สำหรับคำถามของหลิงอวี๋ ฮูหยินผู้เฒ่าเผยกับใต้เท้าเผยได้หารือกันในบ้านแล้วฮูหยินผู้เฒ่าเผยเองก็รู้ว่า หากเอาเรื่องที่หลิงหว่านต้องไว้ทุกข์แม่สามปีมาถอนหมั้นนั้นฟังมิขึ้น แต่นางกับตระกูลเผยล้วนมิชอบหลิงหว่าน จึงยอมที่จะถูกด่าลับหลังและยืนกรานที่จะถอนหมั้นฮูหยินผู้เฒ่าเผยมิกล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา จึงทำได้เพียงเอ่ยอย่างนุ่มนวล “ฮองเฮา การแต่งงานเป็นการผูกสัมพันธ์ที่ดีของสองตระกูล มิใช่การผูกความโกรธแค้น...”“ถือเสียว่าตระกูลเผยขอโทษคุณหนูหลิง ขอร้องให้ฮองเฮาทรงเห็นใจ ตกลงกับคำร้องที่จะถอนพระราชโองการด้วยเถิดเพคะ สินสอดก่อนหน้านี้ก็ถือเป็นการชดใช้ให้คุณหนูหลิงเถิด!”หลิงหว่านได้ยินก็โกรธมาก จึงเอ่ยเรียบ ๆ “หม่อมฉันมิต้องการการชดใช้! ฮองเฮา ท่านตกลงเถิดเพคะ! หม่อมฉันหลิงหว่าน แม้ว่าชีวิตนี้จะมิได้แต่งงานก็ไม่มีทางร้องขอแต่งงานเข้าตระกูลเผย!”หลิงอวี๋ทอดถอนใจอยู่ในใจ แม้ว่านางจะรู้สึกว่าเผยอวี้คือคนที่หลิงหว่านสามารถไว้วางใจไปได้ตลอดชีวิต แต่ตระกูลเผยทั้งหลายต่อต้านหลิงหว่านเช่นนี้ หากหลิงหว่านแต่งงานเข้าไปก็ไม่มีทางใช้ชีวิตอย่างมีความสุขการแต่งงานมิใช่การแต่งกับคนคนเดียว โดยเฉพา
ไท่เฟยเส้ามิได้พอใจกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยผู้เป็นสะใภ้มากนัก ก่อนหน้านี้นางหวังให้ตระกูลจ้าวให้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยแต่งงานเข้ามาและสามารถช่วยให้องค์ชายคังประสบความสำเร็จได้แต่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเผชิญหน้ากับหลิงอวี๋ครั้งแรกก็พ่ายแพ้แล้ว สิ่งนี้ทำให้ไท่เฟยเส้าผิดหวังเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะมาไหว้ตน ไท่เฟยเส้าก็เรียกเข้ามาตำหนิภายนอกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยฟังอย่างนอบน้อม แต่ในใจอยากจะจัดการนางดังเช่นที่ทำกับองค์ชายคัง“สิ่งที่หมู่เฟยสอนก็คือ คราวนี้หรุ่ยหรุ่ยไม่มีประสบการณ์ เตรียมการมิมากพอ ครั้งต่อไปจะมิให้หลิงอวี๋รอดไปได้แล้วเพคะ!”คำพูดอ่อนโยนของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยทำให้ความโกรธของไท่เฟยเส้าเบาบางลงไปมาก อย่างน้อยจ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็สามารถบีบให้หลิงอวี๋อยู่ในสถานการณ์อับจนได้ เมื่อเทียบกับจ้าวเจินเจินแล้วจ้าวหรุ่ยหรุ่ยดีมากแล้วไท่เฟยเส้าได้ต่อว่าไปแล้วน้ำเสียงก็อ่อนลงมา แล้วก็เอ่ยด้วยความเกลียด “ตอนนี้ในวังอยู่ในการควบคุมของหลิงอวี๋กับยายเฒ่านั่น หมู่เฟยจะทำอะไรก็มิได้สะดวกนัก”“หมู่เฟยอยากให้ยายแก่นั่นตายไปเร็ว ๆ เช่นนี้แล้วหลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนก็จะไม่มียายเฒ่าคอยหนุนหลัง ก็จะจัดการได้ง่
