“พวกเขากลัวเพราะรู้ว่าองค์จักรพรรดิเป็นหนึ่งในสมาชิกของพรรคจู่จ้านขอรับ” เซียวท่าเปิดเผยความจริง“ฉินโจวกำลังกลับมาที่เมืองหลวง ศัตรูของพวกเราแข็งแกร่งยิ่งนัก หากฉินโจว องค์ชายเจิ้นกั๋ว และฮองเฮาร่วมมือกัน โอกาสชนะของพวกเราก็ริบหรี่ยิ่งนัก ดังนั้นสิ่งที่พวกเราจะต้องลงมือทำตามแผนอย่างลับ ๆ พวกเจ้ากลับไปเก็บสัมภาระให้เรียบร้อย แล้วตามข้าไปที่เชิงเขา ปล่อยให้จื่ออันคิดค้นสูตรยา และอย่าไปรบกวนนางล่ะ เพราะหากเราอยู่ที่นี่ อาจทำให้นางเสียสมาธิได้” มู่หรงเจี๋ยกล่าว“ท่านคิดว่าฉินโจวเป็นอย่างไร ท่านเคยพบเจอนางมาก่อนมิใช่หรือขอรับ?” ซูชิงถามมู่หรงเจี๋ยตอบ “เหตุผลที่นางเจรจาเรื่องสงบศึกกับข้าในครั้งนี้ เป็นเพราะตระกูลฉินได้รับผลกระทบจากโรคระบาด นางเป็นคนรักครอบครัว และเกียรติยศของนางก็เปรียบเสมือนเกียรติยศของวงศ์ตระกูล นางมีบุคลิกที่ไม่เหมือนใคร ข้าไม่มั่นใจเรื่องนี้เท่าไรนัก หรืออาจเป็นเพราะนางใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมานาน จึงไม่มีความอ่อนหวานเหมือนสตรีทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการพูดจา หรือความคิดล้วนแข็งกระด้างทั้งสิ้น โดยรวมแล้วนางคือหญิงเผด็จการคนหนึ่ง”“หญิงทึนทึกนี่เอง” เซียวท่าเหน็บแนมซูชิงห
เซียวท่าเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าจื่ออันและหลิงลี่กำลังเดินออกจากห้องปรุงยา เขาจึงกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ท่านและพระชายาร่ำลากันเสียเถิด พวกเราจะกลับไปเก็บสัมภาระแล้วขอรับ”จื่ออันยืนนิ่งก่อนหันไปสั่งการบางอย่างกับหลิงลี่ ก่อนที่นางจะพยักหน้า และเดินถือยาเข้าไปข้างในห้องจื่ออันเดินเข้าไปใกล้ “อ๋องฉีกลับไปแล้วหรือ?”“กลับไปแล้วขอรับ” เซียวท่าตอบ “พวกเราขอตัวกลับไปเก็บสัมภาระก่อนนะขอรับ”สิ้นคำ เขาก็ลากซูชิงออกไปทันที ขณะเดียวกันซูชิงก็งุนงงไม่น้อย “โอ้? ไปที่ไหน? อ้อ ไปกันเถอะ”เซียวท่าสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีแปลกไป “เจ้าเป็นอะไร?”“ข้าไม่เป็นไร มีอะไรรึ?” ซูชิงลากเขาออกไปอย่างรวดเร็วจื่ออันเห็นซูชิงรีบเดินออกไป นางจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ซูชิงเป็นอะไรไป?”“ใครจะรู้เล่า?” มู่หรงเจี๋ยมองแผ่นหลังของซูชิง“ดูเหมือนว่าสองสามวันที่ผ่านมาเด็กคนนี้จะมีอะไรอยู่ในใจ” จื่ออันสังเกตเห็นว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา อีกฝ่ายมีท่าทีเปลี่ยนไป ซึ่งดูแตกต่างจากเมื่อก่อนยิ่งนัก เป็นไปได้หรือไม่ว่าโหรวเหยาสารภาพรักกับเขาอีกครั้ง?อย่างไรก็ตาม โหรวเหยาบอกว่านางจะไม่บีบบังคับเขาไม่สิ นางไม่ควรคิดถึงเรื่องนั้
