เซียวหลินเทียนรู้ว่าวิธีการนี้ค่อนข้างเลวทราม แต่ก็พูดออกไปอย่างมิลังเล“ผลก็คือคนของข้าล้มเหลว ฮูเหยียนเสวี่ยหนีไปได้… นางน่าจะคาดเดาความคิดของข้าได้จึงมิกลับกันกู่ แล้วระหว่างทางก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!“สองวันก่อนข้าได้รายงานลับบอกว่า องค์ชายอิงจากเว่ยเหนือพากำลังพลมุ่งหน้าไปที่กันกู่ บอกว่าต่อไปกันกู่จะได้ความคุ้มครองจากเว่ยเหนือ!”หลิงอวี๋ได้ยินก็ตะลึง นี่หมายความว่าฮูเหยียนเสวี่ยหันไปพึ่งองค์ชายอิงแล้วตอนแรกองค์ชายอิงจะขอแต่งงานกับเซียวทง เพราะรู้สึกว่าเซียวทงเปิดเผยตรงไปตรงมาดี ตรงกับรสนิยมของเขาฮูเหยียนเสวี่ยดุร้ายยิ่งกว่าเซียวทงเสียอีก นี่น่าจะถูกรสนิยมขององค์ชายอิงมากกว่าองค์ชายอิงมาเข้าร่วมการแข่งขันทางทหารของสี่แคว้นที่ฉินตะวันตกเมื่อครั้งที่แล้ว แม้ว่ากองกำลังของเขาจะมิได้ชนะ แต่ความสามารถก็มิได้ด้อยไปกว่าฉินตะวันตกและฉีตะวันออกครานี้เขากล้าเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งว่าจะคุ้มครองกันกู่ เช่นนั้นก็ประกาศสงครามกับฉินตะวันตกอย่างชัดเจนแล้วยามนี้ฉินตะวันตกส่งผู้แทนพระองค์ไปเป็นทูตที่แคว้นเล็ก ๆ โดยรอบ หากคนที่ส่งไปเป็นหลี่ว์เซียง เขาจะต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการรักษาคว
การสอบคัดเลือกขุนนางช่วงวสันตฤดูคราวนี้เซียวหลินเทียนเป็นผู้ดูแล หากนับเช่นนี้แล้ว ทุกคนที่ได้รับการคัดเลือกเข้าเป็นขุนนางในครั้งนี้ก็ล้วนเป็นคนที่ได้รับเลือกจากจักรพรรดิทั้งสิ้นสิ่งนี้ยิ่งกระตุ้นความกระตือรือร้นของเหล่าบัณฑิตมากขึ้น พวกเขาแอบสาบานว่าจะต้องสอบให้ได้คะแนนดี พยายามให้ได้รับคำแนะนำจากจักรพรรดิเซิ่งอู่เองให้ได้การสอบคัดเลือกขุนนางช่วงวสันตฤดูสำคัญเช่นนี้ ฉินซานกับเผยอวี้และพวกหลี่ว์เซียงจึงพยายามอย่างเต็มที่ในการจัดการสอบคัดเลือกขุนนางช่วงวสันตฤดูให้สมบูรณ์แบบองค์ชายรุ่ยกับองค์ชายเย่ก็มิอาจว่างได้ เซียวหลินเทียนส่งให้ทั้งสองคนไปทำหน้าที่สำคัญเช่นกัน องค์ชายเย่รับผิดชอบการสอบฝ่ายบู๊ ส่วนองค์ชายรุ่ยรับผิดชอบการสอบฝ่ายบุ๋นองค์ชายคังได้ถอยห่างจากตนไปแล้ว แม้ว่าองค์ชายรุ่ยจะมิได้มีความทะเยอทะยานอย่างเปิดเผย แต่เซียวหลินเทียนก็ยังให้โอกาสเขาได้ใกล้ชิดกับตนหลิงอวี๋เคยบอกไว้ว่า บำเพ็ญร้อยปีจึงจะมีโชคชะตาร่วมกัน ได้เป็นพี่น้องกันในชีวิตนี้จะต้องเป็นโชคชะตาหลายร้อยปีแน่นอนเซียวหลินเทียนมิขอให้พวกเขาซาบซึ้งและมีความรู้สึกลึกซึ้งในความเป็นพี่น้องกับตนเพราะเรื่องนี้ เขารู