“ข้านึกขึ้นได้ว่ามีธุระ ขอตัวก่อน!”“อาอวี๋ เจ้าอยู่กินอาหารกับไท่เฟยเส้าและไทฮองไทเฮาเถิด!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นพี่สะใภ้ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องร่วมโต๊ะอาหารกับเซียวหลินเทียน เซียวหลินเทียนจึงบอกกับหลิงอวี๋และไทฮองไทเฮาแล้วกำลังจะไป“ฝ่าบาท หรุ่ยหรุ่ยรบกวนการเสวยของพวกท่านหรือเพคะ?”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเอ่ยด้วยใบหน้าที่อึดอัดเจือความรู้สึกผิด “หรุ่ยหรุ่ยแค่อยากจะมาคารวะไทฮองไทเฮาเพคะ หากมิสะดวก เช่นนั้นหรุ่ยหรุ่ยขอทูลลา!”หลิงอวี๋ยิ้มเยาะอยู่ในใจ ระดับความเสแสร้งของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยผู้นี้มิได้ด้อยไปว่าจ้าวเจินเจินเลยแม้แต่น้อย!เซียวหลินเทียนกำลังหลีกเลี่ยง แม้ว่าคนที่เข้าใจจะรู้ว่าเป็นเพียงข้ออ้างก็มิควรเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน แต่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยกลับหยิบยกมาพูดแสร้งทำเป็นกระต่ายขาวตัวน้อยผู้ไร้เดียงสา!“พี่สะใภ้รอง องค์จักรพรรดิมีธุระจริง ๆ เมื่อครู่ก็บอกไว้แล้ว ให้เขาไปเถิด พวกเราบรรดาสตรีกินด้วยกันก็พอแล้ว!”หลิงอวี๋ยิ้มให้เซียวหลินเทียนเล็กน้อยพลางเอ่ย “ฝ่าบาท กลางคืนหม่อมฉันจะเตรียมพระกระยาหารมื้อดึกไว้ให้ ท่านจัดการเรื่องบ้านเมืองเสร็จแล้วก็มาเสวยเถิดเพคะ!”เซียวหลินเทียนสับสนไปในทันที เข
เมื่อมีท่าทีเล็ก ๆ นี้ หลิงอวี๋จึงยิ่งระวังจ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิเพียงแต่ของที่ตนกินดื่ม แม้แต่ของที่ไทฮองไทเฮากินและดื่ม หลิงอวี๋ก็จะระวังจ้าวหรุ่ยหรุ่ยมากแต่ท่าทีที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยแสดงออกมานั้นปกติมาก มิได้แตะต้องของกินของทั้งสองคนแต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ หลิงอวี๋ก็ยังมิอาจวางใจได้นางรู้สึกว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยลึกลับมาก ยอดฝีมือในดินแดนที่หก หากจะลงมือต้องมิทันได้รู้ตัวอย่างแน่นอน นางมิอยากให้ตนตายไปแบบมิรู้เรื่องใดที่จริงแล้วสตรีทั้งสี่ก็มิได้มีสิ่งใดให้พูดคุยกัน ภายนอกพวกนางคือครอบครัวเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นศัตรู เมื่อถอดหน้ากากความเป็นครอบครัวออกก็ล้วนเกลียดกันจนมิใครก็มิใครต้องตายหลังจากคุยกันไปสักพัก และรับประทานอาหารเสร็จ ไท่เฟยเส้ากับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็ขอตัวลาหลิงอวี๋รอให้พวกนางไป แล้วให้หลิงซวนกับแม่นมเว่ยรีบตรวจสอบในจุดที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยกับไท่เฟยเส้าแตะต้องอย่างละเอียดทันทีไทฮองไทเฮาเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมา “อาอวี๋ เจ้ากังวลมากเกินไปหรือไม่? พวกนางสองคนมิได้ไปที่อื่นเลยนอกจากโถงใหญ่ ในโถงใหญ่เองก็มีทุกคนจับตามองอยู่ พวกนางจะทำสิ่งใดได้!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “
เซียวหลินเทียนพูดเช่นนี้ หลิงอวี๋ก็วางใจไปได้มากก็จริง แม้ว่าการฝึกฝนพลังวิญญาณของเซียวหลินเทียนจะมิสู้จ้าวหรุ่ยหรุ่ย ทว่าหากจ้าวหรุ่ยหรุ่ยคิดจะวางแผนใส่โดยที่เขามิรู้ตัวนั้น เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปมิได้แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่หลิงอวี๋เองก็มิสามารถวางใจได้อย่างเต็มที่ จึงเอ่ยกับเซียวหลินเทียนอย่างเอาแต่ใจ “อยู่ในวังหลวง จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็ยังกล้าจะลองหยั่งเชิงท่าน นางจะต้องรู้แล้วอย่างแน่นอนว่าการฝึกฝนของท่านมิสู้ของนาง!”“เซียวหลินเทียน คืนนี้ท่านจะต้องฝึกฝนต่อ พยายามบรรลุไปให้ถึงขั้นสูงของดินแดนที่สี่ให้ได้!”เซียวหลินเทียนใบหน้าขมขื่นไปทันที แล้วมองหลิงอวี๋อย่างน่าสงสารหากฝึกฝนก็ต้องเสียเวลาทั้งคืนไป เขายังอยากจะมีลูกกับหลิงอวี๋อีกสักคน หากมิขยันแล้วจะมีลูกได้อย่างไรกัน!“ใช้สายตาเช่นนี้มามองหม่อมฉันก็ไม่มีประโยชน์เพคะ! คืนนี้หากมิเลื่อนไปถึงขั้นสูงของดินแดนที่สี่ ต่อไปก็มิอนุญาตให้ขึ้นเตียงของหม่อมฉัน!”หลิงอวี๋เท้าเอวจ้องมองเซียวหลินเทียนราวกับสตรีผู้โหดร้ายคนผู้นี้เคยได้อะไรแล้วก็อยากจะได้อีก ทุกคืนเอาแต่เอาเรื่องที่จะมีลูกอีกคนมาคลอเคลียตน เอวของนางเกือบจะหักอยู่แล้ว
คราวนี้หลิงอวี๋วางแผนไว้ว่าจะไปสามวัน หลี่ชุงบอกว่าภูเขาด้านหลังของหมู่บ้านตระกูลหลี่นั้นใหญ่มาก เครื่องยาสมุนไพรล้ำค่าเหล่านั้นสามารถพบได้ในสถานที่ที่คนมิอาจเข้าถึงได้เท่านั้นออกไปหนนี้ หลิงอวี๋เตรียมเสบียงไปจำนวนหนึ่ง คนที่พาไปก็ล้วนเป็นคนที่มีวรยุทธ์ และเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาด้านหลังในวันนั้นเลยดังที่หลี่ชุงได้บอกไว้ ยิ่งเดินลึกเข้าไป เครื่องยาสมุนไพรก็ยิ่งมาก หลิงอวี๋มิสนใจเครื่องยาสมุนไพรทั่วไป แล้วเลือกเก็บเอาเครื่องยาสมุนไพรที่ยากจะพบในยามปกติการฝึกฝนของหลิงอวี๋พัฒนาขึ้น ทั้งยังเรียนรู้การสร้างแหวนพระสุเมรุระดับต่ำในมิติอีกด้วย นางจึงทำมอบให้เถาจื่อ สุ่ยหลิงและพวกนางรับใช้ข้างกายทุกคนเช่นนี้แล้วเมื่อทุกคนเก็บเครื่องยาสมุนไพรจึงมิต้องแบก ล้วนใส่ไว้ในแหวนพระสุเมรุกันทั้งหมดเถาจื่อกับพวกสุ่ยหลิงได้รับแหวนพระสุเมรุครั้งแรกก็ตกใจมาก พวกนางมิคาดคิดว่าข้างในของแหวนเล็ก ๆ จะมีพื้นที่ใหญ่ถึงเพียงนั้น ที่สามารถเก็บสิ่งของของตนเข้าไปได้ทั้งหมด อีกทั้งหลิงอวี๋ก็บอกพวกนางว่าพื้นที่นี้จะขยายใหญ่ตามการฝึกฝนของพวกนางที่พัฒนาขึ้นด้วยพวกนางรับใช้จึงถูกล่อลวงในทันที พวกนางจึงยิ่งฝึก