“ไป เข้าไปข้างในกันเถิด!” องค์ชายเจิ้นกั๋วผายมือ ท่าทีของเขาสง่างามและองอาจ“ที่นี่ไม่เหมาะแก่การพักผ่อน ไปที่เขตตะวันออกกันเถิด” จื่ออันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กล่าวองค์ชายเจิ้นกั๋วจ้องมองใบหน้าจื่ออัน แม้จะกำลังคลี่ยิ้ม แต่สายตาของเขากลับดูเหมือนกำลังประเมินนาง “แม่นางคือ พระชายาของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ใช่หรือไม่?”“ถวายบังคมองค์ชายเพคะ!” จื่ออันรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย“ดี... ดี” องค์ชายเจิ้นกั๋วมองจื่ออันด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างประชดประชัน “พระชายาคือวีรสตรีของหมู่สตรีสินะ”จื่ออันคลี่ยิ้มเล็กน้อย “ฉายา ‘วีรสตรีในหมู่สตรี’ ที่องค์ชายตั้งให้ทำให้หม่อมฉันรู้สึกประหลาดใจยิ่งนักเพคะ”“จริงรึ?” องค์ชายเจิ้นกั๋วจ้องมองนางราวกับต้องการค้นหาบางอย่าง “อาจเป็นเพราะข้าแสดงออกไม่ค่อยเก่ง ข้าชื่นชมพระชายามาตลอด แต่ข้าเคยคิดว่าสตรีมีหน้าที่ทำงานบ้านและปรนนิบัติสามีกับลูก ๆ แต่พระชายา... มีความสามารถมากมายทำให้ข้าประทับใจยิ่งนัก”จื่ออันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์ชายควรตั้งฉายานี้แก่แม่ทัพฉินโจวมากกว่านะเพคะ”“ฉินโจว?” องค์ชายเจิ้นกั๋วชะงักก่อนเผยท่าทีไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “เจ้าคิดว่าความสามารถของตนเทียบ
หลังจากจัดการกับทหารแล้ว องค์ชายเจิ้นกั๋วก็หันกลับมาทักทายมู่หรงเจี๋ยด้วยท่าทางที่เป็นมิตร คำพูดของเขาไม่แสดงออกถึงการวางอำนาจ แต่ทุกคำกล่าวเผยให้เห็นความรู้สึกที่เหนือกว่าหลังจากทักทาย หัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไป เขาถามจื่ออันว่า “พระชายา ท่านพอจะได้เบาะแสเกี่ยวกับโรคระบาดนี้แล้วหรือยัง?”“พอมีบ้างเพคะ” จื่ออันกล่าว“เบาะแสอะไรกัน? แล้วความคืบหน้าเล่าเป็นอย่างไร?” องค์ชายเจิ้นกั๋วมองดูนางแล้วถามจื่ออันรู้ว่าเขาต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับการคิดค้นตำรับยา และผลที่ได้จากการทดลองใช้ตำรับยานั้น แต่นางจะยอมให้เขารู้มากเกินไปได้อย่างไรจื่ออันแสร้งตอบ “สิ่งที่เรารู้ตอนนี้ คือโรคระบาดสามารถแพร่เชื้อติดต่อได้ผ่านทางอากาศ การหายใจ น้ำลาย การสัมผัสกับบาดแผลที่บริเวณผิวหนัง และอาจมีปัจจัยอื่น ๆ อีก”“การหายใจหรือ?” สีหน้าขององค์ชายเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้าหมายถึงผู้ป่วยเหล่านี้สามารถแพร่เชื้อโรคได้เพียงเพราะพวกเขาหายใจงั้นรึ?”“ใช่เพคะ ด้วยเหตุนี้ใต้เท้าซูถึงได้แยกพื้นที่สำหรับให้ชาวบ้านกักตัว” จื่ออันกล่าวองค์ชายเจิ้นกั๋วหัวเราะเยาะ “หากแม้แต่การหายใจยังทำให้ติดโรคได้ ทุกคนไม่ติดเชื้อกันหมดหร
