”ไร้สาระ!” เซียวหลินเทียนตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้ามิเห็นคำสั่งทางทหารอยู่ในสายตาใช่หรือไม่? พระชายาให้เจ้าสวม ย่อมต้องมีเหตุผลที่ให้พวกเจ้าสวมไว้!” “ถึงเจ้ามิหวงแหนชีวิตตน แต่เจ้ามิอาจเพิกเฉยชีวิตผู้อื่นได้… เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า หากเจ้าติดเชื้อโรคระบาด สหายของเจ้าจะเดือดร้อนเพราะเจ้าหรือไม่?” “ไม่ร้ายแรงถึงเพียงนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมร่างกายแข็งแรง ไม่มีทางจะ…” หลี่เฉียงยังคิดโต้แย้ง เซียวหลินเทียนเอ่ยอย่างหมดความอดทนว่า “เจ้าหลบไปยืนด้านข้างก่อน และมิได้รับอนุญาตให้ติดต่อผู้อื่น! หากยังกล้าฝ่าฝืนคำสั่งทหาร จะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง!” หลิงอวี๋เหลือบมองหลี่เฉียงอย่างหมดคำจะเอ่ย ไม่มีอารมณ์จะเสวนากับเขา นางหยิบถุงมือปลอดเชื้อออกมาจากกล่องยาแล้วเดินเข้าไปตรวจดูสอบศพ ศพนั้นเป็นศพของผู้ชาย เพิ่งจะอายุเพียงสิบสองหรือสิบสามปีเท่านั้น ตุ่มหนองที่ปรากฏมากมายบนแขนล้วนแต่เป็นรอยแผลเป็น หลิงอวี๋ยังเห็นร่องรอยเลือดออกใต้ผิวหนังของเขาด้วย ระยะเวลาที่เสียชีวิตมากกว่าสามวัน ศพตากแดดและเริ่มส่งกลิ่นเหม็นแล้ว หลิงอวี๋ไปตรวจสอบอีกศพ ศพนี้เป็นสตรี อายุสามสิบปี ดูเหมือนนางเพิ่งจะตายได้ห
เด็กหญิงมองไปทางชายชรา ครั้นเห็นชายชราไม่พูดอะไรจึงได้เอ่ยเสียงเบา “ข้าแซ่หยาง ชื่อต้ายา!” “ต้ายา เจ้านั่งลงก่อน พี่สาวตรวจชีพจรให้เจ้าดีหรือไม่? พี่สาวเป็นหมอ ข้าจะต้องรักษาเจ้าให้หายได้แน่นอน!” หลิงอวี๋เอ่ย หยางต้ายามองชายชราอีกครั้ง เมื่อปู่หยางเห็นว่าหลิงอวี๋และคนอื่น ๆ มีทัศนคติที่ดีมากมาโดยตลอด เขาก็พยักหน้าเงียบ ๆ หยางต้ายาเดินออกมาจากด้านหลังปู่หยางและนั่งลงบนพื้น แล้วยื่นแขนเล็ก ๆ ออกมาให้หลิงอวี๋ หลิงอวี๋เห็นว่าบนแขนที่ยื่นออกมาของนางมีตุ่มหนองเล็กน้อยก็เอื้อมมือไปจับชีพจรของนาง อุณหภูมิผิวหนังของหยางต้ายาสูงมาก หลิงอวี๋ให้หลิงซวนหยิบเอาที่วัดอุณหภูมิออกมาแล้วเกลี้ยกล่อมให้หยางต้ายาหนีบไว้ที่รักแร้ของนาง “ต้ายาบอกพี่สาวได้หรือไม่ ในหมู่บ้านมีคนป่วยเยอะหรือไม่? ใครเป็นคนป่วยก่อน?” หลิงอวี๋ถามพลางจับชีพจร หยางต้ายามองไปทางปู่หยางเพื่อขอความช่วยเหลือ ดูเหมือนว่าคำถามของหลิงอวี๋นั้นยากมาก นางไม่รู้จะตอบเช่นไร “คนขายเนื้อตรงทางเข้าหมู่บ้านป่วยเป็นคนแรก…” ในที่สุดปู่หยางก็เปิดปากพูดแล้ว ทันทีที่หลิงอวี๋ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยถามทันที “ปู่หยาง คนขายเนื้อป่วยตั้
เมื่อพวกเขาติดตามปู่หยางเข้าไปในหมู่บ้านก็เห็นเฉาอี้พาผู้นำหมู่บ้านมาแล้ว เฉาอี้สวมหน้ากากตามคำสั่งของหลิงอวี๋ หลิงอวี๋ไม่พูดอะไร “ท่านอ๋อง นี่คือหยางหรงผู้นำหมู่บ้าน เขาบอกว่าหมู่บ้านนี้ใหญ่ที่สุดในเว่ยโจว มีมากกว่าร้อยครัวเรือน!” “ผู้คนที่อาศัยอยู่ตรงทางเข้าของหมู่บ้านล้วนแต่เป็นคนยากจน สองปีก่อนเพราะมีปรมาจารย์ฮวงจุ้ยของหมู่บ้านบอกว่าฮวงจุ้ยไม่ดี ประตูหมู่บ้านจึงถูกย้ายไปทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน!” ผู้นำหมู่บ้านหยางหรงมองเซียวหลินเทียนก่อนจะพยักหน้าแล้วโค้งคำนับพร้อมกับยิ้ม “ท่านอ๋อง ชาวบ้านเหล่านี้งมงายยิ่งนัก กระหม่อมแจ้งให้พวกเขาทราบแล้วว่าพวกเขาป่วยต้องมารายงานอาการป่วย แต่ไม่มีใครมาเลย!”“กระหม่อมไม่รู้จริง ๆ ว่าจู่ ๆ พวกเขาจะหนีไปเลย!” “ที่หมู่บ้านทางทิศตะวันตกมีคนติดเชื้อหรือไม่?” หลิงอวี๋เอ่ยถาม หยางหรงหัวเราะเหอะ ๆ แล้วพูดว่า “ครอบครัวที่ร่ำรวยย่อมไม่เหมือนชาวบ้านพวกนี้ที่กินมั่วซั่ว กระหม่อมยังมิได้ยินว่ามีใครป่วยเลย!” เมื่อหลิงอวี๋ได้ยิน หัวใจก็จมลงไปครึ่งหนึ่ง นางยังมีความกังวลว่ามีหลายครัวเรือนเช่นนี้ หากมีการแพร่เชื้อก็จะเป็นวงกว้างได้ยินว่าหมู่บ้านต
ร่มว่านหมินนี้ไม่ได้มาจากเส้นทางที่ชัดเจน แต่มาจากการหลอกลวง!หออักษรที่ตระกูลหยางสร้างขึ้นนี้ก็ไม่ได้สร้างขึ้นสำหรับเด็กยากไร้อย่างแท้จริง แต่เป็นสิ่งที่ตระกูลหยางทำเพื่อสร้างชื่อเสียงข้าหลวงหยางผู้นี้ยังเป็นคนขององค์ชายใหญ่เว่ยอีกด้วย!เซียวหลินเทียนยิ้มอย่างเย็นชา พลางเอ่ยกับหยางหรงตรง ๆ“ในเมื่อครอบครัวของข้าหลวงหยางสร้างขึ้นมา เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าไปแจ้งตระกูลหยางทีว่าข้าจะขอใช้หออักษร!”“ข้าหลวงหยางรักทุกคนเหมือนลูก ๆ คนในครอบครัวของเขาก็มีศีลธรรมสูงส่งเช่นกัน ข้าว่าพวกเขาจะร่วมมือกับข้าเพื่อที่จะดูแลผู้ป่วยเหล่านี้!”“ข้ามีอาหารมาด้วยไม่มากนัก ขอให้ตระกูลหยางบริจาคข้าวปลาอาหารและเวชภัณฑ์มาสนับสนุนข้าอีกสักหน่อยเถอะ! หลังจากที่ข้ากลับเมืองหลวงแล้ว ข้าจะส่งเรื่องถึงองค์จักรพรรดิให้เสด็จพ่อชมเชยข้าหลวงหยางอย่างแน่นอน!”เมื่อหยางหรงได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเขาก็กระตุก ภายใต้การจ้องมองอย่างบีบบังคับของเซียวหลินเทียน เขาทำได้เพียงต้องไปแจ้งให้ตระกูลหยางทราบเท่านั้น“เยี่ยมเลย! เซียวหลินเทียน! ไม่ต้องใช้ทหารแม้แต่คนเดียว ก็บีบบังคับให้เขาออกเงินกับอาหารเพื่อให้ความเคารพท่านอ๋องได้
หลี่ว์จงเจ๋อมิกล้าตัดสินใจ จึงไปขอคำแนะนำจากเซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนฟังแล้วก็เอ่ยขึ้นมาทันที “ได้ เจ้าพาคนไปส่งนางที่นั่นเถิด! นางอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรมิได้ อีกทั้งข้าจะต้องส่งคนไปดูแลนางอีก!”“หลังจากที่เจ้าไปถึงเว่ยโจวแล้วก็ไปพบข้าหลวงของเว่ยโจวก่อนเสีย ให้เขาส่งคนไปตรวจสอบดูทุกหมู่บ้าน หากพบพื้นที่ที่มีโรคระบาด ก็จะให้แยกผู้ป่วยออกตามคำสั่งของพระชายา! ห้ามมิให้มีการเคลื่อนย้ายเอง!”"พ่ะย่ะค่ะ!"หลี่ว์จงเจ๋อนับกองทหารของตนแล้วรีบพาเซียวทงไปยังเว่ยโจวในเวลานี้อู่เวยได้ละทิ้งคำสั่งของจ้าวเจินเจินไปแล้ว ทั้งเขาและเซียวทงต่างได้เห็นภาพอันน่ากลัวของผู้ป่วยโรคระบาดที่เสียชีวิตตามท้องถนนแล้ว!โรคระบาดร้ายแรงถึงเพียงนี้ เขาไม่อยากอยู่ให้เสี่ยงหรอก!มีโอกาสมากมายที่จะฆ่าเซียวหลินเทียน เขามาเว่ยโจวแล้วค่อยหาโอกาสดำเนินการเอาก็ได้!กระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น ก็มีผู้ป่วยส่งมาที่หออักษรสิบกว่าคนแล้ว มีทั้งผู้ใหญ่และเด็กคนในครอบครัวของผู้ป่วยบางส่วนก็ตามมาด้วย แต่ผู้คุมไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไป พวกเขาจึงเริ่มโวยวายอยู่ที่หน้าประตูหลิงอวี๋กำลังทำการวิจัยโรคระบาดอยู่ในห้องรักษา คนเหล่านี้บ
ลู่หนานกับองครักษ์ทั้งสองเดินไปข้างกายชายผู้นั้นด้วยท่าทีดุร้าย พลางตะคอกเสียงแข็ง“ยังมิไปอีก จะให้พวกเราลงมือจริง ๆ ใช่หรือไม่?”ชายผู้นั้นมองท่าทีดุร้ายของลู่หนาน แล้วหันหลังเดินออกไปด้วยความโกรธวีรบุรุษจะรู้จักถอยเพื่อมิให้เสียเปรียบ เขาจะไปหาข้าหลวงมาตัดสินให้ตนเองเป็นแน่!“ใครจะก่อปัญหาอีก?”เซียวหลินเทียนเหลือบมองครอบครัวเหล่านั้นด้วยสายตาที่เฉียบคมรัศมีอันสง่างามของเขากับดาบบนตัวของพวกลู่หนานทำเอาครอบครัวเหล่านั้นหน้าซีด ใครจะกล้าก่อปัญหาอีกเล่า!พวกเขามองหน้ากัน แล้วจากไปอย่างสิ้นหวัง“เจ้ามิได้ถูกพวกเขาทำให้บาดเจ็บใช่หรือไม่?”หลิงอวี๋มองผู้คุมอย่างกังวล ผู้คุมส่ายหัวพลางเอ่ยอย่างขอบคุณ “พระชายา ขอบคุณท่านขอรับ!”“ไม่เป็นไร! ข้าสิจะต้องขอบคุณเจ้าที่ยังคงรักษาจุดยืนไว้แม้ว่าจะเผชิญกับความยากลำบาก!”หลิงอวี๋รีบเอ่ย “อีกประเดี๋ยวยาสมุนไพรก็จะต้มเสร็จ เจ้ากินสักสองชามก่อน! ตอนนี้รีบไปอาบน้ำผลัดผ้าก่อนเถิด!”“จำไว้ว่าเจ้าต้องซักอาภรณ์แล้วส่งไปให้แม่นมหลี่ ให้นางช่วยเอาไปต้มในน้ำร้อนแล้วค่อยเอาไปตากให้แห้ง!”“ขอรับ! พระชายา ข้าจะทำตามคำสั่งของพระชายาขอรับ!”ผู้คุมเอ
ทางด้านหลิงอวี๋ตรวจเลือดของผู้ป่วยแต่ละราย และพบแหล่งที่มาของโรคระบาดสองประเภทประเภทแรกคือโรคระบาด ส่วนอีกประเภทคือไข้หวัดนกหยางต้ายากับปู่หยางป่วยเป็นไข้หวัดนกเชื้อนี้ติดต่อจากการที่สิ่งใด ๆ ปนเปื้อนอุจจาระกับสารคัดหลั่งของสัตว์ปีกที่ป่วย เช่น อาหาร น้ำดื่ม อากาศ ยานพาหนะ คน แมลง ฯลฯ นำพาเชื้อนี้มาแพร่ระบาดส่วนกาฬโรคคือการที่คนถูกหนูที่ติดเชื้อกัดแล้วแพร่ระบาด นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการฆ่าสัตว์ที่ติดเชื้อแล้วเชื้อซึมเข้าบาดแผล หรือเกิดจากการสูดดมละอองของเชื้อเข้าไปก็ได้โรคทั้งสองสามารถแพร่เชื้อทางอากาศได้ ซึ่งทำให้หลิงอวี๋ยิ่งกังวล เพราะกลุ่มคนที่ไม่สวมหน้ากากมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อมากขึ้นอีก!กระทั่งลู่หนานนำสัตว์ปีกกลับมา หลังจากการตรวจสอบหลิงอวี๋ก็พบเชื้อในสัตว์ปีกเหล่านั้นด้วย“เซียวหลินเทียน สัตว์ปีกและสัตว์ต่าง ๆ ในเจ่าจวงจะต้องถูกฆ่าและทำลายไปด้วยกันทั้งหมดให้ทันเวลา! อีกทั้งบ้านที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ก็ต้องส่งคนไปฆ่าเชื้อด้วย!”หลิงอวี๋รีบให้คนไปเรียกเซียวหลินเทียน แล้วบอกผลการวิจัยของตนเองให้เขาฟังเซียวหลินเทียนเอ่ยถาม “เช่นนั้นเจ้าวิจัยตำรับยาได้หรือยัง?”หลิงอวี๋ย
หลิงอวี๋จ้องมองหลิงหว่านอย่างดุ ๆ เวลานี้มิใช่เวลามาซักถาม ทำได้เพียงต้องไปคุยกับพวกหมอเรื่องโรคระบาดก่อนหมอเหล่านี้ล้วนมาจากโรงหมอหลายแห่งมีหมอเฝิงจากในวัง หมอเฉินจากโรงหุยชุน หมอหานจากโรงไป๋เฉ่า และอีกสามคนเป็นหมอจากโรงหมอต่าง ๆ ในเขตหลินหลิงอวี๋ไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อโรงหุยชุนนัก แต่หมอเฉินดูมิน่ารังเกียจเหมือนหมอจางกับจางเจ๋อ หมอเฉินผู้นี้อยู่ในวัยสี่สิบต้น ๆ และดูเหมือนจะทำหน้าที่ได้ดีขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันเขาก็ไม่พูดแทรกมากนัก แสดงความคิดเห็นของตนในช่วงเวลาที่เหมาะสม ทั้งยังมีท่าทีสุภาพเรียบร้อยอีกด้วยชื่อของโรงไป๋เฉ่าก่อนหน้านี้หลิงอวี๋ก็เคยได้ยินมาบ้างว่า ครั้นเมื่อร้านค้าถูกไฟไหม้โรงไป๋เฉ่าก็ส่งคนไปช่วยเหลือและบริจาคเงินด้วยโดยปกติแล้วก็ไม่เคยได้ยินใครว่าโรงไป๋เฉ่าสร้างภาพหลอกลวงผู้ป่วย ดังนั้นหลิงอวี๋จึงให้ความเคารพแพทย์ที่โรงไป๋เฉ่ามากหมอหานอายุประมาณห้าสิบปี ดูอารมณ์ดี และพูดจาก็สุภาพคนที่ค่อนข้างจะเย่อหยิ่งก็คือหมอเฝิงที่มาจากในวัง เขาก็อายุสี่สิบกว่าเช่นกัน รูปร่างปานกลางและมีหน้าอวบอิ่มเล็กน้อยเขาออกมาในครั้งนี้ด้วยความคิดที่ว่า ไม่ว่าอย่างไรตนก็จะ