“รู้สึกดีจริง ๆ ที่ยืนได้!”เซียวหลินเทียนยิ้มให้หลิงอวี๋พลางเอ่ย "เมื่อก่อนข้านั่งอยู่บนรถเข็น เวลาอยากจะตีใครก็มิค่อยสะดวก! ตอนนี้มิต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว..."หลิงอวี๋หัวเราะ แต่ไม่มีเวลาที่จะยกย่องเซียวหลินเทียน นางจับชีพจรของแม่นางหยางอย่างตั้งใจ พลางเขียนตำรับยา“หลิงซวน ไปเอายานี้ที่ร้านยา! เตรียมยาสามชามให้เป็นชามเดียวแล้วนำมา!”หลิงซวนรีบรับตำรับยาแล้วออกไปส่งให้เถาจื่อหมอเฝิงยืนอยู่ตรงลานอย่างมิพอใจ เขาถูกเซียวหลินเทียนโยนออกมาทำให้รู้สึกอับอายมาก ๆ เขามิกล้าดุด่าเซียวหลินเทียนทำได้เพียงแค่รอให้หลิงอวี๋ออกมาแล้วตำหนิหลิงอวี๋หมอหานจากโรงไป๋เฉ่ากับหมอเฉินจากโรงหุยชุนยืนเงียบ ๆ อยู่ที่หน้าประตู พลางมองหลิงอวี๋รักษาแม่นางหยางเมื่อเห็นเข็มฉีดยาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในมือของหลิงอวี๋ ดวงตาของหมอเฉินกะพริบเล็กน้อยส่วนหมอหานดูงุนงง พลางครุ่นคิด...ช่วงเวลาหนึ่งก้านธูปหลังจากที่ฉีดยาเข้าไป ท้องของแม่นางหยางก็ไม่เจ็บแล้ว เลือดก็หยุดไหลแล้วด้วยนางยังคงมองหลิงอวี๋ด้วยความตื่นตระหนกพลางเอ่ยถาม “พระชายาอ๋องอี้ ลูกของข้าเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?”“ตอนนี้เด็กไม่เป็นอะไร! เจ้าฟังข้าให้
หมอเฝิงตกใจกับความโกรธอย่างกะทันหันของเซียวหลินเทียน เสียงของเขาจึงเบาลงเล็กน้อยแต่ก็ยังยืนกรานแก้ต่างอยู่“ท่านอ๋องอี้ เราพูดกันแบบมีเหตุผลเถิดพ่ะย่ะค่ะ… พวกหมอหานต่างก็เห็นว่าก่อนหน้านี้ผู้ป่วยของกระหม่อมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ตอนนี้กลับแย่ลง นี่ต้องมีคนเล่นมิซื่อเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!”“ท่านจะเห็นแก่นางเพียงเพราะว่านางเป็นพระชายาของท่านมิได้พ่ะย่ะค่ะ!”“พระชายาอ๋องอี้ดูแลหออักษรนี้อยู่ นางอยากจะทำการใดก็ง่ายนัก! ท่านให้พระชายาอ๋องอี้แสดงหลักฐานมาพิสูจน์ว่านางมิได้ทำ แล้วเราก็จะเชื่อนางพ่ะย่ะค่ะ!”“มิเช่นนั้น… เรามิยอมรับ!”หมอเฝิงดึงพวกหมอหานเข้ามาในฝั่งของตนอย่างชาญฉลาดหลิงอวี๋โกรธ จากนั้นก็ยิ้มพลางเอ่ย “เดิมทีแล้วผู้ใดอ้างหลักฐานผู้นั้นต้องเป็นคนหาหลักฐาน! ท่านบอกว่าข้าเล่นมิซื่อ ท่านก็ต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์สิ!”“แต่หมอเฝิง มิใช่ว่าข้าดูถูกท่านหรือไร แต่จนถึงตอนนี้ท่านยังมิรู้ว่าตนเองผิดที่ใด หากให้ท่านไปหาหลักฐานมันคงจะยากเกินไปสำหรับท่าน!”“ข้าจะหาหลักฐานมาพิสูจน์ให้ท่านเห็นเองแล้วกัน!”หลิงอวี๋พูดขณะที่หยิบตำรับยาหมอเฝิงออกมา พลางเอ่ยกับพวกหมอหาน“เมื่อวานตอนที่ข้าคุยกั
หมอหลี่จากเขตหลินก็กลัวว่าตำรับยาของหมอเฝิงจะไม่ถูกและตนจะเข้าไปพัวพันด้วย จึงช่วยเอ่ย“หมอเฉินพูดถูก โรคระบาดมันอันตรายถึงเพียงนี้ หมอเฝิงจะมาจัดการกับโรคระบาดโดยมิคำนึงถึงความปลอดภัยส่วนบุคคลได้เยี่ยงไร ถึงไม่มีความดีความชอบก็ยังมีความดีที่ทำงานหนัก! ท่านอ๋องอี้ พระชายาอ๋องอี้ โปรดไว้ชีวิตเขาในครั้งนี้ด้วยเถิด!”หมอหานพยักหน้าเล็กน้อย พลางเอ่ยอย่างเห็นด้วย “พระชายาอ๋องอี้ ท่านมีทักษะการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม หมอเฝิงมิได้เก่งเท่าท่าน ก็ให้เขาเรียนได้เรียนรู้อย่างดีไปด้วยเถิด!”หมอเฝิงคุกเข่าลงทันทีพลางร้องขอความเมตตา“พระชายาอ๋องอี้ ทักษะการแพทย์ของท่านยอดเยี่ยมมาก! ข้าเข้าใจท่านผิดไปแล้ว!”“ข้าขออภัย พระชายาอ๋องอี้โปรดจำไว้ว่า ข้าก็ใส่ใจผู้ป่วยเช่นกัน อย่าเอาความข้าเลย!”“และพระชายาอ๋องอี้โปรดคิดตำรับยาที่ได้ผล พวกเราจะทำงานเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อกำจัดโรคระบาดโดยเร็วที่สุด!”เซียวหลินเทียนมองหมอเฝิงอย่างเย็นชา ชายผู้นี้สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้เยี่ยมมากเขามองไปที่หลิงอวี๋ที่ส่ายหัวให้เขา“ท่านอ๋อง พวกเขาพูดถูก เวลานี้ต้องใช้กำลังคน ในเมื่อหมอเฝิงรู้ข้อผิดพลาดของตนเองแล้ว
หลิงอวี๋รีบไปตรวจดูแล้วพบว่าเขามีตุ่มน้ำแผลพุพองที่คอด้วยหลิงอวี๋ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด หลี่เฉียงผู้นี้ นางบอกให้เขามาหานางทันทีที่รู้สึกไม่สบาย แต่เขากลับไม่ฟังและยืนกรานจนทำให้อาการป่วยแย่ลงคนเช่นนี้มิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตาจริง ๆ!แม้ว่านางจะโกรธ แต่ก็ยังให้หลู่ชิ่งนำยามาป้อนเขาอยู่ดีหลี่เฉียงเพิ่งป่วยวันนี้ บางทีตำรับยาของตนอาจได้ผลกับเขาด้านนอก หมอเฉินจากโรงหุยชุนกำลังปรึกษาเรื่องตำรับยากับหมอหานและหมอเฝิง จู่ ๆ ลูกศิษย์ของหมอเฉินก็เข้ามาพร้อมซองยา พลางลากหมอเฉินไปด้านข้างลูกศิษย์กระซิบอะไรบางอย่าง แล้วจู่ ๆ คำว่ายาปลอมก็เข้ามาในหูของหมอเฝิง ใจของเขาก็สั่นทันที พลางตะโกน “หมอเฉิน เขาบอกอะไรกับเจ้า?”“เหตุใดข้าได้ยินว่ามียาปลอม… หรือเครื่องยาสมุนไพรจะเป็นของปลอมหรือ?”หมอเฝิงพูดแล้วเดินเข้ามา จากนั้นก็ยื่นมือออกไปแย่งยาจากมือลูกศิษย์เขาพอหมอเฉินเห็นเช่นนี้ ก็รีบเอื้อมมือออกไปแย่ง พลางเอ่ยอย่างปิดบัง “หมอเฝิง เจ้าได้ยินผิดแล้ว มิได้เป็นเช่นนั้น!”หมอเฝิงมีหรือจะปล่อยให้เขาแย่งกลับไป เขาหลบหลีกมือนั้นแล้วเปิดห่อยาในมือเพื่อตรวจสอบแล้วก็ได้เห็นว่าพวกยาในนั้นเป็นของปลอมทั
หลังจากที่เผยอวี้ส่งเครื่องยาสมุนไพรถึงที่แล้ว เขาก็ร่วมมือกับฉินซานและหลี่ว์จงเจ๋อในงานป้องกันโรคระบาด พาทหารไปฆ่าเชื้อตามบ้านเรือนหมอเฝิงถามทหารจนรู้ว่าเผยอวี้อยู่ที่ใดแล้วลากหมอหานออกไป เมื่อเห็นเผยอวี้ก็ดึงเขาไปข้าง ๆเผยอวี้ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “หมอเฝิงมิได้รักษาผู้ป่วยอยู่ในหออักษรหรือ มาทำกระไรที่นี่กัน!”“แม่ทัพเผย เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว! หากเรามิมาตามหาท่าน จะให้รอจนเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่แล้วถูกตัดหัวหรือ?”เมื่อเห็นฉินซานกับหลี่ว์จงเจ๋อ หมอเฝิงก็จงใจเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น ทำให้ทั้งคู่หันกลับมามองและเดินเข้ามา“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”ฉินซานรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัย ได้ยินเข้าก็ตกใจมาก คิดว่าตนประมาทจนทำผิดพลาดใหญ่โต“พวกเครื่องยาสมุนไพรนี้เป็นของปลอม…”หมอเฝิงเอาห่อยาให้พวกเขาดูแล้วแสร้งทำทีลำบากใจ พลางเอ่ยอย่างกังวล“ท่านแม่ทัพทั้งสาม นี่มิใช่เรื่องใหญ่หรือ? เรามากำจัดโรคระบาด หากยานี้ปลอม จะรักษาโรคได้หรือ?”“โดยเฉพาะแม่ทัพเผย! ท่านเป็นผู้ขนส่งเครื่องยาสมุนไพร หากเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ท่านจะเป็นคนแรกที่ถูกลงโทษ!”เผยอวี้ได้ยินแล้วตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เหงื่อเย็น ๆ ไหล
ในเวลานี้เซียวหลินเทียนกับฉินซานเพิ่งเข้ามา เมื่อเห็นเผยอวี้ชี้หน้าด่าหลิงอวี๋ด้วยความโกรธ ทั้งสองก็ขมวดคิ้วทันที“ท่านอ๋องอี้เสด็จแล้ว!”องครักษ์คนหนึ่งตะโกนขึ้นมาเมื่อเผยอวี้เห็นก็ตะโกนด้วยความโกรธ “อาเทียน พระชายาเช่นนี้ข้าว่ามิต้องมีก็ได้กระมัง สร้างปัญหาใหญ่ให้เจ้าเช่นนี้ ข้าสนับสนุนให้เจ้าหย่ากับนางทันที!”เมื่อหลิงหว่านได้ยินเข้าก็มิรอให้หลิงอวี๋เอ่ยปากแล้ว นางด่าเผยอวี้อย่างโกรธเกรี้ยวทันที“ท่านคิดว่าท่านเป็นใคร? การแต่งงานระหว่างท่านพี่ของข้ากับท่านอ๋องอี้ได้รับพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ ท่านอ๋องอี้จะหย่าก็หย่าได้เลยเยี่ยงนั้นรึ?”“ท่านมากล่าวหาท่านพี่ข้าโดยมิพูดเรื่องราวให้ชัดเจน! หรือปกติแล้วท่านจัดการกับเรื่องของทางการเช่นนี้?”“เสียดายที่หัวของท่านใหญ่โตถึงเพียงนั้น แต่มิได้ใส่อะไรลงไปในนั้นเลยหรือ?”เผยอวี้ตะลึงกับสิ่งที่หลิงหว่านพูด จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าหลิงหว่านกำลังด่าว่าตนโง่เขลาเขาโกรธจนตัวสั่น พลางตะคอกใส่หลิงหว่านด้วยความโกรธ“หลักฐานเป็นที่แน่ชัดแล้ว มันไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะพูดแทนนาง! ออกไปเสียสาวน้อย เรากำลังพูดเรื่องจริงจังกันอยู่ ไม่มีเวลามาพูดเรื
เซียวหลินเทียนมองเผยอวี้พลางเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เจ้าควรตรวจสอบเครื่องยาสมุนไพรให้ดีก่อนทำการขนส่ง แต่เจ้ากลับหละหลวม จนนำมาสู่ความผิดพลาดครั้งใหญ่เช่นนี้!”“ความผิดของเจ้าไม่อาจให้อภัยได้ ตามวินัยทหารจะถูกลงโทษด้วยการโบยห้าสิบไม้! เจ้าต้องยอมรับมัน!”เผยอวี้เอ่ยเสียงดังฟังชัด “กระหม่อมยอมรับอย่างเต็มใจพ่ะย่ะค่ะ!”ครั้งนี้ตนประมาทเลินเล่อจริง ๆ แม้ว่าเซียวหลินเทียนจะฆ่าเขาเพราะความประมาทนี้ เผยอวี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับมันเมื่อฉินซานเห็นดังนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ย”ท่านอ๋องอี้ กระหม่อมของความเมตตาแก่แม่ทัพเผย ให้โบยครึ่งหนึ่งก่อน รอโรคระบาดถูกกำจัดสิ้นแล้วค่อยทำโทษต่ออีกครึ่ง!”“เรื่องสำคัญเร่งด่วนนัก ทั้งยังต้องคิดหาทางรีบเติมเครื่องยาสมุนไพรอีก ให้แม่ทัพเผยรับผิดชอบงานนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ! เชื่อว่าแม่ทัพเผยจะมิทำพลาดอีกแน่นอน!”หมอเฝิงเอ่ยอย่างกังวล “โบยครึ่งหนึ่งมันก็ได้หรอก แต่จะจัดการผู้กระทำผิดเยี่ยงไรเล่า?”“ท่านอ๋องอี้ ท่านจะปล่อยให้แม่ทัพเผยรับผิดแทนพระชายาอ๋องอี้มิได้พ่ะย่ะค่ะ! หากท่านจัดการเช่นนี้ พวกเรากับแม่ทัพเผยไม่มีทางยอมรับได้!”เซียวหลินเทียนยิ้มอย
“ท่านอ๋อง กระหม่อมยอมรับการลงโทษพ่ะย่ะค่ะ!”เผยอวี้ตบตนเองไปหลายครั้ง หากเขาตรวจสอบอย่างรอบคอบก่อนออกเดินทาง ก็คงไม่ทำผิดพลาดใหญ่หลวงเช่นนี้!ตอนนี้เครื่องยาสมุนไพรเป็นของปลอม เช่นนั้นหลิงอวี๋จะช่วยผู้คนได้เยี่ยงไรกัน?เซียวหลินเทียนเชื่อในตัวเขาถึงได้ให้เขาขนส่งเครื่องยาสมุนไพร แต่เขากลับทำให้เซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ถูกคุกคามเช่นนี้… เขาสมควรตายจริง ๆ!“ทำตามที่แม่ทัพฉินพูด โบยครึ่งหนึ่งก่อนเพื่อให้เจ้าจำบทเรียนนี้ไว้! อีกครึ่งหลังรอให้เรื่องคลี่คลายไปก่อนแล้วค่อยโบย!”เซียวหลินเทียนเอ่ยอย่างไม่แสดงสีหน้า "ใครก็ได้ เอาไม้มา!"องครักษ์สองคนก้าวไปข้างหน้า เผยอวี้ถอดชุดเกราะของตนออกแล้วนอนลงบนพื้นอย่างมีสติเพื่อรับการโบยไม้กระทบกับร่างกายของเผยอวี้อย่างต่อเนื่อง ทำเอาหลิงหว่านเห็นแล้วรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย ความโกรธต่อเผยอวี้ที่กล่าวหาหลิงอวี๋ส่งเดชจางหายไปเล็กน้อย พลางมองด้วยความกลัวหลิงหว่านเห็นเผยอวี้กัดฟันทนรับโทษโดยไม่หือไม่อือก็แอบชื่นชมเขาในใจ แม้ว่าเผยอวี้ผู้นี้จะดูน่ารังเกียจในบางครั้ง แต่ด้านที่แข็งแกร่งก็สมควรได้รับการยกย่อง!ท่านปู่บอกว่าผู้ชายหลั่งเลือดได้แต่หลั่งน้ำ
เช่นนี้ก็แสดงว่า เฉียวไป๋เองก็รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าคนที่ช่วยเขาไว้คือศัตรูของเขา?หลิงอวี๋แอบดีใจที่ตนเปลี่ยนรูปลักษณ์อีกครั้ง หลังจากที่หนีออกมาจากเงื้อมมือของเก๋อฮุ่ยหนิง มิเช่นนั้นหากใช้ใบหน้าก่อนหน้านี้ ก็คงจะถูกเก๋อฮุ่ยหนิงสังหารไปแล้วใช่หรือไม่?ดูท่าทางต่อไปตนจะมิสามารถใช้มีดผ่าตัดรักษาคนได้อีกต่อไปแล้ว!หลิงอวี๋ค้นพบแล้วว่า ที่เมืองหลวงแดนเทพนั้นล้วนเป็นหมอโอสถที่รักษาโรค มิว่าจะเป็นโรคอะไร หมอโอสถก็ล้วนใช้เพียงโอสถในการรักษาโรคเท่านั้นส่วนการผ่าตัดนั้น ในตอนนี้กลายเป็นวิธีการรักษาเฉพาะตัวของนางไปแล้วประเดี๋ยวก่อน จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของหลิงอวี๋ตนเป็นคนที่รักษาดวงตาของฮูหยินเว่ยจนหาย ตอนนั้นมีหมอจำนวนมากบอกว่าดวงตาของฮูหยินเว่ยมิสามารถรักษาได้แล้ว หากพวกนางเองก็ได้เห็นหมายจับค่าหัวด้วย พวกนางจะไปเปิดโปงตนให้กับตระกูลเฉียวหรือไม่?ตั้งแต่ที่ตนลงมาจากเรือของตระกูลเว่ย ก็ทำเพียงเปลี่ยนกลับเป็นชุดสตรี แต่มิได้เปลี่ยนการแปลงโฉม!ยิ่งไปกว่านั้น ผู้รอบรู้ก็มิได้แปลงโฉมด้วย เช่นนั้นขอเพียงติดตามเบาะแสเหล่านี้มา การจะตามหาตนก็มิใช่เรื่องยากแล้ว!หากต้องการให้ตนป
ขณะที่ก้าวเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ ทีละก้าว หลิงอวี๋ก็มองพิจารณาฮูหยินทั้งสองของตระกูลเฉียวไปอย่างเงียบ ๆฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเฉียวเป็นเสาหลักของตระกูลเฉียว เฉียวต้าลูกชายของนางซึ่งเป็นผู้นำตระกูลเฉียวตายไปแล้ว และเฉียวเค่อหลานชายที่เป็นที่รักมาโดยตลอดก็ตายไปแล้วเช่นกันฮูหยินผู้เฒ่าที่อายุหกสิบกว่าผู้นี้แก่ตัวลงมากภายในชั่วข้ามคืน และในช่วงนี้ก็นอนซมอยู่บนเตียงอยู่ตลอด นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่นางออกจากบ้านตั้งแต่ที่ลูกชายตายไปนางแต่งตัวเรียบหรูสุภาพเช่นเดียวกับฮูหยินเฉียว และเนื่องจากนางกินโอสถชะลอวัยมาหลายปี ดังนั้นแม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉียวจะอายุหกสิบแล้ว แต่บนใบหน้าของนางก็ไม่มีริ้วรอยแม้แต่น้อย ดูแล้วคล้ายกับเป็นพี่น้องกับฮูหยินเฉียวเลยทีเดียวผมของนางก็เป็นสีดำสนิททั้งหมดเช่นกัน เพียงแต่เป็นเพราะอาการป่วย จึงทำให้สีผิวดูขาวซีดไปเล็กน้อยรูปร่างของฮูหยินเฉียวสูงใหญ่กว่าสตรีทั่วไป นางสูงเกือบหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร กระดูกก็ใหญ่เช่นกัน ดูมีความสามารถมาก และระหว่างคิ้วกับตาของนางนั้นก็ล้วนเป็นความมุ่งมั่นตัดสินใจอย่างเด็ดขาด“ฮูหยินผู้เฒ่าเฉียว ฮูหยินเฉียว...”จงเจิ้งเฟยพาเหลยเหวินกั
น่าสนใจ!เซียวหลินเทียนเห็นกระบวนการทั้งหมดนั้น แล้วก็รู้สึกว่าการมาเข้าร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาที่น่าเบื่อในวันนี้ ก็มิได้น่าเบื่อถึงเพียงนั้นแล้วเขาหันไปหาเถาจื่อแล้วเอ่ยออกไป “ศิษย์พี่หญิงของเจ้าผู้นี้น่าสนใจมาก เจ้าจงเข้าใกล้นางเข้าไว้!”เถาจื่อดูท่าทีสับสน “นายท่านอู่ ท่านแน่ใจว่านางมิใช่คุณหนูมิใช่หรือเจ้าคะ? เหตุใดจึงต้องเสียเวลาไปกับนางด้วยเจ้าคะ?”เซียวหลินเทียนส่ายหัว “ไม่ ข้ามิอาจแน่ใจได้หรอก! คุณหนูของพวกเจ้าฉลาดถึงเพียงนั้น หากนางตั้งใจจะซ่อนตัวขึ้นมาจริง ๆ ก็มีวิธีมากมายนัก!”“ข่าวล่าสุดที่สือหรงส่งมาก็คือ คุณหนูของพวกเจ้าติดตามฮูหยินเว่ยมาที่เมืองหลวงแดนเทพ ขอเพียงนางอยู่ในสังคมเมืองหลวงแดนเทพนี้ นางจะต้องมาศึกษาที่สำนักศึกษาชิงหลงอย่างแน่นอน!”“สิ่งที่พวกเราต้องให้ความสำคัญก็คือสตรีที่โดดเด่นเหล่านี้ เราจะต้องตรวจสอบพวกนางทีละคน จนกว่าจะพบคุณหนูของเจ้า!”เซียวหลินเทียนเชื่อว่า ด้วยความฉลาดของหลิงอวี๋แล้ว นางไม่มีทางเป็นคนธรรมดาอย่างแน่นอน ขอเพียงคอยจับตามองสตรีที่โดดเด่นเหล่านี้เข้าไว้ เขาจะต้องหาหลิงอวี๋พบได้อย่างแน่นอน“ฉินซาน เจ้ากลับไปบอกให้สือหรงสืบประวัติของส
หลิวซานและเหล่าบัณฑิตของหอโอสถไป๋เป่าเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็พากันตำหนิหลิงอวี๋หลิวซานเป็นผู้นำดุด่าขึ้นมา “ใช่แล้ว ตนเองสร้างปัญหาไปทั่ว เมื่อถูกคนมาทำลายบ้านยังจะมาใส่ร้ายศิษย์พี่ของพวกเราอีก คงมิใช่ว่าเจ้ายากจนไม่มีเงิน จึงคิดจะขู่กรรโชกเงินจำนวนหนึ่งไปสร้างบ้านใหม่ใช่หรือไม่!”บัณฑิตคนหนึ่งก็เอ่ยออกมาอย่างดูถูกเช่นกัน “ดูจากอาภรณ์ที่นางใส่แล้ว ก็คงมิได้อยู่อาศัยในที่ที่ดีนักหรอก คงจะไปทำให้ใครขุ่นเคืองเข้าจึงถูกทุบน่ะสิ!”“ใช่แล้ว ที่อยู่ของพวกเรามีความปลอดภัยดี ไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแน่!”“สิงอวี๋ เจ้าช่างน่ารังเกียจเสียจริง! เมื่อครู่ศิษย์พี่ของเราล้อเล่นจึงพูดเช่นนั้นออกไป คาดมิถึงเลยว่าจะถูกเจ้าใส่ร้าย! เช่นนั้นหากเป็นข้าที่พูดเช่นนั้นออกไป เจ้าก็จะบอกว่าข้าทำลายบ้านเจ้าใช่หรือไม่?”จงเจิ้งเฟยกับเหลยเหวินจึงดึงหลิงอวี๋ไปถามด้วยความเป็นห่วง “บ้านของเจ้าถูกทุบจริงหรือ?”หลิงอวี๋นึกถึงเรื่องวุ่นวายในบ้านที่เห็นท่ามกลางสายฝนเมื่อวานนี้ แล้วพยักหน้าอย่างแน่วแน่นางมองเหมียวหยางอย่างเย็นชา เขายังคงหัวเราะอย่างมิกลัวเกรง พร้อมกับทำท่าทางท้าทายราวกับว่า ‘เจ้าทำอะไรข้ามิไ
เสียงของหลิงอวี๋มิได้ดัง แต่ก็แน่วแน่มีพลังพอ ทำให้คุณหนูคุณชายที่อยู่ในบริเวณนั้นได้ยินกันหมดเซียวหลินเทียนเพิ่งลงจากรถม้ามาพร้อมกับพวกเถาจื่อ เมื่อเขาได้ยินคำพูดเหล่านี้ เซียวหลินเทียนก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วก็หันไปมองน้ำเสียงนี้ พลังเช่นนี้ เหตุใดจึงคล้ายกับหลิงอวี๋มากถึงเพียงนั้นอย่ารังแกคนหนุ่มสาวที่ยากจน!ตอนนั้นที่หลิงอวี๋ถูกพวกเสิ่นจวนกลั่นแกล้งที่ภัตตาคาร หลิงอวี๋ก็เคยพูดในทำนองเดียวกันนี้“ใต้หล้านี้หากมีคนใส่ร้ายข้า หลอกลวงข้า ดูหมิ่นข้า เย้ยหยันข้า ดูถูกข้า เหยียดหยามข้า รังเกียจข้า หลอกลวงข้า ข้าควรจะลงโทษอย่างไร?”“ขอเพียงอดทนกับเขา ยอมเขา ตามใจเขา หลีกเลี่ยงเขา อดกลั้นกับเขา เคารพเขา เมินเฉยเขา และรอไปสักสองสามปีแล้วค่อยดูเขา!”พวกของเสิ่นจวนที่เคยรังแกหลิงอวี๋ในอดีตนั้น ในตอนนี้ต่างก็มีจุดจบที่น่าสังเวชทั้งสิ้น มีเพียงหลิงอวี๋เท่านั้น ที่ก้าวหน้า กลายเป็นหมอที่มีชื่อเสียง เป็นฮองเฮาที่ผู้คนนับล้านในฉินตะวันตกเคารพ!สตรีหน้าตาธรรมดาและแต่งตัวซอมซ่อตรงหน้าเขาผู้นี้ ก็มีพลังของหลิงอวี๋อยู่เช่นกันใครจะรู้ว่านางจะเป็นดังเช่นหลิงอวี๋หรือไม่ หนึ่งปีหลังจากนี้นางอาจ
ใต้หล้านี้มีสตรีที่งดงามอยู่มากมาย!บางคนก็พึ่งการแต่งตัวให้ตนดูงดงาม!และบางคนก็พึ่งความเข้มแข็งภายในจิตใจทำให้งดงาม!และในชั่วขณะนี้ เหลยเหวินรู้สึกว่าสหายของตนผู้นี้ ถึงแม้ว่าจะดูธรรมดาทั่วไป แต่ก็มิได้ด้อยไปกว่าสตรีที่แต่งหน้าแต่งตัวจัดเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย“เสี่ยวอวี๋ เจ้าจะต้องได้สิ่งที่เจ้าต้องการอย่างแน่นอน!”เหลยเหวินเอ่ยออกมาอย่างจริงใจหลิงอวี๋มีจิตใจที่แน่วแน่เช่นนี้ ทั้งยังมีพรสวรรค์ด้านการกลั่นโอสถอีก ในอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด นางจะต้องไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดอย่างแน่นอนทั้งสองยิ้มให้กันแล้วออกไปรอจงเจิ้งเฟยและเมื่อมาถึงที่หน้าประตู รถม้าของตระกูลจงเจิ้งก็มาถึงเนื่องจากเป็นตระกูลใหญ่ จึงเป็นรถม้าที่มีม้าลากสี่ตัวที่ดูหรูหรามาก พวกนางทั้งสามคนยิ้มแย้มพูดคุยกันไปขณะที่มุ่งหน้าไปที่บ้านของหลงอิง“เสี่ยวอวี๋ ตระกูลของหลงอิงเป็นสายข้างเคียงของตระกูลหลง ดังนั้นที่ที่พวกเราจะไปกันจึงมิใช่คฤหาสน์ต้นตระกูล แต่เป็นคฤหาสน์ของครอบครัวนางเอง”เหลยเหวินแนะนำหลิงอวี๋อย่างกระตือรือร้น “แม้ว่าจะเป็นเพียงสายข้างเคียง แต่ครอบครัวหลงอิงก็ใหญ่โตมากเช่นกัน ต้องจัดงานยิ่งใหญ่เช่นนี้ประจำ
“เสี่ยวชี เจ้าอาศัยอยู่ที่ใด ข้าจะไปส่งเจ้า!”เย่หรงรู้สึกว่าคุยกับหลิงอวี๋ถูกคอมาก จึงรู้สึกว่ายังมิพอ“โรงเตี๊ยมเจ้าค่ะ!”ในเมื่อหลิงอวี๋ตัดสินใจที่จะสร้างพันธมิตรกับเย่หรงแล้ว นางจึงมิลังเลที่จะบอกเรื่องของตนให้เขารู้เย่หรงจึงเอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจ “เจ้าสอบเข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงได้แล้วนี่ เหตุใดยังพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมอีกเล่า? โรงเตี๊ยมในเมืองหลวงแดนเทพราคามิใช่ถูก ๆ เจ้าทำเช่นนี้มิสู้ซื้อเรือนสักหลังน่าจะคุ้มค่ากว่าหรือ!”หลิงอวี๋จึงยิ้มอย่างเย็นชา “เดิมทีข้ามีบ้านอยู่ แต่ถูกคนทำลายไปเสียแล้ว!”“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? เจ้าเป็นศิษย์น้อยของอาสาม ใครกันที่ตาไร้แววกล้ามาทำลายเรือนของเจ้า?”เย่หรงยิ่งก็ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีกหลิงอวี๋จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้เขาฟัง และสุดท้ายก็เอ่ยออกไป “เรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของเหมียวหยางเป็นแน่ ข้าไม่มีศัตรูอยู่ในเมืองหลวงแดนเทพ และนอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครที่จะทำเรื่องเช่นนี้กับข้าด้วย!”เย่หรงได้ยินเช่นนั้นก็โกรธมาก “ไป่หลี่ไห่กับหอโอสถไป๋เป่าอาศัยว่ามีการสนับสนุนของเจ้าแห่งทะเล จึงได้กล้าทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้!”“เสี่ยวช
แหกคุกหรือ?เหมือนว่าจะไม่มีใครเคยพูดเช่นนี้กับเย่หรงมาก่อนเลย เย่หรงเองก็ถูกการศึกษาที่แสนยาวนานยับยั้งเอาไว้ คิดมิถึงเลยว่าจะมีวิธีเช่นนี้ที่สามารถใช้ได้ด้วย!เขาประหลาดใจขึ้นมาในทันที แล้วก็มองหลิงอวี๋อย่างเหลือเชื่อเช่นนี้ก็ได้เช่นกันนี่?เพราะว่าเย่หรงเองก็เป็นคนที่มิทำตามกฎอยู่แล้ว หลังจากที่ตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง เขาก็คิดออกแล้วคำโน้มนำที่หลิงอวี๋ขว้างมาตรงหน้าตนนั้นเป็นราวกับต้นกล้าเล็ก ๆ ที่ทะลุผ่านดินขึ้นมาในชั่วพริบตา และเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ!ใครบอกว่ามิได้เล่า?ความผิดที่มารดาของเขาทำนั้นมิใช่ความผิดร้ายแรง ตระกูลหลงและตระกูลเย่ก็มิแม้แต่จะผ่านการพิจารณาคดีด้วยซ้ำ พวกเขาแค่ขังนางไว้ในคุกน้ำอันมืดมิดมาเป็นเวลานานสิบกว่าปีแล้วพวกเขาสามารถเพิกเฉยกฎเกณฑ์ได้ และทำตามอำเภอใจกันได้ เช่นนั้นเหตุใดตนจึงต้องปฏิบัติตามกฎของพวกเขาด้วยเล่า?มิรู้ว่าท่านแม่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนั้นจะถูกทรมานอย่างไรบ้าง เขาในฐานะลูกชายจะสามารถมองดูมารดาต้องทนทุกข์ต่อไปได้อย่างไรกัน?หากเขามิช่วยท่านแม่ออกมาจากสถานที่เลวร้ายนั้น เขาจะต้องสูญเสียท่านแม่ไปแน่“เสี่ยวชี ข้าจะหาช่องโหว่ได้
ก็มิรู้ว่าเพราะเหตุใดเช่นกัน!เป็นเพราะได้ยินหยางหงหนิงบอกว่าเย่หรงชอบหลิงอวี๋หรือ?หรือเป็นเพราะเมื่อครู่ได้ยินเย่หรงพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าตัวเขาไร้ประโยชน์ และไม่มีอะไรดี?หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเคยได้ยินผู้รอบรู้เล่าเรื่องภูมิหลังของเย่หรง เมื่อหลิงอวี๋เห็นเย่หรงจึงไม่มีความระแวดระวังดังเช่นก่อนหน้านี้นี่คือคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง!หลิงอวี๋มองใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นแล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างประหม่า “คุณชายเย่ ข้ามิได้ตั้งใจจะแอบฟัง ข้าแค่ผ่านมา… แค่ผ่านมาเท่านั้นเอง!”เย่หรงจ้องมองนางอย่างดุร้าย และเมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของศิษย์น้อยของเย่ซื่อฝาน ดูมิคล้ายกับพูดโกหกอยู่ เขาก็เอ่ยถามอย่างมิคาดคิด “เจ้าดื่มสุราเป็นหรือไม่?”เอ๊ะ นี่คือคำถามอะไรกัน?“มินับว่าดื่มเป็นเจ้าค่ะ!” หลิงอวี๋เอ่ยด้วยความเขินอายนางมิรู้ด้วยซ้ำว่าตนสามารถดื่มได้มากแค่ไหน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าดื่มเป็นหรือไม่“ไป ข้าจะเลี้ยงสุราเจ้าเอง!”เย่หรงมิพูดพร่ำทำเพลง แล้วเดินเข้ามาคว้าแขนของหลิงอวี๋เดินไป“คุณชายเย่ ข้าไปดื่มกับท่านมิได้เจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋ตกใจ แล้วก็ดิ้นรนพลางเอ่ยออกมาแม้แต่คนตาบอดก็ยังมองเห็นชัดเจนว่