พวกเขาเข้าสู่พื้นที่ระบาดได้สามวันแล้ว อย่างน้อยที่สุดควรคิดค้นตำรับยาได้สักสูตรหนึ่ง หากไม่มี นี่มันต่างอะไรจากการยื้อเวลาเล่นไปวัน ๆจื่ออันยังคงนิ่งเงียบต่อทุกคำกล่าวหาที่องค์ชายเจิ้นกั๋วถาม ท้ายที่สุดนางก็ขอตัวไปติดตามอาการของผู้ป่วยและจากไปหลังจากที่จื่ออันจากไป มู่หรงเจี๋ยก็ถูกทิ้งให้อยู่คุยกับองค์ชายเจิ้นกั๋วตามลำพังบทสนทนาระหว่างองค์ชายต่างแคว้นทั้งสองวนเวียนอยู่กับสงครามยกตัวอย่างเช่นสงครามระหว่างเป่ยโม่กับต้าโจว“องค์ชายผู้สำเร็จราชการ ข้าอยากรู้อยากเห็นมากมาโดยตลอด ต้าโจวของท่านขาดแคลนกำลังทหารอย่างมาก ถึงกระนั้นก็ยังกล้าที่จะยกกองทัพทหารมาบุกสู้รบกับเรา องค์จักรพรรดิของพวกท่านโง่เขลาหรืออย่างไร?”มู่หรงเจี๋ยหมุนแหวนในมือแล้วมองไปที่ซู่ชิง เป็นเชิงบอกว่าเขาไม่สนใจที่จะตอบคำถามนี้ซู่ชิงเยาะเย้ย “องค์ชายเจิ้นกั๋วช่างเป็นคนที่แยบคายจริง ๆ ใช้คำว่า ‘ยกกองทัพทหารมาบุก’ อย่างชาญฉลาด ใครกันแน่ที่เปิดฉากบุกต้าโจวของเรา ใครกันแน่ที่ต้องการรุกรานดินแดนต้าโจวของเราจนเราต้องวางแผนป้องกัน องค์ชายเจิ้นกั๋ว ในสายตาของท่านท่านมองว่ามันเป็นการรุกรานหรอกหรือ? ขอถามหน่อยว่าหากคนสองค
สงครามในสนามรบหยุดลง แต่ทั้งมู่หรงเจี๋ยและองค์ชายเจิ้นกั๋วต่างก็รู้ว่าแนวรบของพวกเขาได้เปิดปะทะอย่างเป็นทางการแล้วนี่คือการต่อสู้ระหว่างฝ่ายสงครามหลักและฝ่ายสันติภาพในเป่ยโม่ เพียงแต่มีองค์ชายเจิ้นกั๋วและมู่หรงเจี๋ยซึ่งเป็นคนนอกเพียงสองคนที่เข้าร่วมเมื่อองค์ชายเจิ้นกั๋วกลับมา เขากล่าวกับเสนาบดีด้วยความโกรธว่า “เจ้ามู่หรงเจี๋ยคนต่างแคว้นนั่นหยิ่งยโสยิ่งนัก แม้เขาจะอยู่ในดินแดนของเป่ยโม่ก็ยังไม่ยอมพูดจาอย่างเกรงใจ คิดหรือว่าข้าไม่กล้าแตะต้องเขาจริง ๆ หากข้าลงมือ เกรงว่าเขาไม่มีแม้แต่ที่จะฝังศพ”เสนาบดีฟางนิ่งเงียบ เขารู้ว่าวันนี้มู่หรงเจี๋ยไม่ได้พูดจาหยิ่งผยองแบบไร้มูลเหตุ ในฐานะเสนาบดีแห่งเป่ยโม่ และผู้นำฝ่ายสงครามหลัก เขาได้ดำเนินการตรวจสอบตัวตนของมู่หรงเจี๋ยโดยธรรมชาติวิธีการของบุคคลนี้ไม่เน้นความเลวทรามและโหดเหี้ยมเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม เขากลับมีความสามารถรอบด้านมาก แม้จะเป็นชายชาติทหารผู้มีศิลปะการต่อสู้ แต่ก็เก่งเรื่องการวางกลยุทธ์และการคิดคำนวณต่าง ๆ แผนการของเขาถูกจัดวางได้อย่างไร้ความรั่วไหลในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในต้าโจว เขาเคยลงโทษขุนนางที่
