หลิงอวี๋เห็นท่าทีของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอ่อนลง อีกทั้งความตั้งใจเดิมก็เป็นความหวังดี จึงปล่อยไม้เท้าแล้วเอ่ยเสียงเรียบ“ขอเพียงเจ้ามิทำร้ายพวกเรา จะอะไรก็คุยง่ายทั้งนั้น ไปเถิด!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยถูกเผยอวี้ยิงที่น่องจนบาดเจ็บ ทั้งยังถูกธนูยิงเข้าที่ท้องน้อยอีกด้วย จึงเดินมิเร็วนักหลิงอวี๋จึงให้หานเหมยประคองนาง ส่วนตนก็สำรวจเส้นทางอยู่ข้างหน้าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยคิดว่าภูเขาหิมะแห่งนี้ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา หลิงอวี๋หนีไปมิพ้น จึงมิกังวลเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด อุณหภูมิก็ลดลงอย่างรวดเร็วตามที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยบอกไว้ตอนที่ทั้งสามคนอยู่ที่ฉินตะวันตกเป็นวสันตฤดู จึงมิได้สวมเสื้อผ้ามากนัก ไหนเลยจะคิดว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะพาพวกนางมาที่ภูเขาหิมะ พวกนางต่างก็หนาวจนตัวสั่นกันไปหมดหลิงอวี๋รู้สึกเพียงว่าร่างกายของตนเริ่มจะแข็ง และในที่สุดก่อนฟ้ามืดก็พบร่องเขาแห่งหนึ่งที่พอจะให้ทั้งสามคนเข้าไปซ่อนตัวได้ร่องเขาเป็นช่องตรงกลางของก้อนหินหลายก้อน ข้างหน้าไม่มีที่กำบัง ทั้งสามคนจึงเกาะกลุ่มเข้าด้วยกันแล้วพิงกันเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นลมหนาวพัดอย่างรุนแรงอยู่ข้างนอก ทั้งสามคนมิได้เอาของกินใด ๆ มา เดินกันมานานก็หิวโ
เมื่อนึกถึงเฉียวเค่อ จู่ ๆ จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็มีความหวังขึ้นมาอีกครั้งเป้าหมายของเฉียวเค่อในการมาที่ฉินตะวันตกครานี้คือการจับตัวหลิงอวี๋ ตราบใดที่หลิงอวี๋อยู่ในมือของตน เฉียวเค่อจะต้องหาวิธีตามหาพวกนางอย่างแน่นอนเมื่อถึงตอนนั้นก็จะสามารถหนีไปจากสถานที่แย่ ๆ นี้ได้แน่!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย มิรู้ว่าเผลอหลับไปเมื่อใดหลิงอวี๋และหานเหมยกอดกันเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและค่อย ๆ หลับไปเช่นกันแต่เมื่อถึงกลางดึก ทั้งสามคนต่างก็ถูกความหนาวเย็นปลุกให้ตื่นขึ้นมาอุณหภูมิในภูเขาหิมะลดลงเร็วเกินไป และหิมะที่ลมหนาวพัดมาก็ตกลงมาบนตัวของทั้งสามคน ทำให้ทั้งสามหนาวเหน็บจนร่างจะแข็งจ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิสนใจความแค้นของนางกับพวกหลิงอวี๋ เบียดเสียดเข้าไประหว่างทั้งสองนั้นแล้วพยายามให้ทั้งสองคนทำให้ตนอบอุ่นยาวนานกว่าจะถึงรุ่งสาง จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็รู้สึกว่าตนหิวมากจนกินหมูทั้งตัวได้เลย“มิได้ พวกเราจะเดินทางเช่นนี้มิได้ ต้องหาอาหารให้อิ่มท้องแล้วค่อยลงจากภูเขา!”“มิเช่นนั้นพวกเราคงไม่มีแรงเดินลงภูเขาแน่!”อุณหภูมิร่างกายที่ลดลงทำให้พลังงานของทั้งสามคนหมดไป จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเองก็ไม่มีแรงแล้ว แต่ก