“งดงามมาก สวรรค์บนหล้ามนุษย์คงเป็นเช่นนี้กระมัง!”สุ่ยหลิงกับหานเหมยต่างก็ร้องออกมาอย่างตกตะลึงลู่หนานกับพวกองครักษ์ก็พากันเออออไปด้วยดอกไม้ที่ผลิบานงดงามเหล่านั้น น้ำตกที่ไหลลงมา ทั้งยังมีไอหมอกที่ลอยอยู่เหนือแอ่งน้ำลึก ทำให้กลายเป็นภาพที่มีความสวยสดงดงามยิ่งนักระหว่างที่หลิงอวี๋ประหลาดใจอยู่นั้น กลับรู้สึกถึงสนามแม่เหล็กที่แข็งแกร่งมากคลื่นสนามแม่เหล็กนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าบนเจดีย์วัดไคหยวนที่ติ้งโจววันนั้นอีก!สายตาของหลิงอวี๋มองไปทางน้ำตกด้านบน แสงอาทิตย์สาดส่องลงมา น้ำเหล่านั้นที่เป็นราวกับม่านธรรมชาติ สะท้อนเป็นแสงหลากสีราวกับมายาจู่ ๆ หลิงอวี๋ก็นึกถึงถ้ำม่านน้ำในไซอิ๋ว หลังน้ำตกมีถ้ำด้วยหรือไม่?นางรู้สึกได้ว่าศูนย์กลางน้ำตกนั้นเป็นสถานที่ที่สนามแม่เหล็กแข็งแกร่งที่สุด“ลู่หนาน!”หลิงอวี๋เรียกลู่หนาน แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “สถานที่แห่งนี้เหมาะแก่การบำเพ็ญตนมาก เจ้าจงแบ่งคน คนกลุ่มหนึ่งบำเพ็ญตนอยู่กับที่ ส่วนอีกกลุ่มรับผิดชอบในการระวังภัย!”“ข้าจะพาพวกเถาจื่อไปดูที่น้ำตกเสียหน่อย อาจจะพบอะไรก็ได้!”“ให้กระหม่อมตามท่านไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ลู่หนานเห็นน้ำตกที่สูงนั้นแล้วจะ
กระทั่งลู่หนานกับทุกคนปีนขึ้นไปถึงแท่นกันหมด ทุกคนออกแรงดันร่วมกัน แต่ประตูเหล็กก็มิขยับ“ฮองเฮา นี่น่าจะเป็นประตูที่มีกลไกควบคุมอยู่พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่มิรู้ว่ากลไกอยู่ข้างในหรือว่าข้างนอก พวกเราลองหากันดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ลู่หนานเสนอทุกคนก็แยกย้ายกันตามหาบริเวณใกล้ ๆหลิงอวี๋มองไปที่ประตูเหล็กที่ดูหนักหน่วงนั้น นอกจากมังกรทองนั้นแล้ว บนประตูเหล็กยังมีลวดลายแฝงอีกนับมิถ้วนลวดลายแฝงเหล่านี้มองแวบแรกเป็นเพียงแค่การตกแต่ง แต่เมื่อดูให้ละเอียดแล้วดูคล้ายกับรูปภาพสามมิติที่นางเคยเล่นในยุคปัจจุบัน ขอเพียงจ้องมองดูสักหน่อยก็จะเห็นรูปภาพที่ต่างกันอยู่ข้างในหลิงอวี๋เห็นภาพกลุ่มหนึ่ง บนนั้นเป็นรูปเหมือนคนเก่าแก่มากและแต่งตัวแปลก ๆ พวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่อย่างดุเดือดคนกลุ่มสุดท้ายถูกบีบให้ยอมแพ้และอพยพไปในระหว่างการเดินทางที่ยาวไกลนั้น พวกเขาพบกับการไล่ล่า การสู้รบ การเกิดแก่เจ็บตาย และโรคภัยต่าง ๆ เดิมทีพวกเขาเป็นชนเผ่าที่มีกันอยู่หลายร้อยคน สุดท้ายกลับกลายเป็นยิ่งนานวันไปก็ยิ่งน้อยลง...ฉากสงครามเหล่านั้นถูกบรรยายจนทำให้หลิงอวี๋รู้สึกราวกับอยู่ในสถานการณ์จริง ราวกับว่านางเห็นความรุน
บัณฑิตของหอโอสถไป๋เป่าและหอโอสถซ่างกู่ รวมถึงคนที่มาเฝ้าดูจำนวนมากนั้นต่างก็เข้าใจพื้นฐานของเครื่องยาสมุนไพร หลิงอวี๋จึงยิ้มเยาะแล้วเอ่ยออกมา“คุณหนูหยางของพวกเราน่าจะชอบยาระบายและยาที่ทำให้เกิดอาการคันเป็นพิเศษนะ นางจึงใส่ยาเหล่านี้ลงไปในยาพิษของนางด้วย!”หา!เมื่อเหลยเหวินและคนอื่น ๆ ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็ตกตะลึงกันไปคุณหนูบางคนถอยหลังไปสองสามก้าวโดยมิรู้ตัว นี่ก็หมายความว่าหากพิษที่หลิงอวี๋ออกฤทธิ์ มันจะต้องไหลพรวดออกมาแน่ ๆเย่หรงมองหยางหงหนิงอย่างรังเกียจ และกำหมัดแน่นเสี่ยวชีพูดถูกจริง ๆ นิสัยในการปรุงยาพิษของหยางหงหนิงนั้นมิสามารถเปิดเผยต่อหน้าทุกคนได้จริง ๆฉินซานยืนอยู่ข้างเย่หรง เมื่อครู่เย่หรงเพิ่งจะเล่าเรื่องของเขากับหยางหงหนิงให้ฟังอยู่คร่าว ๆเมื่อฉินซานได้ยินหลิงอวี๋บอกว่า หยางหงหนิงใส่สิ่งเหล่านี้ลงไปในยาพิษ เขาก็มองไปทางเย่หรงด้วยสีหน้าเห็นใจ จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วเอ่ยออกมา “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดเจ้าจึงมิชอบนาง!”“สตรีประเภทนี้ หากเปลี่ยนเป็นข้า ข้าก็มิชอบเช่นกัน!”“นี่คือการแข่งขัน มิใช่การต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันจริง ๆ เหตุใดต้องทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ด
หลิงอวี๋มองปราดเดียวก็อ่านความคิดของหยางหงหนิงออกแล้ว นางจึงยิ้มมุมปาก “วิธีการเล่นเช่นนี้ก็สดใหม่ดี เช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าบอกเถิด!”ทั้งสองจึงแลกเปลี่ยนยาพิษกันหยางหงหนิงหยิบผงยาใส่ปากอย่างมิใส่ใจ แล้วชิมส่วนผสมที่อยู่ในนั้น จากนั้นก็มองไปทางหลิงอวี๋และยิ้มอย่างดูถูก“ยาพิษง่าย ๆ เช่นนี้ เจ้าก็กล้านำมาใช้ในการแข่งขันหรือ สิงอวี๋ เจ้ารอไสหัวไปจากเมืองหลวงแดนเทพได้เลย!”หลิงอวี๋ก็ยิ้มบาง ๆ “พูดประโยคนี้ในตอนนี้มันยังเร็วเกินไป อีกสักครึ่งชั่วยามค่อยพูดเถิด!”“การเอาชนะเจ้า ข้ามิใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามหรอก แค่สิบห้านาทีก็พอแล้ว!”หยางหงหนิงเอ่ยขึ้นมาอย่างเย่อหยิ่งทุกคนต่างมองผงยาพิษในมือของทั้งสองคน และอยากรู้ว่าทั้งสองคนปรุงยาพิษชนิดใดเอาไว้“เข้าไปเลือกเครื่องยาสมุนไพร!”หยางหงหนิงรีบชิงเข้าไปก่อน เมื่อเห็นขวดยาก็นำมาใส่ลงในตะกร้าทันทีหลิงอวี๋มองดูก็รู้ทันทีว่าผงยาที่นางใส่นั้นคือเครื่องยาสมุนไพรของยาแก้พิษที่นางทำไว้หยางหงหนิงต้องการจะแย่งชิงเครื่องยาสมุนไพรที่หลิงอวี๋ต้องนำไปปรุงยาแก้พิษ เพื่อทำให้หลิงอวี๋มิสามารถปรุงยาแก้พิษได้หลิงอวี๋ส่ายหัวอย่างหมดคำพูด แล้วหิ้วตะก
คำถามนี้ของหลิงอวี๋ทำเอาจงเจิ้งเฟยพูดมิออกไปทันทีทั้งสองเส้นทางล้วนเป็นทางตันทั้งสิ้น!หลิงอวี๋ใช้คำเปรียบเทียบนี้เพื่อบอกจงเจิ้งเฟยว่า มิว่านางจะยั่วยุหยางหงหนิงหรือไม่ หยางหงหนิงก็มิยอมปล่อยนางไปอยู่ดีในเมื่อล้วนเป็นทางตันทั้งหมด แล้วไฉนมิหยิบไม้ขึ้นมาสู้สักครั้งเล่า?หากวิชาพิษของหลิงอวี๋สามารถเอาชนะหยางหงหนิงได้ เช่นนั้นจะทำให้หยางหงหนิงรวมถึงเหมียวหยางที่คอยรังแกหลิงอวี๋อยู่เสมอนั้นรู้สึกหวาดกลัวได้!จะเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่แข็งแกร่งกว่าตนอย่างไรก็ล้วนต้องก้มหัวให้!หากทักษะด้อยกว่าผู้อื่น เช่นนั้นตายไปก็ยังดีกว่าตายเพราะถูกข่มเหงรังแก เป็นการตายอย่างกล้าหาญ!จงเจิ้งเฟยเข้าใจสิ่งที่หลิงอวี๋บอกแล้วและนางก็มองหลิงอวี๋ด้วยความชื่นชมความเด็ดเดี่ยวและความแข็งแกร่งของศิษย์พี่หญิงนั้นดูเป็นบุรุษยิ่งกว่าบุรุษเสียอีก!จงเจิ้งเฟยรู้สึกว่า นี่ต่างหากคือจุดเด่นภายใต้รูปลักษณ์ธรรมดาของศิษย์พี่หญิง นางเป็นสตรีก็ยังเคารพหลิงอวี๋ เช่นนั้นขอเพียงมิใช่บุรุษที่หยาบคายเช่นเหมียวหยาง จะมีใครบ้างที่มิชอบสตรีเช่นหลิงอวี๋?“หงหนิงออกมาแล้ว! สิงอวี๋ ถึงตาเจ้าแล้ว หาก
“ได้ ตกลงตามนี้!”หลิงอวี๋จ้องหยางหงหนิงอย่างกดดัน “ต้องยอมรับผลแพ้ชนะ ถึงเวลานั้นหากแพ้ เจ้าก็อย่าได้พูดอะไรที่มิเหมาะสมออกมา!”หยางหงหนิงเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ต้องยอมรับผลแพ้ชนะ! หลงอิง พวกเราขอยืมห้องปรุงโอสถของเจ้าสักหน่อยนะ!"หลงอิงเป็นเจ้าภาพในวันนี้ นางมิชอบมาก ๆ ที่มีคนมาสร้างปัญหาขึ้นในงานเลี้ยงชมบุปผาของตน ทำให้รายการที่ตนเตรียมไว้มิได้นำออกมาแต่หยางหงหนิงพูดไปแล้ว ดังนั้นต่อให้นางมิชอบก็มิอาจปฏิเสธได้“เสี่ยวอวี๋ มิต้องพนันแล้วได้หรือไม่ เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของหงหนิงหรอก! เจ้ายอมแพ้ แล้วขอโทษหงหนิงเสียเถิด!”หลงอิงดูท่าทางเป็นห่วงหลิงอวี๋“คุณหนูหลง ข้ามิสามารถขอโทษคนที่ใส่ร้ายข้าในเรื่องที่ข้ามิได้ทำได้หรอก!”หลิงอวี๋รู้ว่าฮูหยินทั้งสองของตระกูลเฉียวอยู่ด้วย และตามหลักแล้วตนมิควรทำตัวโดดเด่นให้เป็นจุดสนใจแต่นางอดกลั้นความโกรธไว้มากแล้ว นางต้องระบายออกมาเหมียวหยางอาศัยอำนาจมาทำลายบ้านของตน และตอนนี้หยางหงหนิงก็อาศัยอำนาจกล้ามาใส่ร้ายตนโดยไม่มีหลักฐานอีก หากวันนี้ตนทนเงียบมิพูดอะไร เช่นนั้นต่อไปก็จะมีข่าวลือที่ยิ่งกว่านี้แพร่กระจายออกไปแม้ว่าหลิงอวี๋จะอยากเก็บตัวอยู่
บรรดาศิษย์น้องของเหมียวหยางจะกล้าปล่อยเหมียวหยางไปได้อย่างไร แม้ว่าเย่หรงจะเป็นศิษย์ที่มิประสบความสำเร็จของตระกูลเย่ แต่เขาก็นับว่าเป็นผู้มีอำนาจที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงแดนเทพ และความโหดร้ายของเขาก็ราวกับหมาป่าหากเขาประกาศชัดเจนว่าจะยั่วยุใคร เช่นนั้นแล้วขอเพียงยังมีลมหายใจอยู่ ต่อให้ต้องสู้จนถึงที่สุดก็จะมิยอมรามือถึงแม้ว่าเหมียวหยางจะเกลียดเย่หรงที่ทำให้จมูกของตนหัก แต่ท่าทีที่จะสู้กับเย่หรงอย่างสุดชีวิตนั้น ก็เป็นเพียงการแกล้งทำไปเท่านั้นเนื่องจากด้วยพลังของเขาแล้ว เขามิใช่คู่ต่อสู้ของเย่หรงอย่างแน่นอน มิฉะนั้นก็คงมิถึงกับถูกเย่หรงต่อยสองหมัด แล้วไม่มีแรงตอบโต้หรอก“พวกเจ้าปล่อยข้า ให้ข้าไปสู้กับเขา… เย่หรง เจ้ารู้สึกผิดแล้วกระมัง จึงได้ใส่ร้ายข้า!”