค์เพื่อให้ชาวเป่ยโม่ต่อต้านและเกลียดชังมู่หรงเจี๋ย จากนั้นถ่ายทอดความเศร้าโศกและความเกลียดชังไปยังต้าโจว เพิ่มความชอบธรรมในการส่งกำลังทหารออกไปทำสงคราม ก่อความขัดแย้งระหว่างสองฟากฝั่งทันทีที่เฉากั๋วจิ้วเห็นแผ่นกระดานนี้ก็หัวเราะเยาะ “ไม่มีใครเชื่อแน่ว่าองค์หญิงไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับต้าโจว”“ฆ้องและกลองพร้อมหรือยัง?” องค์หญิงอันเพิกเฉยต่อเขา หันไปถามองครักษ์หน้ากากเห
ทางเลือกแรก คือกล่าวหาว่าองค์หญิงสมรู้ร่วมคิดกับประเทศศัตรู จากนั้นส่งคนไปสังหารพยานในมู่ไจ้ทั้งหมด และยังคงลำเลียงอาหารและหญ้าส่งไปยังชายแดนทางที่สอง คือการเฉากั๋วจิ้วยอมรับว่าตนเป็นผู้ใส่ร้าย และยอมรับทุกสิ่งที่องค์หญิงอันกล่าว จากนั้นมู่หรงเจี๋ยก็จะได้รับเชิญเป็นการส่วนตัวให้รักษาโรคระบาดต่อไป และได้รับการปฏิบัติเหมือนแขกบ้านแขกเมืองของรัฐ พฤติกรรมใด ๆ ที่ใส่ร้ายมู่หรงเจี๋ยจะถือเป็นพฤติกรรมที่ปลุกเร้าอำนาจของจักรวรรดิสำหรับการสูญเสียดาบศักดิ์สิทธิ์ จะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจังโดยกรมราชทัณฑ์ จากนั้นจึงประกาศให้ทั่วหล้าได้รับรู้เพื่อคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับมู่หรงเจี๋ยจากสองตัวเลือกนี้ เขาสามารถเลือกได้เพียงทางที่สองเท่านั้นเพราะเขาต้องการปกปิดข่าวว่าธัญญาหารและหญ้าที่ส่งไปยังบริเวณชายแดนถูกฟ้าผ่า วิธีที่ดีที่สุดคือเบี่ยงเบนความสนใจหมอเทวดาเซี่ยจื่ออันเดินทางมารักษาโรคระบาดในเป่ยโม่ และเริ่มคิดค้นสูตรยาในหมู่บ้านมู่ไจ้แล้ว เรื่องของคนที่ใส่ร้ายผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อย่างมุ่งร้ายก็อยู่ระหว่างการสอบสวน และรอผลการตัดสินยังจะมีอะไรมีพลังในการเบี่ยงเบนความสนใจมากไปกว่านี้อีก
“องค์หญิงช้าก่อน” ฮองเฮาหยุดนางเอาไว้ “องค์หญิงพาน้องชายของข้าเข้ามาในวังมิใช่หรือ? ฝ่าบาทจึงรับสั่งให้ข้าจัดการเรื่องนี้ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก ข้าคงต้องไต่ถามองค์หญิง”แน่นอน!องค์หญิงอันยกริมฝีปากขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มประชดประชัน หรือว่า..เขารู้แล้วว่าหากจัดการเฉากั๋วจิ้ว ฮองเฮาจะต้องโต้แย้งเรื่องนี้ แต่หากปล่อยให้ฮองเฮาจัดการกับเฉากั๋วจิ้วด้วยตนเอง สิ่งต่าง ๆ ก็จะง่ายดายขึ้นแม้ฮองเฮาจะเห็นแก่ตัว แต่นางต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนเองอย่างแน่นอนแม้เขาจะทำความผิดร้ายแรง ทว่าฮองเฮากลับทำให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งเท่านั้น“ข้าจะรู้เรื่องราวทุกอย่าง แต่อาเปิ่งจะเป็นคนตอบเองเพคะ” องค์หญิงอันกล่าวก่อนกลับไปที่หมู่บ้านมู่ไจ้นางไม่จำเป็นต้องรู้ว่าฮองเฮากั๋วจิ้วจะถูกลงโทษอย่างไร เพราะเขาเป็นเพียงเครื่องมือของนางและองค์จักรพรรดิอย่างไรก็ตาม นางไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องมือชิ้นนี้หรอก เพียงแต่ยืมมาใช้เท่านั้นนางจงใจหลอกใช้เฉากั๋วจิ้วเพื่อให้คนอื่นหวาดกลัวตน ทั้งยังประกาศเรื่องที่มู่หรงเจี๋ยและเซี่ยจื่ออันเดินทางมายังเป่ยโม่ เพื่อรักษาโรคระบาดได้อย่างถูกจังหวะอีกด้วยนางอดไม่ได้ที่จะช