วัง?บนภูเขาหิมะจะมีวังได้อย่างไร?หลิงอวี๋มองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนเมื่อครู่บนภูเขายังคงมีหมอกอยู่ จึงมองเห็นฝั่งตรงข้ามมิชัดเจนแต่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นส่องแสงเหล่ากลุ่มหมอกก็สลายหายไป วังแห่งนั้นจึงปรากฏขึ้นมาหลังคาสูงและกำแพงที่ดูสง่างามนั้นสีขาวราวกับหิมะที่อยู่รอบ ๆ สะท้อนแสงอาทิตย์และส่องแสงระยิบระยับออกมา!มันคือวังจริง ๆ วังน้ำแข็ง!หลิงอวี๋รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อเห็นวังก็หมายความว่ามีคนอยู่ เช่นนั้นพวกนางก็ไม่มีทางหิวและแข็งตายอยู่บนภูเขาหิมะนี้แล้วหลิงอวี๋รีบสังเกตเส้นทางไปสู่วังน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ขอเพียงลงจากภูเขาหิมะนี้ แล้วหาเส้นทางภูเขาฝั่งตรงข้ามก็สามารถเข้าถึงวังน้ำแข็งได้แล้วหลิงอวี๋จดจำทิศทางของวังน้ำแข็งแล้วย้อนกลับไปตามทางที่มานางยังคงคิดถึงกระต่ายตัวนั้นอยู่นึกได้ว่าจะไปวังน้ำแข็งจะต้องใช้กำลัง หากมิได้กินอะไรสักหน่อย ก็คงเป็นเรื่องยากที่พวกนางจะไปถึงวังน้ำแข็งแห่งนั้น!หลิงอวี๋มีความหวังขึ้นมาแล้ว นางจึงมองหาร่องรอยของกระต่ายอย่างใจเย็น มิช้าหลิงอวี๋ก็พบมูลสัตว์เมื่อตามทิศทางของมูลไป ในที่สุดหลิงอวี๋ก็พบกระต่ายหิมะสองสามตัวกำลังกินอาหารอยู่ใน
หากหานเหมยเชื่อฟังและอยู่ต่อก็ช่างไป มิฉะนั้นนางจะฆ่าหานเหมยเสีย...หากหาอะไรกินมิได้เลยจริง ๆ หานเหมยก็พอที่จะให้ตนอดทนจนเฉียวเค่อมาตามหาได้!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยหิวมากจนหมดเรี่ยวแรง จนทนมิไหวแล้วจริง ๆ เนื้อมนุษย์นางก็กินได้ขณะที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยยกมีดเล็งไปที่คอหานเหมย ก็ได้ยินเสียงของหลิงอวี๋จากข้างนอก “เสี่ยวอวี้ เจ้าออกมาดูสิ พี่ตีกระต่ายมาให้เจ้าตัวหนึ่งนะ!”หานเหมยหลุดพ้นจากการควบคุมของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอย่างมีความสุขแล้วมุดออกไปจ้าวหรุ่ยหรุ่ยออกแรงมากเกินไปจึงล้มลงไปกับพื้น นางรีบซ่อนกริชไว้ก่อนที่จะเดินออกมาหลิงอวี๋มิได้ทิ้งพวกนาง!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยพูดมิออกว่าในใจรู้สึกอย่างไร ทั้งมีความสุขและมีความสับสนเล็กน้อยหากเปลี่ยนเป็นตนคงจะใช้โอกาสนี้หลบหนีไปตามลำพังอย่างแน่นอนภูเขาหิมะที่เหน็บหนาวและยาวไปสุดลูกหูลูกตานี้เมื่อไรจึงจะออกไปได้ หนีไปคนเดียวจะมิสะดวกกว่าหรือ?“พี่หญิง เป็นกระต่ายจริง ๆ ด้วย พี่หญิงสุดยอดมาก!”หานเหมยรับกระต่ายที่หลิงอวี๋ส่งมาแล้วกรีดร้องอย่างตื่นเต้นจ้าวหรุ่ยหรุ่ยมองไปที่กระต่าย แล้วคิดถึงสิ่งที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ หากหลิงอวี๋สามารถหาของกินมาได้ ต่อไปต
