องค์หญิงหกเซียวทงมิได้ถือว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางที่อันตราย!จุดประสงค์ของนางนั้นง่ายมาก มีเพียงสองประการเท่านั้นประการแรก ใช้การเดินทางนี้เพื่อบ่มเพาะความรู้สึกกับฉินซานประการที่สอง เพิ่มปัญหาให้กับหลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนเซียวทงถูกท่านอ๋องเฉิงเฆี่ยนตีไปแล้วห้าครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงถึงชีวิต แต่เจ็บปวดมากจนนางต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาสองวันกว่าจะลุกจากเตียงได้นางไม่เคยถูกทุบตีแบบนี้เลยทั้งชีวิต สิ่งที่ทำให้นางยิ่งโกรธก็คือการถูกทุบตีเยี่ยงนี้… มันขายหน้าไปถึงบ้านท่านยายด้วย!หากแค้นนี้มิได้ล้างแค้น เซียวทงจะกล้ำกลืนฝืนทนได้เยี่ยงไร!ดังนั้น เมื่อรู้ว่าฉินชานจะพาเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ไปที่ชายแดน เซียวทงจึงรู้สึกประทับใจนางไม่สามารถฆ่าหลิงอวี๋ในเมืองหลวงได้ ก็ตามไปก่อกวน ทำให้หลิงอวี๋รักษาผู้ป่วยดี ๆ ไม่ได้ แล้วทำงานที่เสด็จพ่อมอบหมายให้ไม่สำเร็จถึงเวลานั้น ตนเองไม่ต้องลงมือเอง เสด็จพ่อก็จะต้องฆ่านางเป็นแน่!เซียวทงคิดแล้วไปอ้อนขอเสด็จพ่อให้ตนเองตามเซียวหลินเทียนไป หลังจากพูดจาหว่านล้อมอยู่เป็นเวลานานในที่สุดก็ได้รับความยินยอมจากเสด็จพ่อแล้วเซียวทงพา
หลี่ว์จงเจ๋อเดินทางด้วยครั้งนี้ในฐานะผู้ช่วยของฉินซาน!ตำแหน่งนี้หลี่ว์จงเจ๋อไปทำการขอให้หลี่ว์เซียงช่วยให้ตนได้มาแรกเริ่มหลี่ว์เซียงไม่เห็นด้วย จึงเอ่ยตรง ๆ “ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ตอนนี้ชายแดนอันตรายมาก หากเจ้าไป ก็อาจจะไม่มีชีวิตกลับมาได้อีก!”“หากเจ้ามีภัยร้ายใด ๆ จะให้ข้าไปอธิบายให้ท่านแม่กับท่านยายของเจ้าฟังเยี่ยงไรเล่า?”หลี่ว์จงเจ๋อเอ่ยอย่างจริงใจ “ท่านพ่อ ข้าเดินตามเส้นทางของขุนนางฝ่ายบู๊ ตอนแรกท่านพ่อกับท่านยายต่างก็เห็นด้วยกันหมด! ในเมื่อเป็นขุนนางฝ่ายบู๊แล้ว เช่นนั้นก็จะต้องมีกระทบกระทั่งในสนามรบอย่างหลีกเลี่ยงมิได้อยู่แล้วสิขอรับ!”“ท่านพ่อ ท่านดูเถิดว่า ในราชสำนักยามนี้ขาดแคลนขุนนางฝ่ายบู๊ โรคระบาดครั้งนี้องค์จักรพรรดิยังต้องให้ท่านอ๋องอี้ที่ขาทั้งสองข้างไม่คล่องตัวออกไปรับผิดชอบหน้าที่นี้เลย!”“ลูกมิกล้าเอ่ยว่าราชสำนักอยู่มิได้หากไม่มีลูก แต่หากทุกคนคิดถึงแต่ความปลอดภัยของตนเอง แล้วใครจะปกป้องบ้านเมืองของเราเล่าขอรับ!”“บอกตามตรง การเดินทางในครั้งนี้ก็เป็นโอกาสของข้าด้วย… หลังจากเสร็จภารกิจกลับมาข้าก็จะเลื่อนตำแหน่งขึ้นอีกได้… ท่านพ่อ ท่านคงมิอยากให้ลูกเป็นแม่ท
เซียวทงมิเห็นด้วยกับคำสั่งการนั้น เร่งความเร็วเต็มที่ไปแล้วรถม้าจะนั่งได้สบายหรือ?นางเอ่ยกับเซินไห่อย่างเกียจคร้าน “ไปบอกแม่ทัพฉิน เหตุใดต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้น ให้คนไปแจ้งพี่สี่ของข้าก่อนสิ พี่สี่ของข้าจะรอเราอยู่ที่จุดพักอย่างแน่นอน!”เซินไห่ก้มหน้าลงพลางเอ่ยตรง ๆ “แม่ทัพฉินบอกว่า เวลามันล่าช้าไปแล้วเราจำเป็นต้องตามกลุ่มของท่านอ๋องอี้ไปให้ทันในช่วงเวลาอาหารกลางวันพ่ะย่ะค่ะ!”“แม่ทัพฉินบอกว่า หากองค์หญิงรู้สึกว่าทนความยากลำบากมิไหว ก็สามารถส่งองค์หญิงกลับได้ในตอนที่ยังมิได้ออกจากเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวทงได้ยินก็ขมวดคิ้ว หลังจากครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ย “ผู้ใดบอกว่าข้าทนความยากลำบากมิได้? จะเร่งความเร็วเต็มที่ก็ทำเลยสิ!”เซินไห่ยิ้มอย่างเย็นชา พลางตะโกนเสียงดัง “เดินหน้าเต็มความเร็ว!”พวกเขาเคลื่อนขบวนไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มที่ เซียวทงถูกแรงกระแทกของรถม้าทำให้เซไปเซมาทันที ฉินรั่วซือกับนางกำนัลทั้งสองรีบจับนางเอาไว้ จากนั้นพวกนางก็เกาะกลุ่มเข้าด้วยกันเพื่อไม่ให้ถูกกระแทกจนบวมช้ำหลังจากที่ต้องนั่งรถม้าโคลงเคลงกระแทกไปมาเป็นเวลาหลายชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาก็ตามทันกลุ่มของเซียวหลิ
เมื่อองค์หญิงหกเซียวทงเห็นว่าอู่เวยพูดเช่นนี้ ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนทำอะไรตนมิได้จึงพยักหน้า “เช่นนั้นก็พักสักหน่อย!”นางให้นางกำนัลพยุงตนลงไปหาสถานที่เงียบสงบพักผ่อนสักหน่อย แล้วก็กินขนมที่นางกำนัลเตรียมมาอย่างสบาย ๆ เสียเวลาไปกว่าครึ่งชั่วยามกว่านางจะกลับขึ้นรถม้าแล้วออกเดินทางต่อทางกลุ่มของฉินซานติดตามเซียวหลินเทียนไปอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าเซียวทงจะตามมาก็เลยมิได้ใส่ใจอะไรภารกิจการเดินทางในวันที่สองนั้นหนักหนากว่าเดิม เซียวหลินเทียนวางแผนที่จะไปให้ถึงจุดพักอาศัยให้กลุ่มของพวกเขาได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม ดังนั้นกลุ่มใหญ่จึงไม่พักผ่อนในช่วงเวลาอาหารเย็น แล้วเร่งไปให้ถึงจุดพักอาศัยก่อนมืดเมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงจุดพักอาศัยแล้ว ฉินชานจึงหันหลังไปมองอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นกลุ่มของเซียวทงเส้นทางนี้เต็มไปด้วยถนนบนภูเขา ไม่มีการอยู่อาศัยของผู้คนอยู่เลยฉินชานเห็นว่ากลุ่มของเซียวทงยังตามไม่ทันก็ทั้งกังวลทั้งโกรธเขากังวลว่าหากไม่รอเซียวทงแล้วมีอะไรเกิดขึ้นจะทำให้ท่านอ๋องอี้ลำบากจนถูกองค์จักรพรรดิตำหนิเอาได้ในขณะที่กำลังตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลี่ว์จงเจ๋อก็เร่งม้ามาข้างหน้
หัวหน้าโจรทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นก็แยกกันไปดำเนินการหัวหน้าคนหนึ่งพาคนไปดักจากด้านหน้า ส่วนอีกคนไปดักพวกเขาระหว่างทางขณะที่รถม้าของเซียวทงกำลังเคลื่อนไปอยู่นั้น ก็ได้ยินคนขับรถม้าที่อยู่ด้านหน้าตะโกน“หัวหน้าองครักษ์ มาดูทางนี้เร็ว มีต้นไม้โค่นข้างหน้า ขวางทางเราอยู่!”อู่เวยเกือบจะหลับอยู่แล้ว พอได้ยินเสียงตะโกนเรียกก็เลยต้องขี่ม้าไปดูข้างหน้าในขณะนั้นเอง ก็มีโจรสิบกว่าคนวิ่งออกมาจากริมทางถนนบนภูเขาแล้วตะโกนเสียงดังบุกเข้ามาโจรคนหนึ่งเห็นว่ารถม้าขององค์หญิงหกเป็นรถที่หรูหราที่สุดในขบวนรถม้า จึงพาพวกพี่น้องบุกเข้าไป“เกิดอะไรขึ้น?”เซียวทงได้ยินเสียงตะโกนอันวุ่นวายก็ตะโกนอย่างรำคาญยังมิทันสิ้นเสียงก็รู้สึกได้ว่าตัวรถสั่น จากนั้นม่านรถก็ถูกเปิดออก ชายที่มีหนวดเครายาว สวมเสื้อผ้าสกปรกมีกลิ่นเหม็นปรากฏตัวที่ประตูรถม้าเขาถือมีดอยู่ พร้อมทั้งเลือดบนมีดที่ยังคงหยดอยู่ด้วย...“กรี๊ด…”ฉินรั่วซือกับพวกนางกำนัลหลายคนเห็นเข้าก็กรีดร้องทันที จากนั้นก็ถอยไปขดตัวอยู่ด้วยกันเซียวทงเองก็ตกใจเช่นกัน แล้วก็ได้ยินอู่เวยตะโกนจากข้างนอก “มีโจรปล้น รีบคุ้มกันองค์หญิงหกเร็วเข้า…”ทหาร
เสียงการต่อสู้ข้างนอกดังมาอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็สิ้นสุดลงกองทหารประจำของฉินซานได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี สามารถจัดการกับโจรเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายและราบรื่นเลยทีเดียวโจรสิบกว่าคนนั้น ไม่ถูกฆ่าทันทีก็ถูกทุบตีจนไม่สามารถขยับตัวได้แล้ว!และองครักษ์ที่ฉินชานพามานั้นมีแต่คนฉลาดอยู่ไม่น้อย เกรงว่าหากจับเป็นพวกโจรเหล่านี้ ต่อไปก็จะต้องลำบากตนพาพวกเขากลับไปเมืองหลวงอีก ดังนั้นจึงลงมืออย่างไร้ความปรานีไปเลยกระทั่งการต่อสู้สิ้นสุดลง ก็มีโจรไม่กี่คนที่รอดชีวิตไปได้สิ่งของในรถม้าสองคันถูกพวกโจรพลิกคว่ำจนกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นฉินชานเห็นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เอาของมามากมายถึงเพียงนี้ มันลำบากมากจริง ๆ ในการที่จะเก็บข้าวของหากองค์หญิงหกผู้นี้ติดตามกองทัพใหญ่ไปติด ๆ เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร!“องค์หญิงหก ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”ฉินชานให้องครักษ์ช่วยนางกำนัลจัดการรถม้า จากนั้นตนจึงเดินไปเอ่ยถามเมื่อเซียวทงเห็นว่าไม่มีอันตรายแล้ว ก็นึกถึงความกลัวเมื่อครู่แล้วตะโกนใส่ฉินชานอย่างเสียใจ“แม่ทัพฉิน เหตุใดท่านถึงเพิ่งมาเล่า! ท่านมิรู้อะไร เมื่อครู่ข้ากลัวแทบตาย…”
ฉินรั่วซือถูกหยิกจนอยากจะกรีดร้องออกมา แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาเตือนของเซียวทง นางก็กัดริมฝีปากล่างไว้มิกล้าส่งเสียงออกไปในเวลานี้ ฉินรั่วซือรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด หากองค์หญิงหกผู้วางอำนาจและโหดร้ายแต่งงานกับพี่ชายของตน เช่นนั้นจะไม่ทำร้ายพี่ชายตนหรอกหรือ?ตอนนี้องค์หญิงหกยังมิได้แต่งงานเข้าตระกูลฉินก็กล้ารังแกตนเช่นนี้แล้ว ถึงตอนนั้นหากให้นางแต่งงานเข้าตระกูลฉินจริง ๆ เช่นนั้นทั้งครอบครัวของตนก็จะถูกนางรังแกกันหมด!ไม่ได้… นางต้องหาทางป้องกันมิให้เซียวทงแต่งงานเข้าตระกูลฉิน!รถม้ายังคงดำเนินต่อไปภายใต้การเร่งของฉินซาน แต่ในไม่ช้าท้องฟ้าก็มืดลง การเดินทางก็ช้าลงไปด้วยพวกองครักษ์เหล่านั้นยังมีอาหารแห้งอยู่ แต่น้ำหมดไปแล้ว ความหิวและความเหนื่อยล้าจึงทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่สบายมีองครักษ์สองคนที่ดูแลด้านหลังรถม้าเห็นว่าฉินซานอยู่ข้างหน้า มิได้ยินที่ตนเอ่ย จึงเริ่มก่นด่าขึ้นมาอย่างหยาบคาย“ลากการเดินทางไปมาเช่นนี้มันลำบากพวกเรามิใช่รึ! วันนี้แค่วันแรกก็เหนื่อยเช่นนี้แล้ว… ข้าว่าเราได้เหนื่อยเลยระหว่างทางก่อนถึงชายแดนแน่เลย!”“เฮ้อ ก็ใครให้นางเป็นองค์หญิงเล่า! แค่เอ่ย
“จะเปลี่ยนไปที่ใด? กลับวังหรือไม่เล่า?”เซียวหลินเทียนอดทนกับเซียวทงมาทั้งวันแล้ว เมื่อเห็นว่านางยังคงดื้อรั้นเอาแต่ใจเช่นนี้ ก็ทนมิไหวพลางตะคอกด้วยความโกรธ“องค์จักรพรรดิสั่งให้ข้าไปที่ชายแดนกำจัดโรคระบาด! เซียวทง ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะติดตามพวกข้ามา เจ้าก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า!”“ข้าบอกไปแล้วในช่วงอาหารกลางวันว่ามิให้พักผ่อนและให้เดินหน้าเต็มกำลัง! แต่เจ้ากลับเพิกเฉยต่อคำสั่งของข้าแล้วพักผ่อนตามใจตนเอง! ถ่วงเวลาการเดินทางของกองทัพใหญ่!”“เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ข้าต้องส่งแม่ทัพฉินกลับไปหาเจ้า! วันนี้ถือว่าเจ้าโชคดีมากแล้วที่แม่ทัพฉินกลับไปช่วยเจ้าได้ทันเวลา!”“หากเขามิกลับไป เจ้าก็คงจะตายด้วยน้ำมือของพวกโจรพวกนั้นไปแล้ว!”ยังมิทันที่เซียวหลินเทียนจะเอ่ยจบ เซียวทงก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธ“ใครให้เขากลับไปเล่า! เขามันจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง! ต่อให้เขาไม่ไป องครักษ์ของหม่อมฉันก็ฆ่าพวกโจรเหล่านั้นได้!”“อวดดี!”เซียวหลินเทียนตะคอกเสียงแข็ง “แม่ทัพฉินช่วยเจ้าไว้ แต่เจ้ากลับมิรู้สึกขอบคุณ! เจ้าคิดว่าไม่มีใครสามารถควบคุมเจ้าได้จริง ๆ ใช่หรือไม่?”“เซียวทง เจ้าทำให้แม่ทัพฉินกับองคร
บรรดาศิษย์น้องของเหมียวหยางจะกล้าปล่อยเหมียวหยางไปได้อย่างไร แม้ว่าเย่หรงจะเป็นศิษย์ที่มิประสบความสำเร็จของตระกูลเย่ แต่เขาก็นับว่าเป็นผู้มีอำนาจที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงแดนเทพ และความโหดร้ายของเขาก็ราวกับหมาป่าหากเขาประกาศชัดเจนว่าจะยั่วยุใคร เช่นนั้นแล้วขอเพียงยังมีลมหายใจอยู่ ต่อให้ต้องสู้จนถึงที่สุดก็จะมิยอมรามือถึงแม้ว่าเหมียวหยางจะเกลียดเย่หรงที่ทำให้จมูกของตนหัก แต่ท่าทีที่จะสู้กับเย่หรงอย่างสุดชีวิตนั้น ก็เป็นเพียงการแกล้งทำไปเท่านั้นเนื่องจากด้วยพลังของเขาแล้ว เขามิใช่คู่ต่อสู้ของเย่หรงอย่างแน่นอน มิฉะนั้นก็คงมิถึงกับถูกเย่หรงต่อยสองหมัด แล้วไม่มีแรงตอบโต้หรอก“พวกเจ้าปล่อยข้า ให้ข้าไปสู้กับเขา… เย่หรง เจ้ารู้สึกผิดแล้วกระมัง จึงได้ใส่ร้ายข้า!”เหมียวหยางตะโกนออกไปอย่างโอ้อวด “ข้ามิได้ทำลายบ้านของสิงอวี๋ มิใช่ว่าเจ้าจงใจไปทำลายบ้านของนาง เพื่อให้นางยอมขึ้นเตียงกับเจ้า และใช้โอกาสนี้สนับสนุนนางเองรึ?”น้ำโคลนสาดเข้ามาหาเย่หรงในทันทีคนจำนวนมากที่อยู่ตรงนั้น ต่างก็รู้สึกว่าคำพูดของเหมียวหยางอาจจะเป็นเรื่องจริงได้ เพราะเรื่องนี้ดูเป็นเรื่องที่เย่หรงสามารถทำได้!หลิงอวี
หยางหงหนิงยิ่งโวยวายก็ยิ่งเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ และดึงดูดสายตาของคุณหนูคุณชายที่ยังอยู่รอบ ๆ มิได้แยกตัวออกไปให้พากันหันมามอง"ข้าบอกว่าเจ้าต่ำต้อย แต่เจ้าก็ยังบอกว่ามิต่ำต้อย! ทุกคนมาดูอันดับหนึ่งของหอปรุงโอสถผู้นี้เถิด นางคือคนต่ำต้อยไร้ยางอาย!”“นางล่อลวงเย่หรงไปดื่มสุรา และมิรู้ว่านางใช้กลอุบายอะไร จึงทำให้เย่หรงสนับสนุนนาง!”“สิงอวี๋ ข้าขอบอกไว้เลยว่า คนต่ำต้อยเช่นเจ้า ตระกูลเย่ไม่มีทางให้เจ้าเข้าไปเป็นอันขาด และถึงแม้ว่าพวกเขาจะให้เจ้าเข้าไป เจ้าก็เป็นได้เพียงอนุเท่านั้น!”เมื่อคุณหนูเหล่านั้นรวมถึงบัณฑิตของหอโอสถไป๋เป่าได้ยินเช่นนั้น ก็ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา“ข้าก็บอกแล้วว่านางแต่งตัวธรรมดาเช่นนั้น แล้วจะมีเงินไปศึกษาที่สำนักศึกษาชิงหลงได้อย่างไร ที่แท้นางก็อาศัยการหลอกลวงเงินของบุรุษ!”“แต่นางก็มิได้งามอะไรนักนี่ แล้วเย่หรงจะชอบนางได้หรือ?”“เจ้ามิรู้หรอก บุรุษบางคนมิได้สนใจที่หน้าตา แต่สนใจที่รูปร่าง บางทีเย่หรงอาจจะสบายใจกับการปรนนิบัติของสตรีผู้นี้ก็เป็นได้!”คำพูดนี้เหมียวหยางเป็นคนพูด เขาพูดไปพลางยิ้มอย่างหยาบคาย ทั้งยังขยิบตาอย่างคลุมเครือให้กับพวกคุณชายที่อ
จงเจิ้งเฟยส่ายหัว “ข้าเองก็มิได้รู้แน่ชัดนัก ข้าแค่ฟังมาจากคนอื่นเท่านั้น เพราะพวกนางบอกกันว่าฉินตะวันตกเป็นคนละดินแดนกับพวกเรา!”“ข้าได้ยินมาเพียงว่า ทักษะการแพทย์ของหลิงอวี๋ผู้นี้ยอดเยี่ยมมาก ก่อนหน้านี้ว่ากันว่า ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเก๋อท้องใหญ่ราวกับกลอง และไม่มียาใดที่สามารถรักษาได้ แต่หลิงอวี๋เป็นคนผ่าท้องของนางแล้วนำถุงน้ำที่อยู่ในท้องของนางออกมา เช่นนี้จึงรักษาโรคประหลาดของนางหายขาดได้!”“ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเก๋อได้เดินทางติดตามข้าหลวงเก๋อมาที่เมืองหลวงแดนเทพแล้ว ดู ๆ ไปแล้วก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไปมิได้ผิดปกติใด ๆ นี่คือข้อเท็จจริง!”เหลยเหวินฟังแล้วก็รู้สึกสับสน “ดูเช่นนี้แล้ว หลิงอวี๋ก็มินับว่าเป็นคนเลว แต่เหตุใดนางจึงสังหารเฉียวเค่อเล่า!”หลิงอวี๋ฟังอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ แล้วนางก็ยิ่งอยากรู้อดีตของตนมากขึ้นไปอีกตนเป็นคนแบบใดกันแน่?เหตุใดจึงมีศัตรูมากถึงเพียงนี้?ดูท่าทางจะต้องไปถามผู้รอบรู้เสียหน่อยแล้ว บางทีการรู้เรื่องในอดีตของตน อาจจะทำให้นางฟื้นความทรงจำที่หายไปได้เร็วขึ้นก็ได้ขณะที่ทั้งสามกำลังคุยกันอยู่ ก็เห็นหยางหงหนิงพาสหายอีกสองคนเดินเข้ามา“เฟยเฟย พวกเจ้าค
เมื่อหลิงอวี๋ได้ยินคำพูดของเย่หรง ก็อดมิได้ที่จะยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อยดูภายนอกเย่หรงกำลังบอกว่าตนเป็นคนขี้ขลาด แต่แท้จริงแล้วหลิงอวี๋กลับฟังออกว่าเย่หรงกำลังทำลายความเชื่อมั่นของฮูหยินเฉียวอยู่เขาใช้คำพูดของฮูหยินเฉียวมาเตือนผู้ที่คิดจะให้เบาะแสเพื่อเงิน ให้หยุดอยู่ที่ตรงนี้ลองคิดดูเถิด ฮูหยินเฉียวบอกว่าหลิงอวี๋เป็นคนโหดเหี้ยมไร้ความปรานี และหลิงอวี๋ก็สามารถหลบหนีการไล่ล่าของตำหนักหมาป่าสวรรค์ได้ หากใครจะเปิดโปงหลิงอวี๋ เช่นนั้นหลิงอวี๋จะทนเก็บความโกรธเอาไว้มิแก้แค้นได้หรือ?เป็นดังที่คาด คำพูดนี้ของเย่หรงทำให้คนจำนวนหนึ่งมิกล้าทำต่อไปแล้ววรยุทธ์ของเย่หรงมิได้อ่อนแอ เขาเองยังบอกว่ามิสามารถหลบหนีการไล่ล่าของตำหนักหมาป่าสวรรค์ได้ และสู้หลิงอวี๋มิได้ด้วยเช่นนั้นหากเปลี่ยนเป็นตนเอง ตนจะสามารถหลบหนีการไล่ล่าของตำหนักหมาป่าสวรรค์ได้หรือ?คนที่โหดเหี้ยมไร้ความปรานีเช่นหลิงอวี๋นี้ อย่าได้ไปยั่วยุนางจะเป็นการดีกว่าแม้ว่าเงินห้าล้านจะน่าดึงดูดใจ ทว่าหากชีวิตหาไม่แล้ว ต่อให้มีเงินแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์!มุมปากของเซียวหลินเทียนก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาเช่นกัน เขาก็ฟังออกถึงความหมายของเย่
เช่นนี้ก็แสดงว่า เฉียวไป๋เองก็รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าคนที่ช่วยเขาไว้คือศัตรูของเขา?หลิงอวี๋แอบดีใจที่ตนเปลี่ยนรูปลักษณ์อีกครั้ง หลังจากที่หนีออกมาจากเงื้อมมือของเก๋อฮุ่ยหนิง มิเช่นนั้นหากใช้ใบหน้าก่อนหน้านี้ ก็คงจะถูกเก๋อฮุ่ยหนิงสังหารไปแล้วใช่หรือไม่?ดูท่าทางต่อไปตนจะมิสามารถใช้มีดผ่าตัดรักษาคนได้อีกต่อไปแล้ว!หลิงอวี๋ค้นพบแล้วว่า ที่เมืองหลวงแดนเทพนั้นล้วนเป็นหมอโอสถที่รักษาโรค มิว่าจะเป็นโรคอะไร หมอโอสถก็ล้วนใช้เพียงโอสถในการรักษาโรคเท่านั้นส่วนการผ่าตัดนั้น ในตอนนี้กลายเป็นวิธีการรักษาเฉพาะตัวของนางไปแล้วประเดี๋ยวก่อน จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของหลิงอวี๋ตนเป็นคนที่รักษาดวงตาของฮูหยินเว่ยจนหาย ตอนนั้นมีหมอจำนวนมากบอกว่าดวงตาของฮูหยินเว่ยมิสามารถรักษาได้แล้ว หากพวกนางเองก็ได้เห็นหมายจับค่าหัวด้วย พวกนางจะไปเปิดโปงตนให้กับตระกูลเฉียวหรือไม่?ตั้งแต่ที่ตนลงมาจากเรือของตระกูลเว่ย ก็ทำเพียงเปลี่ยนกลับเป็นชุดสตรี แต่มิได้เปลี่ยนการแปลงโฉม!ยิ่งไปกว่านั้น ผู้รอบรู้ก็มิได้แปลงโฉมด้วย เช่นนั้นขอเพียงติดตามเบาะแสเหล่านี้มา การจะตามหาตนก็มิใช่เรื่องยากแล้ว!หากต้องการให้ตนป
ขณะที่ก้าวเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ ทีละก้าว หลิงอวี๋ก็มองพิจารณาฮูหยินทั้งสองของตระกูลเฉียวไปอย่างเงียบ ๆฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเฉียวเป็นเสาหลักของตระกูลเฉียว เฉียวต้าลูกชายของนางซึ่งเป็นผู้นำตระกูลเฉียวตายไปแล้ว และเฉียวเค่อหลานชายที่เป็นที่รักมาโดยตลอดก็ตายไปแล้วเช่นกันฮูหยินผู้เฒ่าที่อายุหกสิบกว่าผู้นี้แก่ตัวลงมากภายในชั่วข้ามคืน และในช่วงนี้ก็นอนซมอยู่บนเตียงอยู่ตลอด นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่นางออกจากบ้านตั้งแต่ที่ลูกชายตายไปนางแต่งตัวเรียบหรูสุภาพเช่นเดียวกับฮูหยินเฉียว และเนื่องจากนางกินโอสถชะลอวัยมาหลายปี ดังนั้นแม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉียวจะอายุหกสิบแล้ว แต่บนใบหน้าของนางก็ไม่มีริ้วรอยแม้แต่น้อย ดูแล้วคล้ายกับเป็นพี่น้องกับฮูหยินเฉียวเลยทีเดียวผมของนางก็เป็นสีดำสนิททั้งหมดเช่นกัน เพียงแต่เป็นเพราะอาการป่วย จึงทำให้สีผิวดูขาวซีดไปเล็กน้อยรูปร่างของฮูหยินเฉียวสูงใหญ่กว่าสตรีทั่วไป นางสูงเกือบหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร กระดูกก็ใหญ่เช่นกัน ดูมีความสามารถมาก และระหว่างคิ้วกับตาของนางนั้นก็ล้วนเป็นความมุ่งมั่นตัดสินใจอย่างเด็ดขาด“ฮูหยินผู้เฒ่าเฉียว ฮูหยินเฉียว...”จงเจิ้งเฟยพาเหลยเหวินกั
น่าสนใจ!เซียวหลินเทียนเห็นกระบวนการทั้งหมดนั้น แล้วก็รู้สึกว่าการมาเข้าร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาที่น่าเบื่อในวันนี้ ก็มิได้น่าเบื่อถึงเพียงนั้นแล้วเขาหันไปหาเถาจื่อแล้วเอ่ยออกไป “ศิษย์พี่หญิงของเจ้าผู้นี้น่าสนใจมาก เจ้าจงเข้าใกล้นางเข้าไว้!”เถาจื่อดูท่าทีสับสน “นายท่านอู่ ท่านแน่ใจว่านางมิใช่คุณหนูมิใช่หรือเจ้าคะ? เหตุใดจึงต้องเสียเวลาไปกับนางด้วยเจ้าคะ?”เซียวหลินเทียนส่ายหัว “ไม่ ข้ามิอาจแน่ใจได้หรอก! คุณหนูของพวกเจ้าฉลาดถึงเพียงนั้น หากนางตั้งใจจะซ่อนตัวขึ้นมาจริง ๆ ก็มีวิธีมากมายนัก!”“ข่าวล่าสุดที่สือหรงส่งมาก็คือ คุณหนูของพวกเจ้าติดตามฮูหยินเว่ยมาที่เมืองหลวงแดนเทพ ขอเพียงนางอยู่ในสังคมเมืองหลวงแดนเทพนี้ นางจะต้องมาศึกษาที่สำนักศึกษาชิงหลงอย่างแน่นอน!”“สิ่งที่พวกเราต้องให้ความสำคัญก็คือสตรีที่โดดเด่นเหล่านี้ เราจะต้องตรวจสอบพวกนางทีละคน จนกว่าจะพบคุณหนูของเจ้า!”เซียวหลินเทียนเชื่อว่า ด้วยความฉลาดของหลิงอวี๋แล้ว นางไม่มีทางเป็นคนธรรมดาอย่างแน่นอน ขอเพียงคอยจับตามองสตรีที่โดดเด่นเหล่านี้เข้าไว้ เขาจะต้องหาหลิงอวี๋พบได้อย่างแน่นอน“ฉินซาน เจ้ากลับไปบอกให้สือหรงสืบประวัติของส
หลิวซานและเหล่าบัณฑิตของหอโอสถไป๋เป่าเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็พากันตำหนิหลิงอวี๋หลิวซานเป็นผู้นำดุด่าขึ้นมา “ใช่แล้ว ตนเองสร้างปัญหาไปทั่ว เมื่อถูกคนมาทำลายบ้านยังจะมาใส่ร้ายศิษย์พี่ของพวกเราอีก คงมิใช่ว่าเจ้ายากจนไม่มีเงิน จึงคิดจะขู่กรรโชกเงินจำนวนหนึ่งไปสร้างบ้านใหม่ใช่หรือไม่!”บัณฑิตคนหนึ่งก็เอ่ยออกมาอย่างดูถูกเช่นกัน “ดูจากอาภรณ์ที่นางใส่แล้ว ก็คงมิได้อยู่อาศัยในที่ที่ดีนักหรอก คงจะไปทำให้ใครขุ่นเคืองเข้าจึงถูกทุบน่ะสิ!”“ใช่แล้ว ที่อยู่ของพวกเรามีความปลอดภัยดี ไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแน่!”“สิงอวี๋ เจ้าช่างน่ารังเกียจเสียจริง! เมื่อครู่ศิษย์พี่ของเราล้อเล่นจึงพูดเช่นนั้นออกไป คาดมิถึงเลยว่าจะถูกเจ้าใส่ร้าย! เช่นนั้นหากเป็นข้าที่พูดเช่นนั้นออกไป เจ้าก็จะบอกว่าข้าทำลายบ้านเจ้าใช่หรือไม่?”จงเจิ้งเฟยกับเหลยเหวินจึงดึงหลิงอวี๋ไปถามด้วยความเป็นห่วง “บ้านของเจ้าถูกทุบจริงหรือ?”หลิงอวี๋นึกถึงเรื่องวุ่นวายในบ้านที่เห็นท่ามกลางสายฝนเมื่อวานนี้ แล้วพยักหน้าอย่างแน่วแน่นางมองเหมียวหยางอย่างเย็นชา เขายังคงหัวเราะอย่างมิกลัวเกรง พร้อมกับทำท่าทางท้าทายราวกับว่า ‘เจ้าทำอะไรข้ามิไ
เสียงของหลิงอวี๋มิได้ดัง แต่ก็แน่วแน่มีพลังพอ ทำให้คุณหนูคุณชายที่อยู่ในบริเวณนั้นได้ยินกันหมดเซียวหลินเทียนเพิ่งลงจากรถม้ามาพร้อมกับพวกเถาจื่อ เมื่อเขาได้ยินคำพูดเหล่านี้ เซียวหลินเทียนก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วก็หันไปมองน้ำเสียงนี้ พลังเช่นนี้ เหตุใดจึงคล้ายกับหลิงอวี๋มากถึงเพียงนั้นอย่ารังแกคนหนุ่มสาวที่ยากจน!ตอนนั้นที่หลิงอวี๋ถูกพวกเสิ่นจวนกลั่นแกล้งที่ภัตตาคาร หลิงอวี๋ก็เคยพูดในทำนองเดียวกันนี้“ใต้หล้านี้หากมีคนใส่ร้ายข้า หลอกลวงข้า ดูหมิ่นข้า เย้ยหยันข้า ดูถูกข้า เหยียดหยามข้า รังเกียจข้า หลอกลวงข้า ข้าควรจะลงโทษอย่างไร?”“ขอเพียงอดทนกับเขา ยอมเขา ตามใจเขา หลีกเลี่ยงเขา อดกลั้นกับเขา เคารพเขา เมินเฉยเขา และรอไปสักสองสามปีแล้วค่อยดูเขา!”พวกของเสิ่นจวนที่เคยรังแกหลิงอวี๋ในอดีตนั้น ในตอนนี้ต่างก็มีจุดจบที่น่าสังเวชทั้งสิ้น มีเพียงหลิงอวี๋เท่านั้น ที่ก้าวหน้า กลายเป็นหมอที่มีชื่อเสียง เป็นฮองเฮาที่ผู้คนนับล้านในฉินตะวันตกเคารพ!สตรีหน้าตาธรรมดาและแต่งตัวซอมซ่อตรงหน้าเขาผู้นี้ ก็มีพลังของหลิงอวี๋อยู่เช่นกันใครจะรู้ว่านางจะเป็นดังเช่นหลิงอวี๋หรือไม่ หนึ่งปีหลังจากนี้นางอาจ