องค์หญิงอันชำเลืองมองอีกฝ่าย “การที่ข้าบอกว่าเข้าเป็นปีศาจจิ้งจอก เป็นการยกย่องสติปัญญาของเจ้า เจ้าคิดว่าข้าชมความงามของเจ้างั้นรึ”สิ้นคำ นางก็เผยท่าทีเฉยเมยต่อจื่ออัน แล้วหันไปถามมู่หรงเจี๋ยต่อ “เกิดอะไรกับเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้า? ท่านอย่าบอกนะว่าแม้แต่ลุ่ยกงก็ยังเชื่อฟังคำสั่งท่าน และฟาดสายฟ้าลงมา”มู่หรงเจี๋ยมองจื่ออันพลางตอบด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง ข้าออกคำสั่งกับเล่ยกง ดังนั้นเล่ยกงจึงตัดเสบียงอาหาร และหญ้าเลี้ยงม้าของเป่ยโม่”องค์หญิงอันหัวเราะเยาะ “ท่านกำลังหลอกข้าอยู่หรือ? ข้ารู้ว่าพวกท่านพาคนเหล่านั้นออกมา แต่ท่านทำให้ผู้คนเชื่อได้อย่างไรว่าพืชผลของพวกเขาถูกฟ้าผ่า? หากประชาชนรู้เรื่องนี้ ฝ่าบาทจะต้องเสียสติเป็นแน่”“ข้าไม่รู้เรื่องนั้นจริง ๆ” มู่หรงเจี๋ยส่ายหน้าพร้อมคลี่ยิ้มอย่างสบายใจ การตอบโต้อันนิ่มนวลนี้ทำให้จักรพรรดิเป่ยโม่ตระหนักได้ว่าจุดจบของเป่ยโม่จะเป็นอย่างไร หากทรยศผู้มีพระคุณเขาไม่ได้ตั้งใจทำร้ายทหารของเป่ยโม่ แต่แค่อยากให้พวกเขาอดอาหารเพียงสองวันเท่านั้นพวกเขารอคอยสงครามครั้งนี้มานาน เมื่อได้รับคำสั่งให้โจมตี คนเหล่านั้นจะต้องมีแรงผลักดันที่ไม่อาจหยุดยั้ง
“เพียงเท่านี้รึ ลึกลับยิ่งนัก แต่ข้าจะไม่ถามไปมากกว่านี้หรอก” องค์หญิงอันไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็น ทว่านางอยากรู้ความสัมพันธ์ของคู่นี้เสียจริงองค์หญิงอันหันหลังกลับแล้วเดินจากไป มู่หรงเจี๋ยจึงโผเข้ากอดจื่ออันพลางถาม “เหนื่อยหรือไม่?”สองสามวันที่ผ่านมานางแทบไม่ได้พักผ่อนแม้แต่น้อย เพราะต้องทดลองสูตรยา และสังเกตความคืบหน้าของผู้ป่วย ดังนั้นรอบดวงตาของนางจึงดำคล้ำ“ข้าไม่เหนื่อย ตอนนี้ยังทนได้” จื่ออันถอนหายใจเบา ๆ “ไม่คิดเลยว่าโรคระบาดจะรุนแรง จนเหล่าชาวบ้านจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แล้วเราจะทำสงครามไปเพื่ออะไร? แผ่นดินกว้างใหญ่เพียงใดกัน? มันไม่เกิดประโยชน์กับประชาชนเลยแม้แต่น้อย เป่ยโม่คือประเทศที่แข็งแกร่ง หากกล่าวตามทฤษฎี ในเวลานี้พวกเขาควรสนับสนุนการทำเกษตรและการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง แต่จักรพรรดิกลับทุ่มเทเงินทั้งหมดไปกับการทำสงคราม”“ครั้งนี้เสบียงอาหารและหญ้าป้อนม้าถูกเผาจนวอดแล้ว ดังนั้นพวกเขาจะเคลื่อนไหวช้าลง ทำให้ข้ามีเวลาสำรวจรอบ ๆ สำหรับสงครามครั้งนี้เราจะไม่พ่ายให้เป่ยโม่เด็ดขาด และพวกเราก็ไม่อาจสูญเงินไปกับเรื่องนี้ได้อีกต่อไป”“อืม ข้าก็หวังว่าพวกเราจะสามารถหยุดมันได้ ไ