“หลิงอวี๋!” “ในปีนั้นเจ้าวางแผนการชั่วร้ายใส่ข้าอย่างไร้ยางอาย… จากนั้นยังใช้ป้ายทองอาญาสิทธิ์ที่องค์จักรพรรดิพระราชทานให้มาบีบบังคับให้ข้าแต่งงานกับเจ้า...” “มาตอนนี้ยังลอบขโมยของล้ำค่าที่เสด็จแม่ของข้าทิ้งเอาไว้ เพื่อเติมเต็มสิ่งที่เจ้าขาดหายไป! ยิ่งไปกว่านั้นคือทำร้ายเฮยจื่อเสียจนปางตาย!” “หากว่าข้ายังไว้ชีวิตเจ้าอีก ข้าก็คงจะไม่แซ่เซียวแล้ว!” ใคร? ใครกำลังพูดอยู่กัน ขณะที่เธอกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแส้ “เพียะ!” ดังขึ้น ทั่วทั้งตัวของหลิงอวี๋เจ็บปวดจนสั่นสะท้าน จนต้องลืมตาขึ้นมาทันที... จากนั้นเมื่อมองเห็นด้านหน้าของเธอ มีชายหนุ่มหล่อเหลา สูงส่งราวกับเทพเจ้านั่งอยู่บนรถเข็น จ้องมองยังเธออย่างแข็งกร้าว “โบย! ห้าสิบแส้! อย่าให้ขาดแม้แต่หนึ่ง!” “โบยให้ตาย แล้วจงลากไปโยนทิ้งที่สุสานรวมซะ!” เพียะ! เพียะ! เพียะ! เสียงแส้ดังออกมาพร้อมกับเสียงลมครั้งแล้วครั้งเล่ากระแทกลงบนกายของหลิงอวี๋ หลิงอวี๋เจ็บปวดจนดวงตามืดมน อีกเพียงนิดเกือบจะเป็นลมไป... หลิงอวี๋ที่เกือบจะสิ้นลมไป เธอนึกไม่ออกว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น? ท่านอ๋องอะไรกัน? เฮยจื่ออะไร? เมื่อคร
“อย่าตีท่านแม่ของข้า...” หลังจากที่เสี่ยวเมาล้มบนพื้น กระอักเลือดออกมาแล้วก็คลานเข้าไปหาหลิงอวี๋อย่างไม่ยินยอม ยังคิดที่จะใช้ร่างกายที่อ่อนแอของตนช่วยรับแส้ให้กับนางอีก หลิงอวี๋มองไปยังมุมปากของเสี่ยวเมาที่ยังคงมีเลือดไหลซึม ในใจก็ยิ่งสั่นสะท้านขึ้นมา… ในความทรงจำนั้น หลิงอวี๋ใส่ใจเสี่ยวเมาน้อยนัก ทำให้เสี่ยวเมาที่คลอดมาแข็งแรงมาก กลับยิ่งเลี้ยงดูก็ยิ่งผอมบาง... “ท่านอ๋อง… นี่? โบยต่อหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” มือเฆี่ยนเอ่ยถามออกมาอย่างระมัดระวัง “ลากลูกนอกสมรสนั่นออกไป โบยต่อ!” ชายหนุ่มสูงส่งราวกับเทพเจ้านั้น ถึงแม้ว่าจะเห็นเสี่ยวเมากระอักเลือดออกมา ก็ยังคงดูเฉยชาไร้ซึ่งอารมณ์ดั่งเก่า “เสี่ยวเมา ไปเถอะ ปกตินางก็ไม่ได้ดูแลเจ้าดีนัก เจ้ายังสนใจว่านางจะเป็นตายไปเพื่อเหตุอันใด!” หญิงชราคนหนึ่งวิ่งเข้ามา เมื่ออุ้มเสี่ยวเมาได้ก็ออกไป “อย่าตีท่านแม่… ปล่อยข้า!” เสี่ยวเมายังคงร้องตะโกนออกมาอย่างเศร้าโศก ไม่สนใจว่าตรงมุมปากของตนจะมีเลือดไหลออกมา ดิ้นรนอย่างแรงอยู่ในอ้อมแขนของหญิงชรา หญิงชรากอดเขาเอาไว้แน่น มือเฆี่ยนยังคงโบยแส้ลงไปบนกายของหลิงอวี๋ เสี่ยวเมาเองก็ไม่รู้ว่าไปเอาแรง
“ตึกตึก… ตึก...” ไม่รู้ว่าสลบไปนานเท่าใด หลิงอวี๋ได้ยินเสียงนาฬิกาดังตึกตึกแว่ว ๆ จนลืมตาขึ้นมา... ทันใดนั้น ดวงตาของหลิงยวี่ก็สว่างขึ้น เธอพบว่าตัวเองอยู่ในห้องทดลองอิสระของตนที่วิทยาลัยแพทย์ หรือว่าตนจะเดินทางข้ามเวลากลับมาแล้ว? หลิงอวี๋ลุกขึ้นมาอย่างตื่นเต้นขึ้นมา ทว่าเพียงเคลื่อนไหวร่างกายก็รู้สึกได้ว่าทั่วทั้งร่างเจ็บปวด และยังมีเลือดสดไหลออกมา... เธอก้มหัวลงไปมองก็พบว่าร่องรอยบาดเจ็บของแส้ก็ถูกนำกลับมาด้วย! เธออดทนต่อความเจ็บปวดตามหากล่องยา แล้วฉีดยาบาดทะยักให้กับตนเอง ก่อนจะรีบจัดการบาดแผลอย่างรวดเร็ว มีรอยแส้มากมายอยู่ตรงหน้าอก แผ่นหลัง และบนใบหน้า ล้วนแต่ลึกลงสู่ผิวหนัง มองดูแล้วช่างน่าหวาดกลัวและโหดร้าย ขณะที่หลิงอวี๋กำลังจัดการอาการบาดเจ็บบนร่างกายอยู่ทางนี้นั้น ก็ก่นด่าสาปแช่งเซียวหลินเทียนไปพลาง สาปแช่งให้เขาไม่ได้ตายดี ขาดลูกหลานสืบสกุล... เมื่อคำด่า “ขาดลูก” สองคำนี้ออกมา ก็คิดถึงเสี่ยวเมาที่ปกป้องตนจนไม่อาจสาปแช่งต่อไปได้ เธอไม่ได้หวังให้เสี่ยวเมาตายไป! บาดแผลของหลิงอวี๋เพิ่งจะใส่ยาลงไป ขณะที่กำลังสวมเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังลอยมา เ
หลิงอวี๋คิดที่จะหยิบเครื่องมือและยาเพื่อไปช่วยรักษาเสี่ยวเมา ทว่าประตูห้องใหญ่ก็ถูกเปิดขึ้นในทันที นางรับใช้แม่นมที่อยู่ด้านนอกอาจจะเข้ามาได้ทุกเมื่อ หลิงอวี๋จึงไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม ทำได้เพียงแต่สงบนิ่งรอคอยเวลา พ่อบ้านฟั่นด้านนอกนั้นถูกแม่นมลี่ถามไถ่จนรู้สึกรำคาญใจ จึงใช้เท้าเตะแม่นมลี่ แล้วเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาไร้ปรานี “ไสหัวไป สุนัขดี ๆ จะต้องไม่มาขวางทาง” เมื่อหลิงอวี๋มองออกไป ก็พบว่าแม่นมลี่ถูกผลักจนล้มลงบนพื้นอย่างแรง ดูเหมือนว่า แม่นมลี่เองก็คงจะถูกแส้หวดมาก่อน เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บนใบหน้ายังมีคราบเลือดอยู่ไม่น้อย... “แม่นมลี่ เจ้าอย่ามามัวเสียเวลาอีกเลย รีบจัดการเก็บกวาดอยู่ในเรือนบุหงาเสียดี ๆ เถิด!” นางรับใช้ที่ดูหยิ่งยโสคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของแม่นมลี่ เอ่ยออกมาอย่างได้ใจ “พ่อบ้านฟั่นได้เลื่อนขั้นให้ข้าเป็นนางรับใช้ใหญ่แล้ว ต่อไปทุกคนในเรือนบุหงาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของข้า” “ท่านอ๋องทรงรับสั่งมาแล้วว่า หากพวกเจ้ายังจะไม่เชื่อฟัง ข้าก็มีอำนาจทีจะทุบตีพวกเจ้าจนตายได้!” “หลิงผิง เจ้าเป็นนางรับใช้ข้างกายของพระชายา สัญญาทาสยังอยู่ในมือของพระชายา เจ้าม
หากหานเหมยเชื่อฟังและอยู่ต่อก็ช่างไป มิฉะนั้นนางจะฆ่าหานเหมยเสีย...หากหาอะไรกินมิได้เลยจริง ๆ หานเหมยก็พอที่จะให้ตนอดทนจนเฉียวเค่อมาตามหาได้!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยหิวมากจนหมดเรี่ยวแรง จนทนมิไหวแล้วจริง ๆ เนื้อมนุษย์นางก็กินได้ขณะที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยยกมีดเล็งไปที่คอหานเหมย ก็ได้ยินเสียงของหลิงอวี๋จากข้างนอก “เสี่ยวอวี้ เจ้าออกมาดูสิ พี่ตีกระต่ายมาให้เจ้าตัวหนึ่งนะ!”หานเหมยหลุดพ้นจากการควบคุมของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอย่างมีความสุขแล้วมุดออกไปจ้าวหรุ่ยหรุ่ยออกแรงมากเกินไปจึงล้มลงไปกับพื้น นางรีบซ่อนกริชไว้ก่อนที่จะเดินออกมาหลิงอวี๋มิได้ทิ้งพวกนาง!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยพูดมิออกว่าในใจรู้สึกอย่างไร ทั้งมีความสุขและมีความสับสนเล็กน้อยหากเปลี่ยนเป็นตนคงจะใช้โอกาสนี้หลบหนีไปตามลำพังอย่างแน่นอนภูเขาหิมะที่เหน็บหนาวและยาวไปสุดลูกหูลูกตานี้เมื่อไรจึงจะออกไปได้ หนีไปคนเดียวจะมิสะดวกกว่าหรือ?“พี่หญิง เป็นกระต่ายจริง ๆ ด้วย พี่หญิงสุดยอดมาก!”หานเหมยรับกระต่ายที่หลิงอวี๋ส่งมาแล้วกรีดร้องอย่างตื่นเต้นจ้าวหรุ่ยหรุ่ยมองไปที่กระต่าย แล้วคิดถึงสิ่งที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ หากหลิงอวี๋สามารถหาของกินมาได้ ต่อไปต
วัง?บนภูเขาหิมะจะมีวังได้อย่างไร?หลิงอวี๋มองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนเมื่อครู่บนภูเขายังคงมีหมอกอยู่ จึงมองเห็นฝั่งตรงข้ามมิชัดเจนแต่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นส่องแสงเหล่ากลุ่มหมอกก็สลายหายไป วังแห่งนั้นจึงปรากฏขึ้นมาหลังคาสูงและกำแพงที่ดูสง่างามนั้นสีขาวราวกับหิมะที่อยู่รอบ ๆ สะท้อนแสงอาทิตย์และส่องแสงระยิบระยับออกมา!มันคือวังจริง ๆ วังน้ำแข็ง!หลิงอวี๋รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อเห็นวังก็หมายความว่ามีคนอยู่ เช่นนั้นพวกนางก็ไม่มีทางหิวและแข็งตายอยู่บนภูเขาหิมะนี้แล้วหลิงอวี๋รีบสังเกตเส้นทางไปสู่วังน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ขอเพียงลงจากภูเขาหิมะนี้ แล้วหาเส้นทางภูเขาฝั่งตรงข้ามก็สามารถเข้าถึงวังน้ำแข็งได้แล้วหลิงอวี๋จดจำทิศทางของวังน้ำแข็งแล้วย้อนกลับไปตามทางที่มานางยังคงคิดถึงกระต่ายตัวนั้นอยู่นึกได้ว่าจะไปวังน้ำแข็งจะต้องใช้กำลัง หากมิได้กินอะไรสักหน่อย ก็คงเป็นเรื่องยากที่พวกนางจะไปถึงวังน้ำแข็งแห่งนั้น!หลิงอวี๋มีความหวังขึ้นมาแล้ว นางจึงมองหาร่องรอยของกระต่ายอย่างใจเย็น มิช้าหลิงอวี๋ก็พบมูลสัตว์เมื่อตามทิศทางของมูลไป ในที่สุดหลิงอวี๋ก็พบกระต่ายหิมะสองสามตัวกำลังกินอาหารอยู่ใน
เมื่อนึกถึงเฉียวเค่อ จู่ ๆ จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็มีความหวังขึ้นมาอีกครั้งเป้าหมายของเฉียวเค่อในการมาที่ฉินตะวันตกครานี้คือการจับตัวหลิงอวี๋ ตราบใดที่หลิงอวี๋อยู่ในมือของตน เฉียวเค่อจะต้องหาวิธีตามหาพวกนางอย่างแน่นอนเมื่อถึงตอนนั้นก็จะสามารถหนีไปจากสถานที่แย่ ๆ นี้ได้แน่!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย มิรู้ว่าเผลอหลับไปเมื่อใดหลิงอวี๋และหานเหมยกอดกันเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและค่อย ๆ หลับไปเช่นกันแต่เมื่อถึงกลางดึก ทั้งสามคนต่างก็ถูกความหนาวเย็นปลุกให้ตื่นขึ้นมาอุณหภูมิในภูเขาหิมะลดลงเร็วเกินไป และหิมะที่ลมหนาวพัดมาก็ตกลงมาบนตัวของทั้งสามคน ทำให้ทั้งสามหนาวเหน็บจนร่างจะแข็งจ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิสนใจความแค้นของนางกับพวกหลิงอวี๋ เบียดเสียดเข้าไประหว่างทั้งสองนั้นแล้วพยายามให้ทั้งสองคนทำให้ตนอบอุ่นยาวนานกว่าจะถึงรุ่งสาง จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็รู้สึกว่าตนหิวมากจนกินหมูทั้งตัวได้เลย“มิได้ พวกเราจะเดินทางเช่นนี้มิได้ ต้องหาอาหารให้อิ่มท้องแล้วค่อยลงจากภูเขา!”“มิเช่นนั้นพวกเราคงไม่มีแรงเดินลงภูเขาแน่!”อุณหภูมิร่างกายที่ลดลงทำให้พลังงานของทั้งสามคนหมดไป จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเองก็ไม่มีแรงแล้ว แต่ก
หลิงอวี๋เห็นท่าทีของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอ่อนลง อีกทั้งความตั้งใจเดิมก็เป็นความหวังดี จึงปล่อยไม้เท้าแล้วเอ่ยเสียงเรียบ“ขอเพียงเจ้ามิทำร้ายพวกเรา จะอะไรก็คุยง่ายทั้งนั้น ไปเถิด!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยถูกเผยอวี้ยิงที่น่องจนบาดเจ็บ ทั้งยังถูกธนูยิงเข้าที่ท้องน้อยอีกด้วย จึงเดินมิเร็วนักหลิงอวี๋จึงให้หานเหมยประคองนาง ส่วนตนก็สำรวจเส้นทางอยู่ข้างหน้าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยคิดว่าภูเขาหิมะแห่งนี้ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา หลิงอวี๋หนีไปมิพ้น จึงมิกังวลเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด อุณหภูมิก็ลดลงอย่างรวดเร็วตามที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยบอกไว้ตอนที่ทั้งสามคนอยู่ที่ฉินตะวันตกเป็นวสันตฤดู จึงมิได้สวมเสื้อผ้ามากนัก ไหนเลยจะคิดว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะพาพวกนางมาที่ภูเขาหิมะ พวกนางต่างก็หนาวจนตัวสั่นกันไปหมดหลิงอวี๋รู้สึกเพียงว่าร่างกายของตนเริ่มจะแข็ง และในที่สุดก่อนฟ้ามืดก็พบร่องเขาแห่งหนึ่งที่พอจะให้ทั้งสามคนเข้าไปซ่อนตัวได้ร่องเขาเป็นช่องตรงกลางของก้อนหินหลายก้อน ข้างหน้าไม่มีที่กำบัง ทั้งสามคนจึงเกาะกลุ่มเข้าด้วยกันแล้วพิงกันเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นลมหนาวพัดอย่างรุนแรงอยู่ข้างนอก ทั้งสามคนมิได้เอาของกินใด ๆ มา เดินกันมานานก็หิวโ
ตอนที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยถูกหลิงอวี๋ยิงได้รับบาดเจ็บและตกลงมาจากกิ่งไม้ นางนอนอยู่บนพื้นหญ้า รู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณกำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว รู้ว่าหากตกอยู่ในมือหลิงอวี๋ นางต้องหนีมิรอดเป็นแน่ในยามคับขันระหว่างความเป็นความตาย นางหยิบลูกแก้ววิญญาณที่เฉียวเค่อให้มา มิสนใจคำเตือนของเฉียวเค่อที่ว่าห้ามใช้โดยพลการ เพื่อเอาชีวิตรอด เพราะนางยอมเสี่ยงหลิงอวี๋เดินเข้ามาพอดี จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงพาหลิงอวี๋ไปด้วยใครจะไปคิดว่าลูกแก้ววิญญาณจะพาพวกนางทั้งสามมาที่ยอดเขาหิมะ จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นคนแรกที่ตื่นขึ้น เห็นเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ถึงกับเกือบจะสติแตกนี่มันที่ไหนกัน?นางมิรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เช่นนั้นจะหาทางกลับไปอย่างไร?แต่สิ่งที่ทำให้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยฮึดขึ้นมาใหม่คือการที่นางเห็นหลิงอวี๋และหานเหมยที่นอนอยู่ข้าง ๆนางมิได้อยู่คนเดียว!ศัตรูของนางก็มาด้วย!ฮ่า ฮ่า ฮ่า!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิสนใจที่จะยินดี ค่อย ๆ คลานไปหาหลิงอวี๋ แล้วหยิบเข็มเงินออกมาปิดกั้นจิตสำนึกของหลิงอวี๋ และยังแทงเข็มเงินที่บริเวณจุดตันเถียนของหลิงอวี๋อีกหลายเข็ม เพื่อให้แน่ใจว่าหลิงอวี๋จะมิสามารถใช้พลังได้แต่แค่
เผยอวี้และฉินซานรีบออกจากวังเพื่อเตรียมออกเดินทาง หลิงซวนให้เถาจื่อไปกับหานอวี้เพื่อช่วยเหลือหลิงอวี๋ ส่วนตนจะอยู่ดูแลเซียวเยวี่ยท่านอ๋องเฉิงรีบเขียนจดหมายแจ้งข่าวการหายตัวไปของหลิงอวี๋ให้เซียวหลินเทียนทราบข่าวสารถูกส่งไปด้วยความเร็วสูงสุด ใช้เวลาเพียงสองวันก็ถึงมือเซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนมิเคยคาดคิดมาก่อนว่า แม้จะรีบกลับมายังเมืองหลวงด้วยความเร็วสูงสุดเขาก็ยังหวังว่าจะได้พบกับภรรยาและลูก แต่กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเซียวหลินเทียนโกรธจนมือสั่น คนอย่างจ้าวหรุ่ยหรุ่ย เขาเกลียดจนอยากจะลอกเนื้อเถือหนังนางทั้งเป็นเมื่อเซียวหลินเทียนสงบสติอารมณ์ลง เขาก็ตัดสินใจมิกลับเมืองหลวง ให้อันเจ๋อเป็นหัวหน้าคณะกลับไปเมืองหลวงก่อน ร่วมมือกับท่านอ๋องเฉิงปกป้องเมืองหลวงส่วนจ้าวฮุยและองค์ชายคัง เซียวหลินเทียนมอบอำนาจให้ท่านอ๋องเฉิงจัดการได้อย่างเต็มที่จ้าวฮุยมีความผิดฐานก่อกบฏต่อแคว้น มีองค์ชายอิงและเจ้าหน้าที่ที่เดินทางไปด้วยเป็นพยาน รวมกับความผิดของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยที่ลักพาตัวฮองเฮา ความผิดทั้งสองข้อนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลจ้าวถูกทำลายล้างได้แล้วส่วนองค์ชายคัง เซียวหลินเทียนได้รับข่า
คำพูดของเย่หรงมิได้นำความหวังมาให้มากนัก เผยอวี้รีบพูดว่า “ถึงแม้ลูกแก้ววิญญาณของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะเคลื่อนย้ายได้เพียงมิกี่ร้อยลี้ เราก็ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะไปถึง จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะยอมให้ฮองเฮารอจนเราไปช่วยได้หรือ?”“ใช่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พื้นที่มิกี่ร้อยลี้กว้างใหญ่ออกปานนั้น เราจะไปหาฮองเฮาได้ที่ไหน!”ฉินซานก็พูดอย่างร้อนรนเย่หรงพูดมิออก จะอธิบายพลังของพวกเขาในแดนเทพให้คนธรรมดาเหล่านี้ฟังอย่างไร!เขาไม่มีความอดทนเมื่อต้องอธิบายกับคนที่มิรู้จัก เห็นว่าคนเหล่านี้ช่วยอะไรมิได้ จึงหันหลังเดินจากไป“ข้าบอกทิศทางให้พวกเจ้าแล้ว หลิงหลิงมิอยู่ เช่นนั้นขอตัวก่อน! ข้าไปแล้ว!”เมื่อเผยอวี้รู้ตัวและต้องการจะเรียกเขาไว้ เย่หรงก็หายไปแล้ว“คุณชายเย่…”เผยอวี้ตะโกนอย่างร้อนรน“มิต้องเรียกแล้ว เขามิอยากช่วย เจ้าเรียกจนเสียงแหบก็มิกลับมาหรอก!”แม่นมอูหัวเราะเยาะ พูดอย่างเรียบ ๆ ว่า “พ่อหนุ่มตระกูลเย่คนนี้มิยอมแพ้ในการค้นหาหลิงอวี๋ง่าย ๆ เราตามเขาไป ก็จะหาที่อยู่ของหลิงอวี๋จนเจอ!”“จะตามอย่างไร? เขาวิ่งเร็วขนาดนั้น ข้าตามมิทันหรอก!”เผยอวี้เห็นแล้วว่าพลังของเย่หรงเหนือกว่าตน หากเย่หรงอยาก
เผยอวี้สั่งให้ทหารบางส่วนอยู่ค้นหาหลิงอวี๋ต่อไป อีกส่วนหนึ่งนำตัวมือสังหารที่จับตัวไท่เฟยเส้าและฮองเฮาไปส่งยังเมืองหลวงในบรรดาคนเหล่านั้นมีจ้าวเฉียงฮั่วลุงรองของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอยู่ด้วย เขาเห็นว่าสถานการณ์มิดี จึงฉวยโอกาสหนีไปกับมือสังหารที่หลบหนีระหว่างการต่อสู้จ้าวเฉียงฮั่วรีบลงเขาอย่างรวดเร็วและรีบกลับจวนเก็บข้าวของและพาครอบครัวหนีไปองค์หญิงใหญ่และไท่เฟยเส้าพ่ายแพ้แล้ว จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็หายตัวไป ในเวลานี้หากมิรีบหนีแล้วจะรอให้เสียวหลินเทียนกลับมาสังหารหรือไร?ขบวนของเผยอวี้ได้พบกับเย่หรงและแม่นมอูที่กำลังรีบมาสมทบกับหลิงอวี๋ เย่หรงมิเห็นหลิงอวี๋ในขบวน จึงใจหาย หรือว่าตนมาช้าเกินไป หลิงอวี๋ถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยสังหารไปเสียแล้ว?“หลิงหลิงอยู่ที่ใด?”เย่หรงบุกเข้ามาขวางเผยอวี้อย่างดุเดือด หากเรื่องเป็นอย่างที่ตนคิด เขาจะต้องไปฆ่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยให้ได้“เรื่องนี้ยืดยาวนัก ไว้กลับไปคุยกันที่วังเถอะ!”เผยอวี้คว้าตัวเย่หรงไว้ ระหว่างทางก็เล่าเรื่องราวให้ฟังใจของเย่หรงจึงสงบลง แม้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นน้อย แต่ก็มิได้หมายความว่าหลิงอวี๋จะตายเสียเลยเมื่อรู้เรื่องแล้ว เขาจะต้องช่วยหลิง
“องค์หญิงใหญ่ ท่านกับไท่เฟยเส้ามิใช่พี่น้องร่วมสาบานกันหรอกหรือ?”หานอวี้พูดเสียงเย็นชาว่า “ไท่เฟยเส้าตายแล้ว หากท่านมิตามพระนางไปยมโลก พระนางคงจะเหงาแย่...”ก่อนที่องค์หญิงใหญ่จะรู้ว่าหานอวี้ทำอะไร หานอวี้ก็ดึงปกเสื้อของนางออก แล้วเอาผิวหนังที่เน่าเปื่อยของไท่เฟยเส้ายัดเข้าไปในปกเสื้อขององค์หญิงใหญ่หลิงซวนเห็นเหตุการณ์นี้ มิได้พูดอะไร และหันหลังเดินจากไปนางเข้าใจความรู้สึกของหานอวี้ หานเหมยเป็นญาติเพียงคนเดียวของนางในใต้หล้าแห่งนี้หานเหมยและฮองเฮาถูกวังวนลึกลับนั้นดูดหายไป มิรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร หานอวี้จึงใช้โอกาสนี้ระบายความกลัวและความกังวลใจองค์หญิงใหญ่รู้สึกว่า ผิวหนังของนางซึ่งสัมผัสกับผิวหนังที่เน่าเปื่อยของไท่เฟยเส้าเริ่มคันและเจ็บปวด นางร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวแต่เผยอวี้และคนอื่น ๆ ต่างก็กำลังตามหาหลิงอวี๋และหานเหมย ใครกันจะสนใจนาง!องค์หญิงใหญ่ขอความช่วยเหลือมิได้ หัวเราะมิออกอีกต่อไปหลิงอวี๋ที่เป็นคนเดียวที่จะช่วยนางได้ ก็มาหายตัวไปแล้ว นางจะไปหาใครมาช่วยได้อีก!กรรมใดใครก่อ ผลนั้นย่อมตกแก่ผู้นั้น!องค์หญิงใหญ่นึกถึงคำพูดของหลิงอวี๋ที่เคยกล่าวกับไท่เฟย