เหมียวหยางตะโกนออกไปอย่างโอ้อวด “ข้ามิได้ทำลายบ้านของสิงอวี๋ มิใช่ว่าเจ้าจงใจไปทำลายบ้านของนาง เพื่อให้นางยอมขึ้นเตียงกับเจ้า และใช้โอกาสนี้สนับสนุนนางเองรึ?”น้ำโคลนสาดเข้ามาหาเย่หรงในทันทีคนจำนวนมากที่อยู่ตรงนั้น ต่างก็รู้สึกว่าคำพูดของเหมียวหยางอาจจะเป็นเรื่องจริงได้ เพราะเรื่องนี้ดูเป็นเรื่องที่เย่หรงสามารถทำได้!หลิงอวี
หยางหงหนิงยิ่งโวยวายก็ยิ่งเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ และดึงดูดสายตาของคุณหนูคุณชายที่ยังอยู่รอบ ๆ มิได้แยกตัวออกไปให้พากันหันมามอง"ข้าบอกว่าเจ้าต่ำต้อย แต่เจ้าก็ยังบอกว่ามิต่ำต้อย! ทุกคนมาดูอันดับหนึ่งของหอปรุงโอสถผู้นี้เถิด นางคือคนต่ำต้อยไร้ยางอาย!”“นางล่อลวงเย่หรงไปดื่มสุรา และมิรู้ว่านางใช้กลอุบายอะไร จึงทำให้เย่หรงสนับสนุนนาง!”“สิงอวี๋ ข้าขอบอกไว้เลยว่า คนต่ำต้อยเช่นเจ้า ตระกูลเย่ไม่มีทางให้เจ้าเข้าไปเป็นอันขาด และถึงแม้ว่าพวกเขาจะให้เจ้าเข้าไป เจ้าก็เป็นได้เพียงอนุเท่านั้น!”เมื่อคุณหนูเหล่านั้นรวมถึงบัณฑิตของหอโอสถไป๋เป่าได้ยินเช่นนั้น ก็ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา“ข้าก็บอกแล้วว่านางแต่งตัวธรรมดาเช่นนั้น แล้วจะมีเงินไปศึกษาที่สำนักศึกษาชิงหลงได้อย่างไร ที่แท้นางก็อาศัยการหลอกลวงเงินของบุรุษ!”“แต่นางก็มิได้งามอะไรนักนี่ แล้วเย่หรงจะชอบนางได้หรือ?”“เจ้ามิรู้หรอก บุรุษบางคนมิได้สนใจที่หน้าตา แต่สนใจที่รูปร่าง บางทีเย่หรงอาจจะสบายใจกับการปรนนิบัติของสตรีผู้นี้ก็เป็นได้!”คำพูดนี้เหมียวหยางเป็นคนพูด เขาพูดไปพลางยิ้มอย่างหยาบคาย ทั้งยังขยิบตาอย่างคลุมเครือให้กับพวกคุณชายที่อ
จงเจิ้งเฟยส่ายหัว “ข้าเองก็มิได้รู้แน่ชัดนัก ข้าแค่ฟังมาจากคนอื่นเท่านั้น เพราะพวกนางบอกกันว่าฉินตะวันตกเป็นคนละดินแดนกับพวกเรา!”“ข้าได้ยินมาเพียงว่า ทักษะการแพทย์ของหลิงอวี๋ผู้นี้ยอดเยี่ยมมาก ก่อนหน้านี้ว่ากันว่า ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเก๋อท้องใหญ่ราวกับกลอง และไม่มียาใดที่สามารถรักษาได้ แต่หลิงอวี๋เป็นคนผ่าท้องของนางแล้วนำถุงน้ำที่อยู่ในท้องของนางออกมา เช่นนี้จึงรักษาโรคประหลาดของนางหายขาดได้!”“ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเก๋อได้เดินทางติดตามข้าหลวงเก๋อมาที่เมืองหลวงแดนเทพแล้ว ดู ๆ ไปแล้วก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไปมิได้ผิดปกติใด ๆ นี่คือข้อเท็จจริง!”เหลยเหวินฟังแล้วก็รู้สึกสับสน “ดูเช่นนี้แล้ว หลิงอวี๋ก็มินับว่าเป็นคนเลว แต่เหตุใดนางจึงสังหารเฉียวเค่อเล่า!”หลิงอวี๋ฟังอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ แล้วนางก็ยิ่งอยากรู้อดีตของตนมากขึ้นไปอีกตนเป็นคนแบบใดกันแน่?เหตุใดจึงมีศัตรูมากถึงเพียงนี้?ดูท่าทางจะต้องไปถามผู้รอบรู้เสียหน่อยแล้ว บางทีการรู้เรื่องในอดีตของตน อาจจะทำให้นางฟื้นความทรงจำที่หายไปได้เร็วขึ้นก็ได้ขณะที่ทั้งสามกำลังคุยกันอยู่ ก็เห็นหยางหงหนิงพาสหายอีกสองคนเดินเข้ามา“เฟยเฟย พวกเจ้าค
เมื่อหลิงอวี๋ได้ยินคำพูดของเย่หรง ก็อดมิได้ที่จะยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อยดูภายนอกเย่หรงกำลังบอกว่าตนเป็นคนขี้ขลาด แต่แท้จริงแล้วหลิงอวี๋กลับฟังออกว่าเย่หรงกำลังทำลายความเชื่อมั่นของฮูหยินเฉียวอยู่เขาใช้คำพูดของฮูหยินเฉียวมาเตือนผู้ที่คิดจะให้เบาะแสเพื่อเงิน ให้หยุดอยู่ที่ตรงนี้ลองคิดดูเถิด ฮูหยินเฉียวบอกว่าหลิงอวี๋เป็นคนโหดเหี้ยมไร้ความปรานี และหลิงอวี๋ก็สามารถหลบหนีการไล่ล่าของตำหนักหมาป่าสวรรค์ได้ หากใครจะเปิดโปงหลิงอวี๋ เช่นนั้นหลิงอวี๋จะทนเก็บความโกรธเอาไว้มิแก้แค้นได้หรือ?เป็นดังที่คาด คำพูดนี้ของเย่หรงทำให้คนจำนวนหนึ่งมิกล้าทำต่อไปแล้ววรยุทธ์ของเย่หรงมิได้อ่อนแอ เขาเองยังบอกว่ามิสามารถหลบหนีการไล่ล่าของตำหนักหมาป่าสวรรค์ได้ และสู้หลิงอวี๋มิได้ด้วยเช่นนั้นหากเปลี่ยนเป็นตนเอง ตนจะสามารถหลบหนีการไล่ล่าของตำหนักหมาป่าสวรรค์ได้หรือ?คนที่โหดเหี้ยมไร้ความปรานีเช่นหลิงอวี๋นี้ อย่าได้ไปยั่วยุนางจะเป็นการดีกว่าแม้ว่าเงินห้าล้านจะน่าดึงดูดใจ ทว่าหากชีวิตหาไม่แล้ว ต่อให้มีเงินแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์!มุมปากของเซียวหลินเทียนก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาเช่นกัน เขาก็ฟังออกถึงความหมายของเย่
เช่นนี้ก็แสดงว่า เฉียวไป๋เองก็รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าคนที่ช่วยเขาไว้คือศัตรูของเขา?หลิงอวี๋แอบดีใจที่ตนเปลี่ยนรูปลักษณ์อีกครั้ง หลังจากที่หนีออกมาจากเงื้อมมือของเก๋อฮุ่ยหนิง มิเช่นนั้นหากใช้ใบหน้าก่อนหน้านี้ ก็คงจะถูกเก๋อฮุ่ยหนิงสังหารไปแล้วใช่หรือไม่?ดูท่าทางต่อไปตนจะมิสามารถใช้มีดผ่าตัดรักษาคนได้อีกต่อไปแล้ว!หลิงอวี๋ค้นพบแล้วว่า ที่เมืองหลวงแดนเทพนั้นล้วนเป็นหมอโอสถที่รักษาโรค มิว่าจะเป็นโรคอะไร หมอโอสถก็ล้วนใช้เพียงโอสถในการรักษาโรคเท่านั้นส่วนการผ่าตัดนั้น ในตอนนี้กลายเป็นวิธีการรักษาเฉพาะตัวของนางไปแล้วประเดี๋ยวก่อน จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของหลิงอวี๋ตนเป็นคนที่รักษาดวงตาของฮูหยินเว่ยจนหาย ตอนนั้นมีหมอจำนวนมากบอกว่าดวงตาของฮูหยินเว่ยมิสามารถรักษาได้แล้ว หากพวกนางเองก็ได้เห็นหมายจับค่าหัวด้วย พวกนางจะไปเปิดโปงตนให้กับตระกูลเฉียวหรือไม่?ตั้งแต่ที่ตนลงมาจากเรือของตระกูลเว่ย ก็ทำเพียงเปลี่ยนกลับเป็นชุดสตรี แต่มิได้เปลี่ยนการแปลงโฉม!ยิ่งไปกว่านั้น ผู้รอบรู้ก็มิได้แปลงโฉมด้วย เช่นนั้นขอเพียงติดตามเบาะแสเหล่านี้มา การจะตามหาตนก็มิใช่เรื่องยากแล้ว!หากต้องการให้ตนป