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด!แม้ว่าเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋จะคาดการณ์ถึงวิกฤติไว้แล้ว แต่ก็ยังคงมิอาจคาดเดาได้ว่าวิกฤติจะรุนแรงเช่นนี้เซียวหลินเทียนอยู่ในห้องทรงพระอักษรแล้วเปิดดูเรื่องด่วน เมื่อกวาดสายตาอ่านสิบบรรทัดแรกเสร็จ ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นก็เคร่งเครียดไปทันที“ขันทีเหอ สั่งการไปที่ขุนนางว่าการ หลี่ว์เซียง ท่านอ๋องเฉิง ท่านอดีตเสนาบดี หลิงเสียงกังและพวกองค์ชายคังให้เข้าวัง...”เซียวหลินเทียนสั่งการขันทีเหอเห็นสีหน้าของเซียวหลินเทียนมิปกติ จึงรีบให้คนไปถ่ายทอดพระราชโองการทันที“ขันทีน้อยเซี่ย ไปเชิญฮองเฮามา!”แม้ว่าหลิงอวี๋จะเป็นสตรีมิอาจทำงานเรื่องการเมืองได้ เซียวหลินเทียนก็อยากให้หลิงอวี๋รู้เรื่องนี้ในทันทีหลิงอวี๋ได้ยินหลิงซวนรายงานว่าทางชายแดนส่งข่าวด่วนมาก็กำลังกังวลใจอยู่เมื่อขันทีน้อยเซี่ยมาถ่ายทอดพระราชโองการ นางก็รีบมาโดยมิลังเล“อาอวี๋ ดูนี่สิ...”เซียวหลินเทียนเห็นหลิงอวี๋มาก็ส่งรายงานลับให้หลิงอวี๋ทันทีหลิงอวี๋อ่านจบก็ตกใจ บรรดาแคว้นเล็กที่เข้าร่วมกับฉินตะวันตกก่อนหน้านี้ล้วนไปเข้าร่วมกับองค์ชายอิงแล้วแม้แต่แคว้นพันก็ละทิ้งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ไป
คำพูดนี้ขององค์ชายรุ่ยมีความกล้าหาญมากจนได้รับการยกย่องจากเหล่าขุนนางเมื่อเทียบกับองค์ชายคังที่ดูหวาดกลัวปัญหาแล้ว องค์ชายรุ่ยดีกว่ามากนัก!“เรื่องการนำทัพออกรบประเดี๋ยวค่อยว่ากัน ข้ายังพูดมิจบ!”เซียวหลินเทียนเหลือบมององค์ชายคังด้วยความโกรธอย่างเตือน ๆ พลางเอ่ยอย่างเย็นชา “เว่ยเหนือกับฉีตะวันออกร่วมมือกันจะโจมตีเยวี่ยใต้!”“อัครเสนาบดีจ้าวหนีมิทันจึงตกอยู่ในกำมือขององค์ชายอิงแห่งเว่ยเหนือ องค์ชายอิงให้ข้าเอาเมืองสองเมืองไปแลกตัวอัครเสนาบดีจ้าวกลับมา!”ว่ากระไรนะ?คำพูดนี้ทำให้ขุนนางจำนวนมากแตกตื่นขึ้นมาทันทีองค์ชายคังก็ตะลึงไปเช่นกัน เมื่อครู่เขายังกล่าวโทษเซียวหลินเทียนที่ทำให้แคว้นกันกู่ขุ่นเคือง ตอนนี้จ้าวฮุยตกอยู่ในกำมือขององค์ชายอิง เขาจะยังกล้าพูดว่ามิสู้รบและต้องการสันติสุขอยู่ได้อีกหรือ?คราวนี้ขุนนางที่เข้าใจสถานการณ์รู้สึกได้ถึงวิกฤติแล้ว หากเว่ยเหนือกับฉีตะวันออกร่วมมือกันทำสงครามกับเยวี่ยใต้ เยวี่ยใต้ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาหากเยวี่ยใต้ถูกยึดอำนาจไป แล้วเว่ยเหนือกับฉีตะวันออกร่วมมือกันทำสงครามกับฉินตะวันตกอีก ฉินตะวันตกต่อสู้แบบหนึ่งต่อสองจะมีโอกาสชนะเท่า
เมื่อจัดการตัวเลือกที่จะไปยึดครองแคว้นเล็กแล้ว ทุกคนล้วนมองเซียวหลินเทียนอย่างกังวลเว่ยเหนือกับฉีตะวันออกต่างหากที่เป็นประเด็นหลัก เซียวหลินเทียนจะส่งผู้ใดไปต้านพวกเขากัน?“ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีนำทัพไปที่ชายแดนเพื่อต้านการรุกรานของฉีตะวันออกพ่ะย่ะค่ะ!”ท่านอดีตเสนาบดีก้าวออกมาเสนอตัวอย่างมิลังเล เขาได้ยินขันทีเหอส่งคนไปถ่ายทอดคำพูดของเซียวหลินเทียนให้เขาพาหลิงเสียงกังมาด้วย ก็รู้ว่าเซียวหลินเทียนอยากให้โอกาสหลิงเสียงกังทำความดีชดใช้ความผิดตัวตนของหลิงเสียงกังในยามนี้ยังคงเป็นขุนนางต้องโทษอยู่ มิว่าจะด้วยความรู้สึกหรือด้วยเหตุผลเซียวหลินเทียนก็มิสามารถให้เขาเป็นแม่ทัพใหญ่นำทัพออกรบได้ท่านอดีตเสนาบดีจึงทำได้เพียงเสนอตัวรับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่เสียเอง เช่นนี้หลิงเสียงกังก็สามารถติดตามตนไปออกรบในฐานะรองแม่ทัพได้แล้วองค์ชายคังเข้าใจเจตนาของท่านอดีตเสนาบดีในทันที ไหนเลยจะให้ท่านอดีตเสนาบดีสมหวัง เขาจึงก้าวออกมาทันทีพลางเอ่ย“กระหม่อมขอคัดค้านเรื่องที่ท่านอดีตเสนาบดีจะนำทัพออกรบพ่ะย่ะค่ะ...”“ฝ่าบาท ท่านอดีตเสนาบดีอายุมากแล้ว คราก่อนตกลงมาจากม้าก็ขาหักไป แม้ว่าจะรักษาจนสามารถเดินได้แล้
เมื่อท่านอ๋องเฉิงพูดขึ้นมาเองว่าจะไปสู้กับเว่ยเหนือ องค์ชายเย่ก็หน้าแดงขึ้นมาท่านอ๋องเฉิงอายุมากแล้ว จะทนต่อการต้องเคลื่อนพลไปเช่นนี้ได้อย่างไร!ตนยังหนุ่มยังแน่นมีกำลัง หากยามนี้มิเสนอตัว จะให้ขุนนางเหล่านี้กับองค์จักรพรรดิคิดว่าตนรักตัวกลัวตายหรือ?“ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีนำทัพไปหยุดยั้งเว่ยเหนือพ่ะย่ะค่ะ!”องค์ชายเย่ก้าวออกไปขอออกรบอย่างเด็ดเดี่ยวแม้ว่าหลี่ว์เซียงจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ก็คุ้นเคยกับแคว้นต่าง ๆ เหล่านี้เป็นอย่างดี เขาจึงเอ่ยอย่างกังวล “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าองค์ชายเย่มิเหมาะที่จะเป็นผู้นำทัพไปหยุดยั้งเว่ยเหนือพ่ะย่ะค่ะ!”“องค์ชายเย่ขาดประสบการณ์การรบ ส่วนองค์ชายอิงฉลาดและเจ้าเล่ห์ กระหม่อมกังวลว่าองค์ชายเย่ไปแล้วจะมิใช่คู่ต่อสู้ขององค์ชายอิงพ่ะย่ะค่ะ!”องค์ชายเย่เองก็รู้ตัวดี วันที่แข่งขันทางทหารสี่แคว้น กำลังพลที่เขานำไปมิสามารถเอาชนะองค์ชายอิงได้ ครานี้มิใช่การแข่งขัน แต่เป็นการรบที่มีการใช้อาวุธกันจริง ๆหากทำมิดี ตนมิเพียงแต่ต้องสละชีวิตแต่ยังจะทำให้เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ด้วยองค์ชายคังกวาดสายตามองทุกคนอย่างเงียบ ๆ แม่ทัพเหล่านี้ส่วนมากมิออกเสียง มิรู้ว่
“ฝ่าบาท หากท่านนำทัพด้วยพระองค์เอง เช่นนั้นเรื่องบ้านเมืองจะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”ขุนนางพวกของจ้าวฮุยคนหนึ่งรู้สึกว่าสบโอกาสแล้ว แคว้นมิอาจขาดจักรพรรดิไปได้แม้วันเดียว เซียวหลินเทียนจะนำทัพไปด้วยตนเอง จะให้แคว้นขาดคนจัดการเรื่องบ้านเมืองมิได้!เซียวหลินเทียนกวาดสายตามองขุนนางผู้นั้นอย่างเฉยเมย พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ากำลังคิดจะประกาศในเรื่องนี้พอดี… ท่านอ๋องเฉิง หลี่ว์เซียงออกมา!”ท่านอ๋องเฉิงกับหลี่ว์เซียงจึงก้าวออกมาแล้วเอ่ยพร้อมกัน “พ่ะย่ะค่ะ!”“ข้าขอสั่งการให้ท่านอ๋องเฉิงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หลี่ว์เซียงก็ทำงานร่วมกับท่านอ๋องเฉิง ในระหว่างที่ข้านำทัพไปรบ ให้พยายามร่วมแรงร่วมใจกันช่วยฮองเฮาจัดการเรื่องบ้านเมือง!”อะไรนะ?ให้หลิงอวี๋จัดการเรื่องบ้านเมืองแทนหรือ?นอกจากหลี่ว์เซียง ท่านอ๋องเฉิงและท่านอดีตเสนาบดีแล้ว ขุนนางคนอื่น ๆ ก็ต่างตกตะลึงกันหมด“ฝ่าบาท มิได้พ่ะย่ะค่ะ มีที่ไหนกันที่สตรีขึ้นว่าราชกิจจัดการเรื่องบ้านเมือง!”“ฝ่าบาท เรื่องที่ท่านอ๋องเฉิงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น พวกกระหม่อมน้อมรับ แต่ฮองเฮามีสิทธิ์อะไรจึงสามารถจัดการเรื่องบ้านเมืองแทนได้พ่ะย่ะค
กระทั่งห้องทรงพระอักษรเหลืออยู่เพียงหลี่ว์เซียงกับท่านอ๋องเฉิง เซียวหลินเทียนจึงเรียก “อาอวี๋ ออกมาเถิด!”หลิงอวี๋จึงเดินออกมา หลี่ว์เซียงกับท่านอ๋องเฉิงเห็นนางก็มิได้มีท่าทีตกใจใด ๆเซียวหลินเทียนเชื่อใจหลิงอวี๋เช่นนี้ ถึงกับมอบอำนาจในการดูแลบ้านเมืองเป็นการชั่วคราวให้นาง การจะให้นางฟังอยู่ในห้องทรงพระอักษรก็เป็นเรื่องปกติล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น ท่านอ๋องเฉิงกับหลี่ว์เซียงมีอะไรในใจก็พูดออกไปตามตรง“ฝ่าบาท ครานี้ท่านจะนำทัพด้วยพระองค์เอง เตรียมจะพารองแม่ทัพคนใดไปพ่ะย่ะค่ะ?”ท่านอ๋องเฉิงเอ่ยถามอย่างกังวลเซียวหลินเทียนนำทัพด้วยตนเองมิใช่เรื่องเล็ก เบื้องหน้าต้องเผชิญกับการจับจ้องของเว่ยเหนือกับฉีตะวันออก เบื้องหลังก็ยังต้องกังวลว่าคนของตนจะทำเรื่องอะไรอีกความเป็นความตายของเซียวหลินเทียนก็สำคัญมาก จักรพรรดิของแคว้นมิว่าจะตายที่สนามรบ หรือว่าตายเพราะถูกคนลอบวางแผนร้าย ก็จะทำให้ฉินตะวันตกพังทลายได้ทั้งนั้น“หลี่ว์จงเจ๋อ ลั่วฮั่น จี้จื่อ จอหงวนเฉินซินและทั่นฮวาโจวฮ่าวขุนนางฝ่ายบู๊คนใหม่!”เซียวหลินเทียนอยากใช้คนใหม่เพราะพวกเขายังมิถูกผู้ใดดึงตัวไป ตนมอบหมายให้พวกเขาทำหน้าที่สำคั
กระทั่งมาถึงที่เมือง จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็หาโรงเตี๊ยมและเปิดห้องพักหนึ่งห้องส่วนป้าวซวนก็ช่วยประคองหลิงอวี๋เข้าไปในห้องนั้นภายในห้องมีเตียงเพียงเตียงเดียว ดังนั้นจึงมิสามารถนอนสองคนได้แน่ป้าวซวนจนใจ จึงขอผ้านวมเก่าที่ปูเตียงมาจากเสี่ยวเอ้อร์แล้วนำมาปูไว้ที่มุมห้องให้หลิงอวี๋นอนจ้าวหรุ่ยหรุ่ยออกไปถามข้อมูลจากเจ้าของโรงเตี๊ยม แล้วให้ป้าวซวนเฝ้าหลิงอวี๋เอาไว้ และเพื่อให้ป้าวซวนเชื่อฟังมิหนีไปไหน จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงหยิบเม็ดยาพิษออกมา จากนั้นก็ยัดเข้าไปในปากของป้าวซวน“ยาแก้พิษนี้จะต้องกินทุก ๆ สิบวัน หากเจ้ากล้าหนีไป เจ้าก็รอพิษกำเริบจนตายไปได้เลย!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยขู่ป้าวซวน ก่อนจะเดินออกไปอารมณ์ของป้าวซวนตกต่ำลงไปทันที เดิมทีนางคิดว่าจะโน้มน้าวหลิงอวี๋ให้หนีไปกับตน แต่ตอนนี้ตนถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยวางยาพิษเสียแล้ว หากนางหนีไป นางก็จะต้องตาย“ป้าวซวน เจ้าอยากหนีหรือไม่?”หลิงอวี๋ถือโอกาสที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิอยู่ แล้วรีบพูดคุยกับป้าวซวนอย่างรวดเร็ว“ข้าอยาก แต่เจ้ามิเห็นหรือเมื่อครู่? นางป้อนยาพิษให้ข้าไปแล้ว!”ป้าวซวนเอ่ยขึ้นมาด้วยความสิ้นหวัง “สตรีผู้นั้นโหดร้ายถึงเพียงนั้น ทั้งยังวางแผน
จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเกลียดหลิงอวี๋และเซียวหลินเทียน หากมิใช่เพราะสองสามีภรรยานี้ข่มตน พลังของนางจะสูญหายไปได้อย่างไร และจะต้องตกต่ำถึงขั้นต้องสังหารเฉียวเค่อได้อย่างไร!ในเวลานี้หลิงอวี๋สูญเสียความทรงจำไปแล้ว หากนางมิใช้โอกาสนี้สร้างความขัดแย้งระหว่างพวกเขา และทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไป ความทุกข์ทรมานของนางจะมิเสียเปล่าหรือ?“อวี้หนู หากในภายภาคหน้าเจ้ามีโอกาสได้พบกับเซียวหลินเทียน เจ้าต้องระวังตัวไว้!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยพยายามใส่ร้ายเซียวหลินเทียนอย่างเต็มที่ “เจ้าสังหารสตรีที่เขารักที่สุดไป เขาเคยสาบานเอาไว้ว่า หากจับตัวเจ้าได้ เขาจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!”“จริงสิ เขายังเคยเฆี่ยนตีเจ้า และปล่อยให้คนรับใช้ของเขาเหยียดหยามเจ้าอีกด้วย! หากเจ้าจำอดีตได้ ก็น่าจะรู้ว่าเจ้ายังมีลูกชายอีกหนึ่งคน ซึ่งก็ถูกเขาสังหารไปแล้วเช่นกัน!”ถึงอย่างไรหลิงอวี๋ก็ลืมเรื่องในอดีตไปแล้ว จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงนำเรื่องราวของหลิงอวี๋ที่ตนเคยสืบมาหลอกลวงหลิงอวี๋เสียในขณะที่นางกำลังสาธยายอยู่นั้น ในหัวของหลิงอวี๋ก็มีภาพบางส่วนปรากฏขึ้นมาจริง ๆนางถูกคนรับใช้หลายคนลากตัวออกไป และบุรุษผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นมาอย่างโหดเหี้ยม
จ้าวหรุ่ยหรุ่ยให้หลิงอวี๋พักผ่อนเพียงคืนเดียวเท่านั้น วันรุ่งขึ้นนางก็อ้างว่าจะไปตามหาคนในครอบครัว แล้วจ่ายเงินสิบตำลึงให้ลูกชายของป้าซุนไปส่งพวกนางที่ตัวเมือง หลังจากป้าซุนได้รับเงินมาแล้ว ก็มอบอาภรณ์เก่าของลูกสะใภ้ตนให้กับหลิงอวี๋อย่างใจดีหลิงอวี๋ประคองร่างกายที่เพิ่งแท้งแล้วไปเปลี่ยนกระโปรงที่เปื้อนเลือดของตน จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าหลิงอวี๋รู้สึกอ่อนเพลีย จึงนอนบนรถม้าและผล็อยหลับไปส่วนป้าวซวนหวาดกลัวจ้าวหรุ่ยหรุ่ย จึงมิกล้าพูดอะไรเช่นกันภายในรถม้าจึงมีแต่ความเงียบการเดินทางสามสิบลี้บนรถม้าที่โยกไปมานั้นช่างยาวนาน จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิได้ง่วงนอน จึงมองหลิงอวี๋ที่นอนหลับอยู่บนแผ่นไม้ของรถม้า นางผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าสกปรก ทั้งยังสวมชุดผ้าหยาบที่เต็มไปด้วยรอยปะทั้งตัวอีกฮองเฮาผู้สูงส่งในอดีต ตอนนี้ต่างอะไรกับสตรีชนบทกันเล่า?ความรู้สึกภาคภูมิใจพลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยทันที นางเหยียบไปบนหน้าอกของหลิงอวี๋ ทั้งยังบดขยี้ลงไปอย่างร้ายกาจ พลางเอ่ยออกไปอย่างเยาะเย้ย“อวี้หนู เจ้าดูเถิดว่าข้าดีกับเจ้าแค่ไหน เจ้าตั้งครรภ์ลูกนอกสมรสข้าก็มิรังเกียจเจ้า ทั้งยังพาเจ้า
กระทั่งหลิงอวี๋ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็รู้สึกว่าที่ท้องน้อยของตนยังปวดอยู่เล็กน้อยคราวนี้นางมิเห็นดวงอาทิตย์แล้ว เหนือหัวของนางเป็นหลังคาสีเทา ๆ และมีเนื้อแห้งห้อยอยู่บนคานนี่คือที่ใดกัน?ลูกของนางยังอยู่หรือไม่?ขณะที่หลิงอวี๋กำลังจะยื่นมือออกไปแตะที่ท้องน้อยของตน นางก็ได้ยินเสียงพูดคุยมาแว่ว ๆ“ท่านป้า พวกเรานายบ่าวถูกคนเลวทำร้ายมาจึงมาลำบากอยู่ที่นี่ ขอบคุณท่านป้ามาก ๆ ที่รับพวกเรา! เมื่อพวกเราตามหาครอบครัวเจอแล้ว เราจะตอบแทนท่านอย่างดีแน่นอน!”เสียงของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยตามมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างมีอายุเอ่ยขึ้นมา “คุณหนูจ้าวเกรงใจกันเกินไปแล้ว พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด หากต้องการสิ่งใดก็บอกมา ข้าจะให้ลูกชายข้าไปซื้อมาให้พวกเจ้าเอง!”“ท่านป้า ท่านเตรียมอาหารให้พวกเราก็พอแล้ว! จริงสิ ท่านป้า ข้าขอถามท่านสักหน่อยเถิด ที่นี่คือที่ไหนหรือ? อยู่ห่างจากเมืองหลวงแดนเทพเท่าไร?”หลิงอวี๋รีบเงี่ยหูฟังทันที นางจะต้องหนีไปจากเงื้อมมือของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยให้จงได้ หากรู้ทิศทางแล้วก็จะหลบหนีได้ง่าย“หมู่บ้านของเราชื่อหมู่บ้านหนิงหย่วน อยู่ห่างจากตัวเมืองสามสิบกว่าลี้ ที่เจ้าถามว่าอยู่ห่
“หรุ่ยหรุ่ย เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”ป้าวซวนตั้งสติได้ก็พุ่งเข้าไป คิดว่าจะดึงจ้าวหรุ่ยหรุ่ยไว้แต่คาดมิถึงว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะใช้หลังมือตบป้าวซวนอย่างแรงจนทำให้ป้าวซวนล้มลงไป“ป้าวซวน เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นคุณหนูสามของตระกูลป้าวอยู่รึ?”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยปล่อยหลิงอวี๋ที่กำลังขดตัวด้วยความเจ็บปวดไว้ชั่วคราว แล้วพุ่งเข้าไปเหยียบที่ข้อมือของป้าวซวน จากนั้นก็โน้มตัวเข้าไปมองนางพร้อมกับรอยยิ้มเยาะ“เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด? ที่นี่แดนเทพ!”“ที่นี่อยู่ห่างจากตระกูลป้าวของเจ้ามิรู้กี่พันลี้! ข้าจะบอกเจ้าให้ นับแต่นี้ไป เจ้ามิใช่คุณหนูตระกูลป้าวอีกต่อไปแล้ว เจ้าคือนางรับใช้ของข้า จ้าวหรุ่ยหรุ่ย!”“ข้าบอกให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ต้องทำ มิเช่นนั้นข้าจะเฉือนหน้าเจ้าเช่นเดียวกับที่ข้าทำกับนาง!”หลิงอวี๋เจ็บปวดจนแทบจะสลบแล้ว และเลือดของนางก็เปื้อนอยู่เต็มกระโปรงไปหมดเมื่อนางได้ยินคำพูดของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยในขณะที่นางกำลังอยู่ในอาการมึนงงนั้น นางจึงได้รู้ว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นคนที่กรีดหน้าตน มิใช่พวกค้ามนุษย์ที่ทำจ้าวหรุ่ยหรุ่ยหลอกตนมาตลอด!“เจ้าพูดเรื่องเพ้อฝันอยู่รึ? ข้ามิใช่นางรับใช้ของเจ้านะ!”ป้
ตอนที่หลิงอวี๋ตื่นขึ้นมา ตรงหน้านางก็ยังเป็นแสงหลากสีนั้นอยู่ กระทั่งแสงจางลง นางจึงได้เห็นดวงอาทิตย์สีทองห้อยอยู่เหนือหัวของนางช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่นางอยู่คฤหาสน์ตระกูลป้าวเป็นเวลากลางคืน แล้วเหตุใดเพียงชั่วพริบตาจึงมีดวงอาทิตย์ขึ้นมาได้เล่า?ขณะที่หลิงอวี๋กำลังรู้สึกสับสน นางก็รู้สึกเจ็บปวดตรงบริเวณท้องน้อยขึ้นมา ตามมาด้วยความร้อนที่ไหลออกมาจากระหว่างขาของนางหลิงอวี๋ลูบตรงท้องน้อยโดยมิรู้ตัว แล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมากลูกของนาง?ความร้อนนี้ต้องเป็นเลือดแน่ ๆ!เด็กอาจจะมิอยู่แล้ว!หลิงอวี๋หันไปด้วยความตื่นตระหนก แล้วนางก็เห็นว่าตนอยู่ในทุ่งนา และห่างออกไปมิไกลก็มีเด็กสาวคนหนึ่งนอนอยู่ด้วย“ฮ่า ๆ ข้ากลับมาที่แดนเทพแล้ว! ครั้งนี้ข้าทำสำเร็จแล้ว!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยลุกขึ้นมาเห็นดวงอาทิตย์ จากนั้นก็เห็นทุ่งนาที่อยู่ข้าง ๆ นางจึงลุกขึ้นมาและตะโกนด้วยความตื่นเต้นหลิงอวี๋หันไปมองแล้วก็เห็นว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอยู่อีกด้านหนึ่งของตนเมื่อหลิงอวี๋เห็นจ้าวหรุ่ยหรุ่ย ความโกรธก็พลุ่งพล่านออกมาจากดวงตาในทันที ตอนนี้นางมิเชื่อแล้วว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยคือคุณหนูของตนผนึกที่อยู่บนร่างกายจ
กระทั่งเถาจื่อและหานอวี้ช่วยประคองเก๋อเฟิ่งฉิงออกไปแล้ว เซียวหลินเทียนจึงได้เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้ม “เผยอวี้ เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”“ฮองเฮามิได้อยู่ที่ภูเขาหิมะแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระนางอยู่ในเมืองเล็ก แต่ว่า ตอนนี้พระนางถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยพาตัวไปอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เผยอวี้รีบเล่าให้ฟังว่าตนพบหลิงอวี๋ได้อย่างไร และเรื่องที่หลิงอวี๋หายตัวไปอีกครั้งได้อย่างไร“แม่นมอูเล่า เหตุใดนางจึงมิได้อยู่กับพวกเจ้า?”เผยอวี้ยังคงหวังว่าแม่นมอูจะช่วยพวกเขาตามหาหลิงอวี๋ให้เจอ แต่ผลก็คือมิพบแม่นมอู“แม่นมอูขาดการติดต่อกับเราไปแล้ว!”ผู้ที่ตอบคือขันทีโม่นับตั้งแต่ที่ขันทีโม่รู้ว่า คนของตระกูลจงเจิ้งก็อยู่บนภูเขาหิมะเช่นกัน เขาก็สงสัยว่าคนที่ลบรหัสลับที่แม่นมอูทิ้งไว้ให้ตนจะมิใช่คนจากวังเทพ และมิใช่คนจากตระกูลเฉียว หรือตระกูลเก๋อ แต่เป็นคนจากตระกูลจงเจิ้งต่างหากเขาสงสัยกระทั่งว่า แม่นมอูตกไปอยู่ในมือของคนตระกูลจงเจิ้งแล้วเซียวหลินเทียนมองไปทางภูเขาหิมะที่อยู่ไกล ๆ แล้วรู้สึกเศร้าและสับสนก่อนหน้านี้ยังคิดว่าหลิงอวี๋อยู่ที่วังเทพ ขอเพียงตนสามารถไปถึงวังเทพได้ ก็จะได้พบกับหลิงอวี๋แต่บัดนี้ เผยอวี้กลับบอก
“พี่สี่ เมื่ออยู่ที่ภูเขาหิมะแห่งนี้ ตระกูลจงเจิ้งเป็นภัยคุกคามยิ่งกว่าตระกูลเก๋อและตระกูลเฉียวเสียอีก!”เก๋อเฟิ่งฉิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของพวกเขามีความทะเยอทะยานยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาว่า พวกเขาคิดจะช่วยฝูไห่ออกมาแล้วให้มาต่อสู้กับตระกูลหลง!”“เพียงแต่ตระกูลหวงฝู่นั้นแข็งแกร่งมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีโอกาส! แต่ตอนนี้พวกเขามาปรากฏตัวที่วังเทพอีกครั้งแล้ว เช่นนั้นพวกเขาก็น่าจะมีการเตรียมพร้อมมา เราจะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขามิได้เด็ดขาด!”มิต้องให้เก๋อเฟิ่งฉิงเอ่ยเตือน เซียวหลินเทียนก็รู้ว่าตระกูลจงเจิ้งมีเจตนาร้ายต่อหลิงอวี๋อย่างเต็มเปี่ยมเขาอุ้มจิ่วเทียนขึ้นมาแล้วเอ่ยออกไป “ในเมื่อพวกเขามาแล้ว พวกเราก็ต้องรีบหาทางออก และออกไปโดยเร็วที่สุด!”สิ่งที่โชคดีก็คือ คราวนี้พวกเขาเพิ่งจะเดินมาเพียงครึ่งวัน และในตอนใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ไกล ๆ “เดินเร็ว ๆ เข้า ดูเหมือนว่าข้าจะเห็นช่องว่างแล้ว เราน่าจะถึงก้นหุบเขากันแล้ว!”ฉินซานนี่!เซียวหลินเทียนตื่นเต้นขึ้นมาทันที เพราะนั่นหมายความว่าพวกนั้นลงมาจากด้านบน และก็จะสามารถพาพวกเขาออกไ
เนื่องจากความรู้สึกขอบคุณนี้ เซียวหลินเทียนจึงตัดสินใจที่จะละทิ้งอคติที่มีต่อเก๋อเฟิ่งฉิงไป และอยู่ร่วมกับเก๋อเฟิ่งฉิงอย่างเป็นมิตรในที่สุดวันนี้พวกเขาทั้งสามก็ออกมาได้แล้ว มองเห็นดวงอาทิตย์แล้ว ซึ่งนี่ก็หมายความว่า อีกมินานพวกเขาก็จะสามารถออกไปจากหุบเขานี้ได้เซียวหลินเทียนตื่นเต้นขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ผิวปาก หากว่าเหยี่ยวดำจิ่วเทียนอยู่แถวนี้ มันจะต้องรีบมาหาตนอย่างแน่นอนแต่หลังจากที่ผิวปากอยู่นาน ก็ยังมิเห็นจิ่วเทียนบินมาเสียที“บางทีจิ่วเทียนอาจจะมิได้อยู่แถวนี้ก็ได้!”ขันทีโม่เอ่ยปลอบใจเขา “เราสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้ เราก็สามารถหาทางออกไปได้ มิต้องร้อนใจไปหรอก!”ครั้งนี้เซียวหลินเทียนได้รับกระบี่คุนอู๋มาอย่างมิคาดฝัน เขาจึงรู้สึกพอใจมากและมิได้รู้สึกท้อแท้อะไรเขากับขันทีโม่ผลัดกันประคองเก๋อเฟิ่งฉิงเดินหน้าต่อไปหลังจากเดินไปได้สักพัก จู่ ๆ เซียวหลินเทียนก็ได้ยินเสียงร้องของนกเหยี่ยว เขาดีใจขึ้นมาทันที หรือว่าจิ่วเทียนจะมาหาแล้วเขาจึงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว แต่กลับมิเห็นร่างของจิ่วเทียน“ท่านพี่สี่ เสียงนั้นดังมาจากด้านหน้านี่!”เก๋อเฟิ่งฉิงเอ่ยเตือนเซียวหลิ