นี่ถือเป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงมากกาฬโรคสามารถแพร่ผ่านการหายใจได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการแยกผู้ป่วยออกไปอยู่เขตตะวันตกอย่างชัดเจน จื่ออันชื่นชมแนวทางการแก้ปัญหาของใต้เท้าซูมู่มาก หากเขาไม่แบ่งเขตพื้นที่ก่อนหน้านี้ ผู้คนในหมู่บ้านมู่ไจ้มากกว่าครึ่งจะต้องเสียชีวิตกันหมดแน่แน่นอนว่าในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยจะติดเชื้อกาฬโรคทันที ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของบุคคลด้วยอย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วมันก็ยังเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงและอันตรายอย่างยิ่งกาฬโรคเคยแพร่ระบาดไปทั่วโลกถึงสามครั้งใหญ่ ๆ ครั้งแรกเกิดขึ้นในศตวรรษที่หก มีต้นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง ขณะนั้นเกือบทุกประเทศมีผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตถึงหนึ่งร้อยล้านคนครั้งที่สองเกิดขึ้นในศตวรรษที่สิบสี่ก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากไม่น้อยไปกว่าครั้งแรกการระบาดครั้งที่สามเกิดขึ้นที่มณฑลยูนนานประเทศจีน กลางคริสต์ศตวรรษที่สิบเก้า และแพร่ระบาดไปทั่วโลกผ่านทางฮ่องกง ภายในหกปี มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดในกว่าหกสิบประเทศ คราวนี้กาฬโรคกินระยะเวลานาน ทำให้สถิติไม่คงที่สมบูรณ์ ยอดผู้เสียชีวิตที่สะสมจากการระบาดของโรคเป็นเวลาน
นางอาศัยความช่วยเหลือจากกรมฮุ่ยหมิน เนื่องจากกรมฮุ่ยหมินสามารถออกประกาศด้านอนามัยได้ จื่ออันขอให้ใต้เท้าจู้จากกรมฮุ่ยหมินออกคำสั่งให้กำจัดหนูทั่วประเทศ และแจกจ่ายยาเพื่อให้คนทั่วประเทศได้กินยาดังกล่าวไม่ว่าจะป่วยอยู่หรือไม่ก็ตาม ไม่แยกแยะว่าเป็นผู้ป่วยในพื้นที่โรคระบาด หรือพื้นที่ปลอดภัยทว่าใต้เท้าจู้ไม่ให้ความร่วมมือเลย “ท่านล้อเล่นหรือเปล่า? คนป่วยกินยาไม่เป็นไรหรอก แต่ท่านต้องการให้คนที่ยังไม่ป่วยกินยาด้วยหรือ?”“องค์จักรพรรดิขอให้กรมฮุ่ยหมินของเจ้าให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับการรักษาทางการแพทย์ทั้งหมดของข้า นี่เป็นสิ่งแรกที่ข้าต้องการทำ หากเจ้าไม่ทำ เช่นนั้นก็กลับไปที่พระราชวังเพื่อขอถอนตัวเสีย” จื่ออันกล่าวอย่างจริงจังใต้เท้าจู้โกรธมาก “ฝ่าบาทต้องการให้กรมฮุ่ยหมินให้ความร่วมมือกับงานรักษาของพระชายาเท่านั้น ไม่ใช่ทำเรื่องไร้สาระ หากจะขอให้ข้าช่วยออกประกาศ ก็ควรเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมิใช่หรือ? คนไม่ป่วยจะกินยาให้สิ้นเปลืองไปเพื่ออะไร?”“ป้องกันการติดเชื้อ”“หากกินยานี้แล้วจะไม่ติดโรคอย่างนั้นหรือ?”“ไม่เสมอไป แต่มันมีสรรพคุณในการเสริมสร้างภูมิกันแน่”“ไม่ ข้าทำไม่ได้ พระช
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว