“หม่อมฉันว่าสร้อยไข่มุกบนคอองค์หญิงหกช่างพิเศษนัก จี้สีเขียวนั่นทำจากวัสดุกระไรเพคะ? ดูมีระดับยิ่งนัก!”หลิงอวี๋กล่าวพลางยิ้มตาหยี “องค์หญิงหกเพคะ สร้อยไข่มุกเส้นนี้นำมาเป็นรางวัลชิ้นที่สามได้หรือไม่เพคะ?”เซียวทงปิดจี้หินโมราเขียวโดยสัญชาตญาณนี่คือของที่องค์จักรพรรดิยึดได้จากสนามรบข้าศึกแห่งฉีตะวันออกในคราก่อน ซึ่งมันมีมูลค่ามหาศาล!นางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่ว่าหลิงอวี๋จะพูดอะไรนางจะไม่นำสร้อยหินโมราเขียวมาเป็นรางวัลเด็ดขาดสิ่งนี้นางกะจะเก็บไว้เป็นสินเดิมในอนาคต!เซียวทงยังไม่ทันเอื้อนเอ่ย หลิงอวี๋พลันพูดว่า “องค์หญิงหกได้รับความเอ็นดูจากองค์จักรพรรดิและไทเฮาโดยแท้!”“เครื่องประดับที่ดูธรรมดาบนพระวรกายล้วนคือของล้ำค่าหายากทั้งสิ้น ในพระตำหนักขององค์หญิงยังต้องมีสมบัติหายากอีกมากโขเป็นแน่!”“องค์หญิงหก สร้อยไข่มุกเส้นนี้ท่านนำมาเป็นรางวัลเถิดเพคะ! โปรดอย่าเสียดายไปเลย… พวกเราต่างไม่เคยพบเห็นสมบัติดี ๆ ขนาดนี้มาก่อน ได้โปรดท่านมอบประสบการณ์แก่เราด้วยเถิด!”“เห้อ เมื่อเทียบกับท่าน พวกเราช่างต่ำต้อยเกินไป! เราไม่มีกระทั่งเครื่องประดับดี ๆ สักชิ้นด้วยซ้ำเพคะ!”หลิงอวี๋เสแสร้งทอด
ครั้นหลิงอวี๋พบว่าบรรลุเป้าหมายก็ปรบมือทั้งกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าว่าแล้วเชียว องค์หญิงต้องมีเครื่องประดับมากมาย พี่ ๆ น้อง ๆ ทั้งหลาย ผู้ใดที่คว้าชัยได้จักต้องขอบพระทัยองค์หญิงหกเป็นแน่!”หลิงอวี๋เชิดริมฝีปาก หัวใจเซียวทงเต้นรัวทันใด สีหน้าผกผันไปเล็กน้อย ราวกับกลัวว่าหลิงอวี๋จะเล็งเครื่องประดับบางอย่างของตนอีกบนตัวเซียวทงไม่มีของล้ำค่าอะไรเหลือแล้ว ยกเว้นหยกห้อยเอวชิ้นนั้นที่องค์จักรพรรดิมอบให้ หรือนางจะเอาหยกห้อยเอวไปเป็นรางวัลอีกเล่า?“เป็นไปมิได้เด็ดขาด!”หากหลิงอวี๋กล้าขอหยกห้อยเอวเป็นรางวัลอีก นางจะชักสีหน้าใส่นางเดี๋ยวนี้เลย!เมื่อหลิงอวี๋เห็นสีหน้าเซียวทงเป็นสีเขียวก็ยิ้มน้อย ๆ กล่าวอย่างใส่ใจ“องค์หญิงหกนำสมบัติล้ำค่าออกมามากปานนี้แล้ว สำหรับชิ้นที่สี่ก็ให้คนอื่นออกแทนเถอะเพคะ!”หลิงอวี๋มองทางจ้าวเจินเจิน กล่าวพลางยิ้มตาหยีว่า“เมื่อครู่องค์หญิงหกตรัสว่าภาพเขียนของพี่สะใภ้รองไร้ผู้ใดเทียม หลิงอวี๋จำได้ว่าพี่สะใภ้รองได้ที่หนึ่งของงานบุปผาในปีที่แล้ว ทั้งยังลือว่าผู้ที่ได้ที่หนึ่งนั้นได้รับรางวัลเป็นมงกุฎดอกโบตั๋น!”“ว่ากันว่ามงกุฎดอกโบตั๋นได้รับการสนับสนุนจากตระกูลกวนในคร
เซียวทงถลึงมองหลิงอวี๋พลางกล่าวเหลืออด“พี่สะใภ้สี่ช่างรอบคอบจริง ๆ! โปรดวางใจ ตัวข้าเตรียมผู้ตัดสินไว้เรียบร้อย! ผู้ที่รับเชิญมาทั้งสี่ในวันนี้ต่างคือปรมาจารย์ทั้งสิ้น!”“ด้านศิลปะดีดพิณคือแม่นางชางหัวหน้านักดนตรีแห่งวังหลวง… ด้านหมากล้อมคือหลวงจีนอวี๋ ด้านอักษรศิลป์คือหลวงจีนซุนอดีตประมุขแห่งสำนักเยวี่ยลู่ ส่วนด้านวาดภาพคือแม่ชีเฉินแห่งสำนักชิงเถิง”เมื่อวาจานี้ขององค์หญิงหกได้เอื้อนเอ่ยก็ดึงดูดความปั่นป่วนทันที ปรมาจารย์ทั้งสี่ท่านต่างคือผู้อาวุโสมากชื่อแห่งลัทธิเต๋าแม่นางชางเชี่ยวชาญเครื่องดนตรีหลายประเภท และมีหูที่แหลมคมจนชวนคนอิจฉานางสามารถจับผิดจังหวะของเครื่องดนตรีได้ทุกประเภทท่ามกลางเสียงอันวุ่นวายส่วนหลวงจีนอวี๋ที่อายุหกสิบในปีนี้ เขาเริ่มเรียนหมากล้อมตั้งแต่สามขวบ และเมื่ออายุได้ยี่สิบปีก็ไม่มีคู่ต่อสู้คนใดในแผ่นดินคว่ำเขาลงหลวงจีนซุนอดีตประมุขแห่งสำนักเยวี่ยลู่เป็นผู้เชี่ยวชาญมีชื่อด้านอักษรศิลป์ เขาไม่เพียงช่ำชองลายมือหลายแบบ แต่เขายังมีลายเส้นโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกด้วยที่ยิ่งสำคัญกว่านั้นคือ หลวงจีนซุนอบรมบ่มเพาะศิษย์มาทั้งชีวิต และลูกศิษย์ก็มีทั่วทุ
เมื่อเซียวทงเห็นจ้าวเจินเจินพูดแบบนี้ก็พยักหน้าทันทีนางปรายมองหลิงอวี๋อย่างขุ่นเคืองพลางกล่าวเย้ย“พี่สะใภ้สี่ ตอนนี้ผู้ตัดสินก็มีแล้ว เจ้าคงไม่มีข้อโต้แย้งอื่นอีกใช่หรือไม่?”ความนัยแฝงคือการเย้ยที่หลิงอวี๋เป่าขนหาข้อด้อย(1)เนื่องตัวเองไร้ความสามารถหลิงอวี๋บรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว พลันกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีข้อโต้แย้ง เริ่มเลยเถิดเพคะ!”หลังจากที่เซียวทงให้อาคันตุกะเลือกผู้ตัดสินสิบคนก็เรียนเชิญปรมาจารย์ทั้งสี่นั่งลงตัดสินเหล่าองค์ชายต่างเป็นผู้ตัดสินอย่างกระตือรือร้นเพราะคนมิพอ พวกเขาจึงเพิ่มสวีฮ่าวตงที่รับตำแหน่งจอหงวน(2)คนใหม่ของปีที่แล้ว เว่ยอี้หลานชายของฮองเฮาเว่ย และจูเฮ่าพี่ชายของพระชายาเย่ ทั้งยังมีโจวเจียงชายผู้มีความสามารถที่กำลังโด่งดังอยู่เมืองหลวงในช่วงนี้เซียวทงสั่งให้นางกำนัลอุ้มกระบอกไม้เซียมซีมาให้ฝูงชนจับฉลากหลิงอวี๋จับมาหนึ่งแท่งโดยไม่ได้มองจ้าวเจินเจินและองค์หญิงหกตั้งใจทำให้ตนขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล ฉะนั้นต้องมีปัญหากับกระบอกไม้เซียมซีอย่างแน่นอนไม่ว่าตนจะจับได้ไม้ใด ผลลัพธ์ก็จะเหมือนเดิม…พระชายาเย่กับหลิงอวี๋นั่งโต๊ะเดียวกัน เมื่อเห็นหลิง
เซียวหลินเทียนชายมองเขาพลางกล่าวบ่ายเบี่ยง“วันหลังข้าจักเลี้ยงสุราต้อนรับเจ้ากลับจากแดนไกล ถึงครานั้นค่อยคุยกัน! ตอนนี้… อย่ารบกวนในขณะที่ตัวข้าเป็นผู้ตัดสิน!”เมื่อเผยอวี้ฟังก็โน้มเข้าใกล้เขาทันควัน กล่าวทั้งยิ้มอ่อนจาง“อย่างไรเสียไม่ช้าก็เร็วท่านก็ต้องหย่ากับนาง… วันนี้มีคุณหนูที่ทั้งเก่งและงดงามมากหลายอยู่ที่นี่ ท่านลองมองดูสิว่ามีใครเข้าตาท่านหรือไม่ แล้วกระหม่อมจักให้ท่านแม่กระหม่อมเป็นแม่สื่อให้ท่านเองพ่ะย่ะค่ะ!”“สตรีผู้นั้นทั้งแสนหยาบคายและโง่เขลา เดิมทีมิคู่ควรกับท่านด้วยซ้ำ! และวันนี้ท่านมิควรให้นางมาร่วมงานชมบุปผา เพื่อเลี่ยงให้ท่านขายหน้า!”เมื่อหลี่ว์จงเจ๋อฟังก็ทนมิไหวพลางกล่าวอย่างไม่พอใจ“ท่านพี่อวี้ ท่านกลับเมืองหลวงได้มินาน ท่านหาได้รู้สิ่งใดไม่ก็อย่าพูดจาส่งเดช! หลิงอวี๋… พระชายาอ๋องอี้มิใช่คนอย่างที่ท่านพูดเสียหน่อย!”“นางฉลาดยิ่งนัก… และยังมีความสามารถ! อีกทั้งจิตใจดี!”“หือ… คนที่เจ้าบอกกับคนที่ข้าพูดถึงคือคนเดียวกันหรือ?”เผยอวี้ทักขึ้นอย่างแปลกใจ ซึ่งน้ำเสียงนี้ดึงดูดคนมองมามิน้อยเลยมีสตรีหลายคนที่ยกย่องเผยอวี้ เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขาก็พลันตาพร่าหมดสิ
มีคนสองสามคนกำลังคุยกันอยู่ฝั่งนี้ ครั้นแล้วทางฝั่งองค์หญิงหกจึงตะโกน “มีคนจะสละสิทธิ์หรือไม่?”“เมื่อครู่ลืมบอกไปว่าการสละสิทธิ์นั้นต้องถูกลงโทษ และผู้ที่แข่งแต่ละรายการได้ที่สุดท้ายก็ถูกลงโทษเช่นกัน! สิ่งนี้กำหนดขึ้นเพื่อป้องกันคนไม่อยากสละสิทธิ์เนื่องกลัวโดนลงโทษโดยเฉพาะ!”ขณะที่เซียวทงพูดก็จงใจชายมองหลิงอวี๋ไปด้วยสตรีมากมายกำลังพะวงว่าจะทำอย่างไรดีหากได้ตกเป็นที่สุดท้ายแล้วต้องสวมกระโปรงน่าอายตัวนั้นเต้นรำ!เมื่อเซียวทงจ้องไปทิศทางหลิงอวี๋ พวกนางก็เหมือนรู้สึกสบายใจไปอักโขมีพระชายาอ๋องอี้ที่แสนโง่เขลา และไม่มีวิชาความรู้คอยอยู่รั้งท้าย พวกนางคงไม่มีทางได้ที่สุดท้ายหรอก!เสิ่นจวนมองทางหลิงอวี๋ก็อดเบะปากไม่ได้หลังจากที่หลิงอวี๋สวมกระโปรงนั่นเต้นรำ ท่านพี่ต้องแบกรับความอัปยศมิไหวเป็นแน่ เขาต้องกลับไปหย่ากับหลิงอวี๋แน่นอน!เมื่อถึงคราวนั้นพระสนมหรงจะกราบทูลองค์จักรพรรดิ แล้วตนก็จะออกเรือนกับท่านพี่ในฐานะพระชายาอ๋องอี้!ณ นอกงาน ฉินซานกับเหล่าองครักษ์กำลังยืนตัวตรงถึงแม้เขาจะมาคุ้มครองความปลอดภัยของงานชมบุปผา แต่ทุกสิ่งที่เกิดในสวนดอกไม้ล้วนอยู่ในสายตาพวกเขาหมดสายตาของเข
ซ่งเสี่ยวเจินบุตรีอีกคนจากตระกูลตำแหน่งผู้บัญชาการเจ้าพนักงานก็ได้พูดอย่างเที่ยงธรรมเช่นกัน“ใช่แล้ว! ดีดพิณคือการผ่อนคลายจิตใจ ทั้งยังฝึกกายบ่มใจ แม้เจ้าจะไร้ความรู้พื้นฐานการดีดพิณ แต่เจ้าก็มีสิทธิ์เข้าใจมัน!”“เอะอะกระไรกัน? นี่คือที่ที่ให้พวกเจ้ามาทะเลาะกันรึ?”แม่นางชางที่เป็นผู้ดูแลกำลังนั่งอยู่กลางเวทีได้ปรายเห็นลั่วอวี้จูผู้ตกเป็นเบี้ยล่าง พลันตะโกนปรามเสียงเฉียบขาดอย่างไม่พอใจ“คุณหนูซ่ง ในเมื่อเจ้าช่างพูดขนาดนี้ เช่นนั้นเจ้าก็มาก่อนเลย!”หลี่ว์ฟางฟางคือลูกสาวของหลี่ว์เซียง แม่นางชางยังนับว่ามีแววจึงไม่กล้าล่วงเกินหลี่ว์ฟางฟางตรง ๆทว่าซ่งเสี่ยวเจินมีบิดาเป็นแค่ขุนนางยศเล็ก ๆ นางจึงกลั่นแกล้งได้ตามใจนึก!แต่ซ่งเสี่ยวเจินก็ไม่ขลาด นางเดินอาด ๆ ไปหน้าพิณคันหนึ่งพลางล้างมือแล้วนั่งลงทักษะพิณของซ่งเสี่ยวเจินจัดว่าไพเราะ นางดีดเพลง {บัวพ้นน้ำ} ได้อย่างช่ำชอง แต่กลับไม่มีตรงใดโดดเด่นเป็นพิเศษครั้นซ่งเสี่ยวเจินบรรเลงจบก็ผลัดเป็นสตรีอีกสองคนขึ้นไป และแทบจะไม่ได้ยินเสียงการแสดงเลยทักษะพิณของหลี่ว์ฟางฟางดีกว่าซ่งเสี่ยวเจินกับคนอื่น ๆ ก่อนหน้าเล็กน้อย นางขยับนิ้วได้คล่องแคล่
“ผู้ร่วมแข่งขันคนต่อไปคือคุณหนูลั่ว…”เมื่อลั่วอวี้จูเห็นจ้าวเจินเจินดีดพิณได้ดีมากในใจก็แอบรู้สึกหมดหวังได้คว้าชัยนางเพียงคาดหวังว่าตนจะแสดงได้ดีกว่าหลี่ว์ฟางฟาง ซ่งเสี่ยวเจินและคนอื่น ๆ ก็พอแล้วถึงแพ้ให้จ้าวเจินเจินก็ไม่ขายหน้า!แม้ตนจะได้อันดับสองก็ยังคงเปล่งประกายอยู่ดี!ลั่วอวี้จูกอดความหวังนี้ไว้พลางนั่งลงแต่ไม่รู้ไฉนจึงเครียดนัก ทั้งยังถูกอิทธิพลอันโดดเด่นของจ้าวเจินเจินเข้าไป นางจึงดีดพลาดหลายเสียงตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อบรรเลงเพลงจบ ใบหน้าลั่วอวี้จูก็แดงไปหมด ทั้งโกรธและร้อนใจ นี่ไม่ใช่ระดับของตนในเวลาปกติแน่นอน!ครั้งนี้นางเล่นได้แย่มากทีเดียว นางจักต้องเป็นคนสุดท้ายจริงหรือ?!มิถูกมิถูก!แม้นางจะดีดได้ไม่ดี แต่ก็คงไม่แย่ไปกว่าหลิงอวี๋ผู้โง่เขลาคนนั้นหรอก!อย่างไรเสียนอกจากวิชาแพทย์แล้ว หลิงอวี๋ก็เป็นคนโง่ที่ไม่รู้ด้านดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการวาดภาพอะไรเลย!พอคิดว่าตนจะไม่ใช่คนอยู่รั้งท้าย อารมณ์ของลั่วอวี้จูก็สดใสขึ้นหลายส่วนนางแทบทนรอที่จะดูฉากหลิงอวี๋ขายหน้าไม่ไหวแล้ว!ขณะคิดเรื่องนี้อยู่ แม่นางชางก็ประกาศต่อคนที่อยู่ข้างล่างเวที“ผู้ร่วมแข่งขันคนสุดท้