เมื่อเซียวทงเห็นจ้าวเจินเจินพูดแบบนี้ก็พยักหน้าทันทีนางปรายมองหลิงอวี๋อย่างขุ่นเคืองพลางกล่าวเย้ย“พี่สะใภ้สี่ ตอนนี้ผู้ตัดสินก็มีแล้ว เจ้าคงไม่มีข้อโต้แย้งอื่นอีกใช่หรือไม่?”ความนัยแฝงคือการเย้ยที่หลิงอวี๋เป่าขนหาข้อด้อย(1)เนื่องตัวเองไร้ความสามารถหลิงอวี๋บรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว พลันกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีข้อโต้แย้ง เริ่มเลยเถิดเพคะ!”หลังจากที่เซียวทงให้อาคันตุกะเลือกผู้ตัดสินสิบคนก็เรียนเชิญปรมาจารย์ทั้งสี่นั่งลงตัดสินเหล่าองค์ชายต่างเป็นผู้ตัดสินอย่างกระตือรือร้นเพราะคนมิพอ พวกเขาจึงเพิ่มสวีฮ่าวตงที่รับตำแหน่งจอหงวน(2)คนใหม่ของปีที่แล้ว เว่ยอี้หลานชายของฮองเฮาเว่ย และจูเฮ่าพี่ชายของพระชายาเย่ ทั้งยังมีโจวเจียงชายผู้มีความสามารถที่กำลังโด่งดังอยู่เมืองหลวงในช่วงนี้เซียวทงสั่งให้นางกำนัลอุ้มกระบอกไม้เซียมซีมาให้ฝูงชนจับฉลากหลิงอวี๋จับมาหนึ่งแท่งโดยไม่ได้มองจ้าวเจินเจินและองค์หญิงหกตั้งใจทำให้ตนขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล ฉะนั้นต้องมีปัญหากับกระบอกไม้เซียมซีอย่างแน่นอนไม่ว่าตนจะจับได้ไม้ใด ผลลัพธ์ก็จะเหมือนเดิม…พระชายาเย่กับหลิงอวี๋นั่งโต๊ะเดียวกัน เมื่อเห็นหลิง
เซียวหลินเทียนชายมองเขาพลางกล่าวบ่ายเบี่ยง“วันหลังข้าจักเลี้ยงสุราต้อนรับเจ้ากลับจากแดนไกล ถึงครานั้นค่อยคุยกัน! ตอนนี้… อย่ารบกวนในขณะที่ตัวข้าเป็นผู้ตัดสิน!”เมื่อเผยอวี้ฟังก็โน้มเข้าใกล้เขาทันควัน กล่าวทั้งยิ้มอ่อนจาง“อย่างไรเสียไม่ช้าก็เร็วท่านก็ต้องหย่ากับนาง… วันนี้มีคุณหนูที่ทั้งเก่งและงดงามมากหลายอยู่ที่นี่ ท่านลองมองดูสิว่ามีใครเข้าตาท่านหรือไม่ แล้วกระหม่อมจักให้ท่านแม่กระหม่อมเป็นแม่สื่อให้ท่านเองพ่ะย่ะค่ะ!”“สตรีผู้นั้นทั้งแสนหยาบคายและโง่เขลา เดิมทีมิคู่ควรกับท่านด้วยซ้ำ! และวันนี้ท่านมิควรให้นางมาร่วมงานชมบุปผา เพื่อเลี่ยงให้ท่านขายหน้า!”เมื่อหลี่ว์จงเจ๋อฟังก็ทนมิไหวพลางกล่าวอย่างไม่พอใจ“ท่านพี่อวี้ ท่านกลับเมืองหลวงได้มินาน ท่านหาได้รู้สิ่งใดไม่ก็อย่าพูดจาส่งเดช! หลิงอวี๋… พระชายาอ๋องอี้มิใช่คนอย่างที่ท่านพูดเสียหน่อย!”“นางฉลาดยิ่งนัก… และยังมีความสามารถ! อีกทั้งจิตใจดี!”“หือ… คนที่เจ้าบอกกับคนที่ข้าพูดถึงคือคนเดียวกันหรือ?”เผยอวี้ทักขึ้นอย่างแปลกใจ ซึ่งน้ำเสียงนี้ดึงดูดคนมองมามิน้อยเลยมีสตรีหลายคนที่ยกย่องเผยอวี้ เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขาก็พลันตาพร่าหมดสิ
มีคนสองสามคนกำลังคุยกันอยู่ฝั่งนี้ ครั้นแล้วทางฝั่งองค์หญิงหกจึงตะโกน “มีคนจะสละสิทธิ์หรือไม่?”“เมื่อครู่ลืมบอกไปว่าการสละสิทธิ์นั้นต้องถูกลงโทษ และผู้ที่แข่งแต่ละรายการได้ที่สุดท้ายก็ถูกลงโทษเช่นกัน! สิ่งนี้กำหนดขึ้นเพื่อป้องกันคนไม่อยากสละสิทธิ์เนื่องกลัวโดนลงโทษโดยเฉพาะ!”ขณะที่เซียวทงพูดก็จงใจชายมองหลิงอวี๋ไปด้วยสตรีมากมายกำลังพะวงว่าจะทำอย่างไรดีหากได้ตกเป็นที่สุดท้ายแล้วต้องสวมกระโปรงน่าอายตัวนั้นเต้นรำ!เมื่อเซียวทงจ้องไปทิศทางหลิงอวี๋ พวกนางก็เหมือนรู้สึกสบายใจไปอักโขมีพระชายาอ๋องอี้ที่แสนโง่เขลา และไม่มีวิชาความรู้คอยอยู่รั้งท้าย พวกนางคงไม่มีทางได้ที่สุดท้ายหรอก!เสิ่นจวนมองทางหลิงอวี๋ก็อดเบะปากไม่ได้หลังจากที่หลิงอวี๋สวมกระโปรงนั่นเต้นรำ ท่านพี่ต้องแบกรับความอัปยศมิไหวเป็นแน่ เขาต้องกลับไปหย่ากับหลิงอวี๋แน่นอน!เมื่อถึงคราวนั้นพระสนมหรงจะกราบทูลองค์จักรพรรดิ แล้วตนก็จะออกเรือนกับท่านพี่ในฐานะพระชายาอ๋องอี้!ณ นอกงาน ฉินซานกับเหล่าองครักษ์กำลังยืนตัวตรงถึงแม้เขาจะมาคุ้มครองความปลอดภัยของงานชมบุปผา แต่ทุกสิ่งที่เกิดในสวนดอกไม้ล้วนอยู่ในสายตาพวกเขาหมดสายตาของเข
ซ่งเสี่ยวเจินบุตรีอีกคนจากตระกูลตำแหน่งผู้บัญชาการเจ้าพนักงานก็ได้พูดอย่างเที่ยงธรรมเช่นกัน“ใช่แล้ว! ดีดพิณคือการผ่อนคลายจิตใจ ทั้งยังฝึกกายบ่มใจ แม้เจ้าจะไร้ความรู้พื้นฐานการดีดพิณ แต่เจ้าก็มีสิทธิ์เข้าใจมัน!”“เอะอะกระไรกัน? นี่คือที่ที่ให้พวกเจ้ามาทะเลาะกันรึ?”แม่นางชางที่เป็นผู้ดูแลกำลังนั่งอยู่กลางเวทีได้ปรายเห็นลั่วอวี้จูผู้ตกเป็นเบี้ยล่าง พลันตะโกนปรามเสียงเฉียบขาดอย่างไม่พอใจ“คุณหนูซ่ง ในเมื่อเจ้าช่างพูดขนาดนี้ เช่นนั้นเจ้าก็มาก่อนเลย!”หลี่ว์ฟางฟางคือลูกสาวของหลี่ว์เซียง แม่นางชางยังนับว่ามีแววจึงไม่กล้าล่วงเกินหลี่ว์ฟางฟางตรง ๆทว่าซ่งเสี่ยวเจินมีบิดาเป็นแค่ขุนนางยศเล็ก ๆ นางจึงกลั่นแกล้งได้ตามใจนึก!แต่ซ่งเสี่ยวเจินก็ไม่ขลาด นางเดินอาด ๆ ไปหน้าพิณคันหนึ่งพลางล้างมือแล้วนั่งลงทักษะพิณของซ่งเสี่ยวเจินจัดว่าไพเราะ นางดีดเพลง {บัวพ้นน้ำ} ได้อย่างช่ำชอง แต่กลับไม่มีตรงใดโดดเด่นเป็นพิเศษครั้นซ่งเสี่ยวเจินบรรเลงจบก็ผลัดเป็นสตรีอีกสองคนขึ้นไป และแทบจะไม่ได้ยินเสียงการแสดงเลยทักษะพิณของหลี่ว์ฟางฟางดีกว่าซ่งเสี่ยวเจินกับคนอื่น ๆ ก่อนหน้าเล็กน้อย นางขยับนิ้วได้คล่องแคล่
“ผู้ร่วมแข่งขันคนต่อไปคือคุณหนูลั่ว…”เมื่อลั่วอวี้จูเห็นจ้าวเจินเจินดีดพิณได้ดีมากในใจก็แอบรู้สึกหมดหวังได้คว้าชัยนางเพียงคาดหวังว่าตนจะแสดงได้ดีกว่าหลี่ว์ฟางฟาง ซ่งเสี่ยวเจินและคนอื่น ๆ ก็พอแล้วถึงแพ้ให้จ้าวเจินเจินก็ไม่ขายหน้า!แม้ตนจะได้อันดับสองก็ยังคงเปล่งประกายอยู่ดี!ลั่วอวี้จูกอดความหวังนี้ไว้พลางนั่งลงแต่ไม่รู้ไฉนจึงเครียดนัก ทั้งยังถูกอิทธิพลอันโดดเด่นของจ้าวเจินเจินเข้าไป นางจึงดีดพลาดหลายเสียงตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อบรรเลงเพลงจบ ใบหน้าลั่วอวี้จูก็แดงไปหมด ทั้งโกรธและร้อนใจ นี่ไม่ใช่ระดับของตนในเวลาปกติแน่นอน!ครั้งนี้นางเล่นได้แย่มากทีเดียว นางจักต้องเป็นคนสุดท้ายจริงหรือ?!มิถูกมิถูก!แม้นางจะดีดได้ไม่ดี แต่ก็คงไม่แย่ไปกว่าหลิงอวี๋ผู้โง่เขลาคนนั้นหรอก!อย่างไรเสียนอกจากวิชาแพทย์แล้ว หลิงอวี๋ก็เป็นคนโง่ที่ไม่รู้ด้านดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการวาดภาพอะไรเลย!พอคิดว่าตนจะไม่ใช่คนอยู่รั้งท้าย อารมณ์ของลั่วอวี้จูก็สดใสขึ้นหลายส่วนนางแทบทนรอที่จะดูฉากหลิงอวี๋ขายหน้าไม่ไหวแล้ว!ขณะคิดเรื่องนี้อยู่ แม่นางชางก็ประกาศต่อคนที่อยู่ข้างล่างเวที“ผู้ร่วมแข่งขันคนสุดท้
ฉับพลันนั้นฝูงชนต่างมองหน้ากัน ส่วนจ้าวเจินเจินกับแม่นางชางก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกนางจัดว่าเป็นสาวงามที่เล่นพิณในหมู่สตรีแห่งฉินตะวันตกเชียวนะ!แต่ไม่มีใครในพวกนางมีความสามารถดีดพิณสองคันพร้อมกันได้แม่นางชางกล่าวไม่พอใจ “พระชายาอ๋องอี้ นี่คือการประลอง มิใช่ให้เจ้ามาก่อกวน!”หลิงอวี๋มองทางแม่นางชางอีกครั้งการจ้องมองที่ไร้กังวลของหลิงอวี๋ทำให้แม่นางชางรู้สึกประหม่า พลางหลบสายตาหลิงอวี๋โดยสัญชาตญาณสายตาของพระชายาอ๋องอี้ผู้นี้ราวกับมองทะลุปรุโปร่งทุกสิ่งเสียอย่างนั้น!เป็นไปไม่ได้ แดนดินแห่งนี้ นอกจากตนแล้วจะมีผู้ใดแยกความต่างเล็ก ๆ ของเสียงพิณออกได้อีกเล่า?หลิงอวี๋มองผู้ตัดสินอีกสามคนก็พลันเห็นหลวงจีนอวี๋ขยิบตาให้ตนอย่างซุกซนหลวงจีนอวี๋อายุหกสิบกว่าปีแล้ว มีเกศาขาวทั่วศีรษะ แต่ดวงตากลับมีชีวิตชีวายิ่ง“การดีดพิณสองคันพร้อมกัน ข้ายังมิเคยเห็นมาก่อน แม้เป็นการก่อกวนก็ดียิ่ง ไม่ว่าทำเป็นจริงหรือไม่ก็ช่าง แม่นางชาง เจ้าให้พระชายาอ๋องอี้ลองดูหน่อยเถิด!”หลังจากที่หลวงจีนอวี๋เอื้อนเอ่ย หลวงจีนซุนก็มองหลิงอวี๋อย่างใคร่รู้เช่นกันจึงพยักหน้าเห็นด้วยแม่นางชางจนปัญญาจึงสั่งนางกำนัลจัดว
แม้ว่าทุกคนจะนั่งใต้แสงตะวัน แต่ได้รับผลกระทบจากเสียงพิณหลิงอวี๋จนทำให้บางคนรู้สึกถึงความหนาว พลางมองนภาโดยสัญชาตญาณ นี่ฝนจะตกหรือ?เสียงพิณตราตรึงในอารมณ์ของฝูงชน คล้ายดั่งพวกเขารับรู้ถึงลมที่กำลังหมุนวน จากไกลสู่ใกล้ จากช้าสู่เร็ว…ลมแรงทวีโหมหนักขึ้นเรื่อย ๆ พัดจนเปลี่ยนสีนภาเป็นมืดสลัว ต้นไม้ใหญ่ถูกขุดรากถอนโคน หลังคาหญ้าถูกพัดกระพือ พัดพากรวดทรายปลิวว่อนทุกแห่งหน…เนื่องเปลี่ยนการบรรเลงหลายครา บรรยากาศจึงค่อย ๆ มาถึงจุดสูงสุด!ท่ามกลางพายุ ราษฎร ทหารต่างกอบกู้ทรัพย์สมบัติกันสุดชีวิต โดยการต่อสู้กับพายุไต้ฝุ่น…ความเด็ดเดี่ยว ความกล้าหาญ และความไม่ย่อท้อ แรงกรีดเต็มขั้นกำลังสั่นสะเทือนบนสายพิณทั้งสอง!ไม่มีผู้ใดสนใจการไล่นิ้วของหลิงอวี๋ มีเพียงไม่กี่คนที่สังเกตว่ามือทั้งสองข้างของหลิงอวี๋กำลังไล่ไปมาบนสายพิณทั้งสองทุกคนถูกเสียงพิณพาเข้าท่ามกลางพายุพลางต่อสู้กับลมฝนอย่างสุดชีวี…นอกจากแม่นางชางกับจ้าวเจินเจินก็ไม่มีใครสังเกตได้ว่าคล้ายมีสายพิณขาดเสียแล้ว…ฝนตกห่าใหญ่ และเสียงกระโชกอันบ้าคลั่งของพายุไต้ฝุ่นกลบเสียงเล็ก ๆ นั้น…แต่ละคนต่างแข่งกับเวลารีบระดมกำลังช่วยให้พ้นภั
การให้ท้ายที่โจ้งแจ้งเช่นนี้ทำให้มีคนข้างล่างเวทีมิน้อยโกรธขึ้นทันที อันเจ๋อเองก็อดพูดเหน็บแนมมิได้“แม่นางชางกำลังเย้ยว่าเรามิเข้าใจพิณหรือ? สายพิณขาดเราล้วนสังเกตมิพบ ซึ่งนั่นพิสูจน์ได้ว่าทักษะพิณของพระชายาอ๋องอี้เลิศล้ำยิ่ง สามารถแปลงเหตุร้ายเป็นเหตุดีได้ เดิมทีสิ่งนี้มิเกี่ยวกับความผิดพลาดด้วยซ้ำ!”แม้ก่อนหน้าเผยอวี้จะรู้สึกว่าหลิงอวี๋ไม่คู่ควรกับเซียวหลินเทียน แต่บทเพลงนี้ของหลิงอวี๋ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเดือดเลือดพล่านครั้นอยู่บนสนามรบถึงแม้เขาไม่แตกฉานการดีดพิณ แต่ก็ฟังรู้ว่าทักษะพิณของหลิงอวี๋เหนือกว่าจ้าวเจินเจินหลายชั้นนักขณะที่เผยอวี้กำลังจะพูดช่วยหลิงอวี๋ เซียวทงพลันพูดแทรกขึ้นมาทันควัน“กระไรนะ? หลิงอวี๋ เจ้าทำสายพิณขาดรึ? เจ้ารู้หรือไม่ว่ากู่ฉินอี้หยางล้ำค่ามากเพียงใด?”“นั่นเป็นของที่มีเงินก็ซื้อไม่ได้ เจ้าชดใช้ไหวรึ?”หลิงอวี๋ยกยิ้มหยัน นางไม่สนใจคำพูดขององค์หญิงหก แต่กลับเลิกคิ้วต่อแม่นางชางเสียแทน“แม่นางชาง ท่านมิได้มาตรวจดูด้วยซ้ำ ท่านมั่นใจได้เช่นไรว่าสายพิณขาดเล่า?”แม่นางชางพูดอย่างมั่นใจสุดขีดว่า “ขาดแน่นอน! ทุกคนรู้ดีว่าสองหูข้าฟังจุดผิดของดนตรีออก