อ๋องฉีสงวนท่าที “ท่านพี่มู่หรง เฟิ่งเทียนบอกข้าเกี่ยวกับแผนการของท่าน และข้าก็คิดทบทวนแล้ว ความจริงข้าเคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน แต่เนื่องจากท่านเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งราชวงศ์โจว ข้าจึงกังวลเล็กน้อย บางทีข้าอาจจะหลอกตนเองมาตลอดอย่างที่ท่านพูดก็ได้ อีกทั้งข้ายังไม่หนักแน่นพอ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ข้าถูกจูงจมูก ตอนนี้ฉินโจวกำลังจะกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว ข้าไม่สามารถลงมือเพียงลำพังได้ หากพี่มู่หรงมุ่งมั่นที่จะทำเช่นนั้นจริง ๆ ข้าก็จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่”มู่หรงเจี๋ยไม่เชื่อใจอ๋องฉีเหมือนเช่นเคยอีกต่อไป ไม่ใช่เพราะเขาเคยหลอกลวงตนมาก่อน แต่เพียงแค่อีกฝ่ายไม่เด็ดขาดมากพอ อ๋องฉีมีใจมุ่งมั่น ทว่าขาดความกล้าเขารู้แล้วว่าองค์ชายรัชทายาทแห่งเป่ยโม่ยังคงอยู่ในเมืองหลวง แต่สายลับของเขารายงานว่าองค์ชายรัชทายาทแห่งเป่ยโม่เดินออกเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว ดังนั้นมู่หรงเจี๋ยจึงตระหนักได้ว่าองค์รัชทายาทที่ถูกส่งตัวไปยังต้าโจวคือตัวปลอมเขาเลี่ยงที่จะตอบ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อ๋องฉี ข้าขอถามเจ้าว่าคนที่เดินทางไปยังต้าโจวในฐานะเชลยคือใคร?”อ๋องฉีพลันประหลาดใจเมื่ออีกฝ่ายถามเช่นนี้ เขาอึ้ง
“พวกเขากลัวเพราะรู้ว่าองค์จักรพรรดิเป็นหนึ่งในสมาชิกของพรรคจู่จ้านขอรับ” เซียวท่าเปิดเผยความจริง“ฉินโจวกำลังกลับมาที่เมืองหลวง ศัตรูของพวกเราแข็งแกร่งยิ่งนัก หากฉินโจว องค์ชายเจิ้นกั๋ว และฮองเฮาร่วมมือกัน โอกาสชนะของพวกเราก็ริบหรี่ยิ่งนัก ดังนั้นสิ่งที่พวกเราจะต้องลงมือทำตามแผนอย่างลับ ๆ พวกเจ้ากลับไปเก็บสัมภาระให้เรียบร้อย แล้วตามข้าไปที่เชิงเขา ปล่อยให้จื่ออันคิดค้นสูตรยา และอย่าไปรบกวนนางล่ะ เพราะหากเราอยู่ที่นี่ อาจทำให้นางเสียสมาธิได้” มู่หรงเจี๋ยกล่าว“ท่านคิดว่าฉินโจวเป็นอย่างไร ท่านเคยพบเจอนางมาก่อนมิใช่หรือขอรับ?” ซูชิงถามมู่หรงเจี๋ยตอบ “เหตุผลที่นางเจรจาเรื่องสงบศึกกับข้าในครั้งนี้ เป็นเพราะตระกูลฉินได้รับผลกระทบจากโรคระบาด นางเป็นคนรักครอบครัว และเกียรติยศของนางก็เปรียบเสมือนเกียรติยศของวงศ์ตระกูล นางมีบุคลิกที่ไม่เหมือนใคร ข้าไม่มั่นใจเรื่องนี้เท่าไรนัก หรืออาจเป็นเพราะนางใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมานาน จึงไม่มีความอ่อนหวานเหมือนสตรีทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการพูดจา หรือความคิดล้วนแข็งกระด้างทั้งสิ้น โดยรวมแล้วนางคือหญิงเผด็จการคนหนึ่ง”“หญิงทึนทึกนี่เอง” เซียวท่าเหน็บแนมซูชิงห
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว