หลังจากที่หลิงอวี๋ตื่นขึ้นมาอาบน้ำแล้ว หานเหมยก็นำอาหารเช้ามาให้หลิงอวี๋หยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วคิดได้ว่าตอนนี้ตนอาศัยอยู่ที่เรือนริมวารี จึงถามอย่างสบาย ๆ “ท่านอ๋องไปแต่เช้าแล้วหรือ? เสวยพระกระยาหารเช้าหรือไม่?”หานเหมยยิ้มพลางเอ่ย “เมื่อวานแม่นมลี่สั่งอาหารกับบ่าวไว้แล้วเจ้าค่ะ ดังนั้นทาสจึงไปที่ครัวแล้วยกพระกระยาการเช้ามาให้ท่านอ๋อง พระองค์เสวยเสร็จแล้วจึงเสด็จไปทรงงานเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋พยักหน้าอย่างชื่นชม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “โชคดีที่มีพวกเจ้าคอยดูแลแทนข้า ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสิ้นเลย!”หานเหมยเอ่ยอย่างเอาใจใส่ “พระชายามีงานต้องทำมากมาย เรื่องพวกนี้ควรให้พวกบ่าวคิดแทนแล้วเจ้าค่ะ!”“แม่นมลี่บอกว่าที่เกิดเรื่องขึ้นกับท่านครั้งนี้ องค์ชายเย่กับภรรยาทำเพื่อท่านหลายอย่าง นางเตรียมของกำนัลบางอย่างจะมอบให้ตำหนักองค์ชายเย่เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวท่านไปดูรายการของกำนัลเถิดเจ้าค่ะ หากเหมาะสมแล้วบ่าวจะไปส่งให้เจ้าค่ะ!”“ได้!”หลิงอวี๋รู้ว่าองค์ชายเย่มิน่ากังวล ครั้งนี้ที่สามารถช่วยตนได้ถึงเพียงนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะพระชายาเย่มิว่าของกำนัลจะมีราคาแพงแค่ไหน ก็มิเพียงพอที่จะแทนความขอบคุณของตนต่อพร
เมื่อทั้งสี่คนข้างนอกได้ยินสุ่ยหลิงมาถ่ายทอดคำพูดของหลิงอวี๋ ก็มองหน้ากันไปมาเสวี่ยเจินรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อชื่อของนางถูกเรียก และแทบรอมิไหวที่จะเดินเข้าไปในเรือนริมวารีจื่อผิงดูสงบลงเล็กน้อย แล้วขมวดคิ้วอันบอบบางพลางเอ่ยถามสุ่ยหลิง “เหตุใดพระชายาถึงจะพบแค่เราสองคน! เนี่ยนจือกับน้องเสวี่ยฉินทำอะไรผิดหรือไม่?”สุ่ยหลิงฟังออกถึงเจตนาของจื่อผิงที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง จึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง“พระชายามิชอบความวุ่นวาย พวกท่านทั้งสี่คนเข้าไปพร้อมกันจะไปรบกวนนาง นางมิชอบเจ้าค่ะ!”“เหตุใดกัน อนุชายาจื่อ เจ้ามีข้อโต้แย้งใด ๆ กับการจัดการของพระชายาหรือ? หากเจ้ามิยินยอม ก็เปลี่ยนเป็นเสวี่ยฉินเถิด เจ้าค่อยมาวันอื่น!”เสวี่ยฉินเอ่ยอย่างใจร้อน “เช่นนั้นให้ข้าไปเถิด พี่จื่อผิง เจ้าไปวันอื่นแล้วกัน!”พูดแล้ว เสวี่ยฉินก็ลากเสวี่ยเจินเดินเข้าไปจื่อผิงโกรธจนสีหน้าเปลี่ยนไปเลย นางหันไปจะให้เนี่ยนจือช่วยแทนตนเองเนี่ยนจือยิ้มบาง ๆ “ในเมื่อพระชายามิอยากให้เสียงดัง เช่นนั้นเนี่ยนจือจะกลับมาทำความเคารพพระชายาในวันอื่น!”พูดจบ เนี่ยนจือก็พานางรับใช้ออกไปจื่อผิงฝืนยิ้มให้สุ่ยหลิงแล้วเด
เสี่ยวเยวี่ยกุมหน้าแล้วเอ่ยอย่างคลุมเครือ “คุณหนู นั่นมิใช่ว่าท่านอ๋องอี้กับท่านอ๋องเฉิงช่วยนางไว้หรือ? บ่าวมิเห็นว่านางแข็งแกร่งอะไรเลยเจ้าค่ะ!”เนี่ยนจือยิ้มอย่างครุมเครือ “ความแข็งแกร่งของนางก็คือคนเหล่านี้ที่ช่วยเหลือนางมิใช่หรือ?”“ท่านอ๋องเฉิง ไทเฮา ท่านอ๋องอี้ ไหนจะที่ตำหนักก็มีพวกของจ้าวซวน ลู่หนานอีก...”“แต่ละคนที่ว่ามานี้เมื่อเห็นนางตกอยู่ในอันตรายต่างก็กินมิได้นอนมิหลับ ต้องวิ่งวุ่นไปทั่วทุกที่แล้ว หากข้าผู้เป็นคุณหนูของเจ้าตกอยู่ในอันตราย นอกจากพวกเจ้าทั้งสองแล้วจะมีใครบ้างที่จะมายืนอยู่ตรงหน้าข้า?”“ข้าอิจฉาหลิงอวี๋มาก คนที่เมื่อก่อนเคยลือกันว่าไร้การศึกษาไร้ความสามารถ นางเอาชนะใจคนเหล่านี้ได้เยี่ยงไรในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้?”หลานเฟิงมองเนี่ยนจืออย่างครุ่นคิดแล้วช่วยพยุงเสี่ยวเยวี่ยขึ้นมา “ไปเอาน้ำจากบ่อมาล้างหน้าเสียเถิด! ต่อไปก็เชื่อฟังคุณหนู อย่าสร้างปัญหาให้กับคุณหนูอีก!”ทั้งสองจึงออกไปเนี่ยนจือเดินไปที่หน้าต่าง พิงรั้วแล้วมองออกไปไกล ๆ ที่มองเห็นหลังคาของเรือนริมวารีความรุ่งโรจน์ในอดีตของครอบครัวนางได้จางหายไปนานแล้ว ตอนนี้แม้แต่สกุลของตัวเองนางก็มิคู่ควร
หลิงอวี๋ยกมุมปากยิ้ม “อย่าลืมว่ายังมีคนที่แข็งแกร่งอีกสองคนอยู่ข้างหลัง! จื่อผิงแค่มองปราดเดียวก็ดูแผนการของข้าออกแล้ว! คนผู้นี้มิควรประมาท!”“เนี่ยนจือผู้นั้น มิแก่งแย่งมิก่อความวุ่นวาย… มีภาษิตในหมู่ราษฎรมิใช่หรือ? ที่ว่าสุนัขที่มิเห่าจะกัดอย่างโหดร้ายที่สุด!”“พวกเจ้าจะวางใจมิได้เป็นอันขาด ต้องระวังตัวด้วย!”“เจ้าค่ะ!”สุ่ยหลิงกับหานเหมยต่างก็รับปากเมื่อเห็นว่าทางนี้ไม่มีอะไรแล้ว หลิงอวี๋จึงกลับไปดูที่เรือนบุหงาหลิงเยวี่ยเขียนหนังสือเสร็จแล้วเมื่อออกมาก็เห็นผู้เป็นแม่ เขาจึงวิ่งไปหาแล้วโผกอดหลิงอวี๋ พร้อมกับทำหน้ามุ่ยอย่างเสียใจ“เป็นอะไรไปหรือ? ใครมายั่วยุอะไรเด็กน้อยของแม่?”หลิงอวี๋แกล้งเขาฉีป้าวหัวเราะเบา ๆ พลางเอ่ย “พระชายา เยวี่ยเยวี่ยอยู่ในตำหนักอ๋องอี้แล้วอุดอู้ เขาอยากออกไปเล่น แต่ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องอี้ได้บอกไว้ว่า สองวันนี้เยวี่ยเยวี่ยมิได้รับอนุญาตให้ออกจากตำหนัก!”หลิงอวี๋ได้ยินก็เข้าใจทันที จ่างหนิงของพระชายาเว่ยถูกฆ่า เซียวหลินเทียนกังวลว่าพวกเขาจะลงมือกับหลิงเยวี่ย ดังนั้นจึงมิอนุญาตให้หลิงเยวี่ยออกจากตำหนัก“เยวี่ยเยวี่ยอยากไปไหนหรือ? รอท่านอ๋องเสด็จกลั
และคนที่มีความคิดเช่นเดียวกับองค์ชายเว่ยก็ยังมีองค์ชายคังอีกคนหลายวันมานี้องค์ชายคังเฝ้าดูเซียวหลินเทียนต่อสู้กับองค์ชายเว่ย เมื่อเสือสองตัวต่อสู้กันต้องมีฝ่ายหนึ่งได้รับบาดเจ็บ เขาก็จะรอฉกฉวยผลประโยชน์แต่หลังจากการต่อสู้กันไปมา ทักษะของเซียวหลินเทียนก็ยังคงเหนือกว่าองค์ชายคังรู้สึกเพียงว่า ความกดดันของตนเองนั้นใหญ่มาก เซียวหลินเทียนเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อย ๆ หลี่ว์จงเจ๋อ ฉินซาน ท่านอ่องเฉิงต่างก็ยืนข้างเขา!หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตำแหน่งขององค์รัชทายาทก็จะยิ่งห่างไกลจากตนมากขึ้นเรื่อย ๆ!องค์ชายคังก็อยากจะเอาชนะใจเซี่ยโฮ่วตานรั่วเช่นกัน ดังนั้นในสองวันนี้เขาจึงติดต่อกับองค์ชายหนิงพี่ชายของเซี่ยโฮ่วตานรั่วอยู่บ่อยครั้งองค์ชายหนิงเป็นพระโอรสองค์โตในจักรพรรดิเยี่ยนเป่ย ตำแหน่งขององค์รัชทายาทย่อมต้องเป็นของเขาอยู่แล้ว ขอเพียงองค์ชายหนิงเห็นด้วย ก็สามารถให้เซี่ยโฮ่วตานรั่วแต่งงานกับตนได้แต่องค์ชายหนิงผู้นี้เอาใจยากนัก นอกจากที่ได้พบเขาครั้งหนึ่งในวังวันนั้นแล้ว องค์ชายคังมิเคยเจอองค์ชายหนิงอีกเลยส่งคนไปเชิญเขาอยู่หลายครั้งแต่องค์ชายหนิงก็หาได้มาตามนัดไม่องค์ชายคังโกรธเล็กน้อย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ข่งฮุยก็เอ่ยถามอย่างกังวล “แล้วองค์จักรพรรดิวตรัสว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”องค์ชายคังยังมิตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงเอ่ยอย่างสบาย ๆ “เสด็จพ่อตรัสว่า เรื่องนี้ต้องหารือกับเหล่าคณะขุนนางก่อนจึงจะตัดสินใจได้!”หัวของข่งฮุยรู้สึกว้าวุ่นทันที จากนั้นก็เอ่ยอย่างร้อนใจ “องค์ชาย ท่านเข้าวังไปหาพระชายาเส้าเพื่อสืบดูหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! หากองค์จักรพรรดิตกลงที่จะจัดการแข่งขันทางทหาร เช่นนั้นเราก็จะต้องเร่งรับสมัครผู้มีความสามารถแล้ว!”“ท่านข่ง หมายความว่าอย่างไร? การแข่งขันทางทหารเกี่ยวข้องกับตำแหน่งองค์รัชทายาทหรือ?” องค์ชายคังเอ่ยถามอย่างสงสัยข่งฮุยเห็นว่าองค์ชายคังยังมิได้ตระหนักในเรื่องนี้ จึงเสนอ “องค์ชาย การแข่งขันทางทหารครั้งนี้มิใช่เรื่องเล่น ๆ! องค์ชายหนิงเสนอให้มีการแข่งขันทางทหารในเวลานี้เป็นเจตนาที่มิดีพ่ะย่ะค่ะ!”“ทรงคิดดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ การแข่งขันทางทหารระหว่างสี่แคว้นจะเผยให้เห็นความแข็งแกร่งทางทหารของทั้งสี่แคว้น จากสิ่งนี้องค์ชายหนิงจะมองเห็นได้ชัดเจนว่า แคว้นใดมีความแข็งแกร่งทางทหารมากที่สุด และแคว้นใดควรค่าแก่การเป็นพันธมิตรมากที่สุด!”“สงครามระ
หลิงอวี๋พาหลิงเยวี่ย เถาจื่อและคนอื่น ๆ ไปที่ถนนวันนี้วันที่สิบห้า บนถนนจึงมีคนมากหลายและบรรยากาศก็ครึกครื้นไปทั่วทุกที่หลิงเยวี่ยตื่นตาตื่นใจกับสิ่งต่าง ๆ มากมาย แต่เด็กน้อยกลับรู้ความมาก มิได้รบกวนหลิงอวี๋ให้ซื้ออะไรเหมือนเด็กคนอื่น ๆหลิงอวี๋คิดว่านานแล้วที่พาหลิงเยวี่ยออกมาเช่นนี้ เมื่อมาถึงหน้าแผงขายของ จึงให้หลิงเยวี่ยเลือกของขวัญหลิงเยวี่ยเลือกหุ่นไม้ตัวเล็ก ๆ แล้วเลือกให้พี่น้องฉีเต๋อแต่ละคนด้วยหลิงอวี๋ยิ้มอย่างชื่นชม มีสิ่งดี ๆ ก็มิเคยลืมที่จะแบ่งปันให้กับสหายของตน มิน่าพี่น้องฉีเต๋อถึงเข้ากับเขาเหมือนพี่น้องกันแท้ ๆเถาจื่อไปถามดูว่าคณะการแสดงทำการแสดงที่ใด พวกของหลิงอวี๋จึงยืนรออยู่หน้าแผงขายของบนท้องถนนมีคนต่างแคว้นจำนวนมาก มีการแต่งกายแบบต่างแคว้นกันไปนี่เป็นครั้งแรกที่หลิงเยวี่ยได้เห็นการแต่งตัวของคนต่างแคว้น เขาจึงมองอย่างอยากรู้อยากเห็น“ท่านแม่ การแต่งตัวของพวกเขาแปลกมากเลย!” หลิงเยวี่ยรอให้คนเหล่านั้นออกไปก่อนจะกระซิบฉีป้าวตอบทันที “นั่นคือคนฉีตะวันออก! ได้ยินมาว่าพวกเขากินเนื้อดิบด้วย! ดินแดนป่าเถื่อนมิเรียนรู้อารยธรรม”หลิงอวี๋ยิ้มพลางเอ่ย “แต่ละแห
เมื่อมู่หรงชิ่งได้ยินพี่ชายพูดเช่นนั้นก็เก็บดาบแล้วยิ้ม จากนั้นก็เดินตามมู่หรงเหยียนซงไปทั้งสองคนเป็นองค์ชายกับองค์หญิงที่ตระกูลมู่หรงของเยวี่ยใต้ส่งมาให้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์มู่หรงชิ่งเป็นองค์หญิงสามของตระกูลมู่หรง มู่หรงเหยียนซงเป็นองค์ชายใหญ่ของตระกูลมู่หรง องค์หญิงสามกับองค์ชายใหญ่มีมารดาคนเดียวกัน ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอดมู่หรงชิ่งรู้เหตุรู้ผลและประพฤติตัวดี แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิง แต่นางก็มิได้โอหังวางอำนาจเหมือนกับองค์หญิงหกเซียวทงและเซี่ยโฮ่วตานรั่ว“ท่านพี่ เป็นความสามารถในการรับรู้ที่น่าอัศจรรย์ของท่านพี่หรือไม่ที่ทำให้ท่านพี่รู้ว่านางแตกต่าง?”มู่หรงชิ่งเชื่อในสัญชาตญาณของมู่หรงเหยียนซงมาก มันเป็นสัญชาตญาณที่ช่วยพวกเขาจากอันตรายมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้นตอนนี้นางจึงเชื่อใจพี่ชายโดยไม่มีเงื่อนไข“อืม!” มู่หรงเหยียนซงมิสามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดเขาจึงมีความรู้สึกพิเศษกับหลิงอวี๋เห็นนางแล้วเหมือนกับเจอญาติ รู้สึกสนิทใจมาก!เขามองหลิงอวี๋อยู่ห่าง ๆ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าหญิงงามผู้นี้มีความพิเศษมาก!ความรู้สึกคุ้นเคยนั้นเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆนี่เ
ต่งเฉิงมองหลิงอวี๋พลางพยักหน้ารัว ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับลูบเคราของตัวเองว่า “สาวน้อยนางนี้รู้จักเครื่องยาสมุนไพรมากมายเช่นนี้นับว่าหายาก!”เครื่องยาสมุนไพรเหล่านี้มิใช่สมุนไพรธรรมดาทั้งหมด นอกจากเครื่องยาสมุนไพรที่ใช้ในการกลั่นโอสถระดับต้นแล้ว ยังมีระดับกลางและระดับสูงจำนวนเล็กน้อยอีกด้วยโดยทั่วไป ผู้เข้าสอบที่ตอบได้เจ็ดสิบถึงแปดสิบชนิดก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ทว่าหลิงอวี๋สามารถตอบได้มากกว่าหนึ่งร้อยชนิด ถือว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงเลยทีเดียวเพิ่งเข้ามาก็ทำคะแนนได้ดีถึงเพียงนี้ หากนางได้เรียนอย่างเป็นระบบก็คงแซงหน้าบัณฑิตคนอื่นได้ในมิช้า“ตึง ตึง ตึง!”เมื่อเสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง การสอบแข่งขันของกลุ่มนี้ก็สิ้นสุดลง“หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดคะแนน!”กลองหยุดลงแล้ว และบนใบหน้าของศิษย์พี่หญิงก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นเป็นครั้งแรก นางหยิบป้ายส่งให้หลิงอวี๋พร้อมรอยยิ้ม“การสอบแข่งขันรอบต่อไปจะจัดขึ้นในช่วงบ่าย! ความสามารถในการจำแนกเครื่องยาสมุนไพรของเจ้าดีที่สุดในรอบนี้ ทำให้ดีล่ะ!”“ขอบคุณศิษย์พี่หญิง!”หลิงอวี๋รับป้ายมาด้วยความตื่นเต้น พลางหันไปดูผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ที่กำลังมองนางด้
เป็นไปตามคาด หลิงอวี๋เห็นใบหน้าที่งดงามทว่าโหดร้ายนั้น และนั่นก็คือศัตรูที่นางมิอาจลืมเลือน...จ้าวหรุ่ยหรุ่ย!ชั่วขณะนั้นดวงตาของหลิงอวี๋เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พลางนึกอยากจะรุดเข้าไปฉีกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นชิ้น ๆ เพียงหลับตา นางก็มิอาจควบคุมตนมิให้นึกถึงฉากที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเตะต่อยตนความเจ็บปวดและเลือดสด ๆ อีกทั้งความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียลูกไปทำให้หลิงอวี๋มิอาจลืมความเกลียดชังที่ตนมีต่อจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้เลย!คาดมิถึงว่าศัตรูจะปรากฏตัวต่อหน้าตนเช่นนี้!หลิงอวี๋ตื่นตัวมากจนร่างกายสั่นเทา แต่นางก็ยังสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้นางมิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ย การวู่วามลงมือมีแต่จะเป็นการรนหาที่ตายเท่านั้นหลิงอวี๋สูดหายใจเข้าลึกพลางมองเด็กสาวที่ประกาศสงครามกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเด็กสาวคนนี้ดูอายุราว ๆ สิบหกสิบเจ็ดปี มีรูปร่างสูง ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว และดวงตาแวววาวสดใสผมสีดำสนิทของนางถูกแสกกลางและถักเป็นเปียยาวสองข้างพันไว้รอบมวยผม ข้าง ๆ มวยผมนั้นมีปิ่นมุกปักประดับอยู่สองอันเด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีม่วงควันธูป และเมื่อดูจากเนื้อผ้าแล้ว นางน่าจะเป็นค
ข่าวที่สือหรงนำมาให้เซียวหลินเทียนมิใช่ข่าวดี จ้าวหรุ่ยหรุ่ยยังคงอยู่ในตำหนักเทียนจีและมิได้มาลงทะเบียนด้วยตนเองหากอยากพบกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ย ก็ทำได้แค่ต้องรอจนถึงวันคัดเลือกรอบแรกเท่านั้นแต่เซียวหลินเทียนก็มิย่อท้อ ถึงอย่างไรขอเพียงจ้าวหรุ่ยหรุ่ยปรากฏตัว เขาก็จะไม่มีทางปล่อยนางหนีไปอีกแน่ ให้นางเป็นอิสระอีกสักสองสามวันก็คงมิเป็นไร!ในช่วงวันเวลาที่เหลือ หลายคนเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเช่นเดียวกับหลิงอวี๋ พวกเขาอ่านตำราอย่างหนักและเพิ่มพูนความรู้ที่ขาดไป เพื่อที่จะผ่านการคัดเลือกและได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงทว่าหลิงอวี๋มิรู้เลยว่าศัตรูของตนมาถึงเมืองหลวงแดนเทพแล้ว หลังจากเอาแต่ปิดห้องอ่านตำราเป็นเวลาหลายวันนางก็มาที่สำนักศึกษาชิงหลงที่อยู่นอกเมืองในวันแห่งการคัดเลือก โดยมีผู้รอบรู้เรื่องร่วมเดินทางด้วยหน้าทางเข้าสำนักศึกษาชิงหลงเต็มไปด้วยผู้คนทั้งบุรุษและสตรี ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รวมกันนับพันคนผู้รอบรู้เห็นเช่นนั้นก็ทึ่งจนพูดมิออก และอ้ำอึ้งพูดออกไปว่า “รู้เช่นนี้ข้าน่าจะมาลงทะเบียนเข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงกับเจ้าด้วย เฮ้อ ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว!”หลิงอวี๋ยิ้ม นางรู้ว่าผู้รอบร
“เถาจื่อ หานอวี้ วันพรุ่งพวกเจ้าไปลงทะเบียนเสีย!”เซียวหลินเทียนทำการตัดสินใจและกำชับว่า “ลงทะเบียนในชื่อของน้องสาวข้า!”“เผยอวี้ ฉินซาน พวกเจ้าสองคนก็ไปลงทะเบียนสาขาที่ตนเองชื่นชอบด้วย พวกเจ้าทั้งคู่บอกแค่ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าก็พอ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทุกคนก็หัวเราะอย่างมีความสุข พลางพยักหน้าและจัดลำดับอาวุโสกันให้เซียวหลินเทียนเป็นพี่ใหญ่ของทุกคน เถาจื่อเป็นพี่หญิงใหญ่ หานเหมยเป็นพี่น้องคนที่สาม และหานอวี้เป็นคนที่สี่เซียวหลินเทียนได้บอกจุดประสงค์ของภารกิจให้พวกเขาทราบแล้ว เถาจื่อกับหานอวี้ต้องให้ความสำคัญกับฝั่งของสตรีวันรุ่งขึ้น เถาจื่อและหานอวี้ไปลงทะเบียน และทั้งคู่ก็เลือกวิชาปรุงโอสถเนื่องจากก่อนหน้านี้พวกนางเคยตามหลิงอวี๋ไปจำแนกเครื่องยาสมุนไพรหลายชนิด ในความคิดของพวกนาง การกลั่นโอสถเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการผ่านการประเมินมีชั้นเรียนที่สอนการกลั่นโอสถเพียงสองแห่งเท่านั้น ดังนั้นเถาจื่อและหานอวี้จึงต้องลงทะเบียนเรียนคนละชั้นเรียนและเถาจื่อก็ได้ลงทะเบียนเรียนชั้นเรียนของหอโอสถซ่างกู่เซียวหลินเทียน เผยอวี้และคนอื่น ๆ ก็ไปลงทะเบียนด้วยเซียวหลินเทียนลงทะ
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห