ทั้งคุกนี้มีอันเจ๋อเป็นนักโทษอยู่ผู้เดียว เด็กผู้นั้นคิดว่าคงจะว่างไม่มีอะไรคำทำ อีกทั้งเห็นว่าอันเจ๋อถูกล่ามโซ่ไว้ มิน่าจะหนีได้ จึงคุยกับอันเจ๋อจากการพูดคุยกัน อันเจ๋อรู้ว่าเด็กผู้นี้ชื่อว่าเฉาหง เป็นลูกพี่ลูกน้องของเฉาเฉียงอาจารย์หลินผู้นั้น ว่ากันว่าเมื่อก่อนเป็นขอทาน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขามาจากที่ใด เถ้าแก้เนี้ยที่ขายผ้าอยู่ในเขตเห็นว่าเขาแข็งแรงดีจึงรับเขาไว้ทำงานทั่วไปอาจารย์หลินเก็บกวาดได้สะอาด ทั้งยังเป็นคนดี พูดจาก็มีเหตุมีผลเพียงแต่ดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียความทรงจำไป มิรู้เรื่องในอดีตของตนเองเลยสักนิดแม้ว่าใบหน้าของเขาจะเสียโฉม แต่ก็ตั้งใจทำงานเถ้าแก่เนี้ยเป็นหญิงหม้าย เหลืออยู่เพียงลูกชายอายุแปดขวบ นางเป็นคนหน้าตางดงาม ปกติจึงถูกพวกอันธพาลมาก่อกวนอยู่มิน้อยแต่เถ้าแก่เนี้ยดุมาก และมีวิธีการต่าง ๆ มิสิ้นสุด จึงมิปล่อยให้อันธพาลเหล่านั้นมาเอาเปรียบนับตั้งแต่อาจารย์หลินมา เถ้าแก่เนี้ยก็สนิทสนมกับเขาอยู่นาน แล้วก็ตกลงปลงใจกับเขาและภายใต้การจับคู่กับคนที่นางหามา เถ้าแก่เนี้ยจึงกลายเป็นฮูหยินหลินครานี้ที่เฉาเฉียงโจมตีสิงหยาง เดิมทีฮูหยินหลินเก็บของมีค่าไว้แล้ว คิดว
อันเจ๋อกับเฉาหงกำลังพูดคุยกันอยู่ มิได้สังเกตอาจารย์หลินที่มิรู้ว่ามาที่คุกเมื่อใด เขายืนฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอยู่ในเงามืดเมืองหลวง?องค์จักรพรรดิ?ในแววตาของอาจารย์หลินที่ก่อนหน้านี้เย็นชาไร้ความปรานีค่อย ๆ ปรากฏความสับสนขึ้นมาสิ่งที่อันเจ๋อพูดมาเหล่านี้ เหตุใดจึงฟังดูคุ้นเคยเช่นนี้?ตรงหน้าปรากฏภาพบางส่วนขึ้นมา...สวมเสื้อเกราะ กองทัพนับล้านที่เป็นระเบียบ!กองทัพทั้งสองต่อสู้กัน เขาควบม้าไปอย่างดุเดือดและเหวี่ยงดาบต่อสู้...แววตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นมองเขาอย่างลึกซึ้ง “สามี ไปครานี้ต้องดูแลตนเองนะ ข้าจะดูแลท่านอดีตเสนาบดีแทนท่านเอง...”“ท่านพ่อ...พวกเราเชื่อท่าน...”ภาพปรากฏขึ้นมาในหัวของอาจารย์หลินตามการพูดของอันเจ๋อ จากนั้นเขาก็ปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรงตอนแรกอาจารย์หลินยังสามารถทนได้ แต่มันค่อย ๆ ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ปวดจนเขากุมหัวทรุดลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้นเสียงนั้นดังจนเรียกให้เฉาหงวิ่งมาดู แล้วก็เห็นอาจารย์หลินกุมหัวคุกเข่าอยู่ เหงื่อเม็ดโตก็หยดลงที่พื้น“อาจารย์หลิน ท่านเป็นอะไรไป? โรคเก่ากำเริบอีกแล้วใช่หรือไม่!”เฉาหงคุกเข่าลงไปตรวจดูเขาอย่างตกใจพลางตะโกนเสียง
อันเจ๋อยังมิทันได้ชักนิ้วกลับมาก็ถูกอาจารย์หลินกัดเข้าไปอย่างแรง เขาส่งเสียงร้องออกมาอย่างอึดอัด อยากจะดึงนิ้วออกแต่ก็ดึงมิออกอันเจ๋อหมดคำพูดไปเลยทีเดียว นี่อาจารย์หลินคิดว่านิ้วตนเป็นไม้หรือไร?เขาลองเอานิ้วออกอยู่หลายครั้งแต่สุดท้ายแล้วก็มิสำเร็จแรงกัดเช่นนี้ หากเป็นลิ้นของอาจารย์หลินเองก็คงจะถูกเขากัดขาดกระมัง!อันเจ๋อเห็นว่าอาจารย์หลินชักเกร็งพร้อมกับเหงื่อเปียกโชกไปทั้งตัว จึงทำได้เพียงอดกลั้นความเจ็บเอาไว้แล้วปล่อยให้เขากัดต่อไปเฉาเฉียงเห็นว่าเหงื่อของอันเจ๋อไหลลงมาจากบนหัวแต่อันเจ๋อก็มิได้โกรธเกรี้ยวเฉาเฉียงจึงมองอันเจ๋อเปลี่ยนแปลงไป รู้สึกได้ว่ามิใช่ว่าขุนนางทุกคนจะน่ารังเกียจดังเช่นผู้ว่าการหวาง!ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น อาจารย์หลินคงจะกินยาของอันเจ๋อลงไปแล้วมิได้เจ็บปวดมากแล้ว จึงผ่อนคลายแล้วเลิกกัดนิ้วของอันเจ๋ออันเจ๋อดึงนิ้วออกมา ทั้งนิ้วนั้นเต็มไปด้วยเลือดอย่างน่าเวทนาเขาทรุดตัวลงกับพื้น มองอาจารย์หลินที่มิได้ชักแล้วพลางถอนหายใจโล่งอก“ดีขึ้นแล้ว ยาของข้าออกฤทธิ์แล้ว แต่ยังมิได้ตรวจสาเหตุของอาการป่วยให้แน่ชัด ยานี้ทำได้เพียงให้เขาผ่านพ้นครั้งนี้ไปได้เท่านั้น!
เซียวหลินเทียนคาดเดาไว้แล้วว่า พวกเขาจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ จึงหย่อนเหยื่อที่ใหญ่กว่าออกไปอย่างช้า ๆ“เหล่าขุนนางทั้งหลาย เพื่อเป็นการกระตุ้นพวกเจ้า ตัวข้าสามารถรับปากได้ว่า หากผู้ใดสามารถเสนอความคิดเห็นดี ๆ ที่แก้ไขเรื่องที่ดินรกร้างได้จริง ๆ จะได้เลื่อนขั้นหนึ่งขั้นและได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นสองเท่า”จ้าวฮุยกับหลี่ว์เซียงเป็นขุนนางในระดับสูงอยู่แล้ว ทั้งสองจึงมิสามารถเลื่อนขั้นได้อีก แต่เซียวหลินเทียนก็เอ่ยกับทั้งสองอย่างชัดเจนเพื่อมิให้จ้าวฮุยสร้างปัญหา“อัครเสนาบดีจ้าวกับหลี่ว์เซียงเป็นอัครเสนาบดีอยู่แล้ว พวกท่านทั้งสองมิสามารถเลื่อนขั้นได้!”“แต่เพื่อเป็นรางวัลในความก้าวหน้าของพวกท่าน ตัวข้ารับปาก… ขอเพียงพวกท่านทั้งสองหากผู้ใดสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินรกร้างได้ ข้าจะแต่งตั้งคนผู้นั้นเป็นอ๋อง!”ทันทีที่คำนี้ออกมา อัครเสนาบดีจ้าวกับหลี่ว์เซียงต่างก็เบิกตาโตอย่างงุนงงหลี่ว์เซียงมิได้สนใจในเรื่องการเป็นอ๋องใด ๆ ทั้งสิ้นแต่อัครเสนาบดีจ้าวนั้นแตกต่างออกไป เขาเป็นอัครเสนาบดีแล้ว ในชีวิตนี้ก็ทำได้เพียงอยู่ในตำแหน่งนี้ไปถึงกว่าจะถึงคราวเกษียณหากสามารถเป็นอ๋องได้ แม้ว่าจะเป็นอ๋
การว่าราชกิจในยามเช้านี้เป็นไปอย่างครึกครื้น ทุกคนต่างแสดงความคิดเห็นของตนและมีจำนวนมิน้อยที่ได้รับรางวัลจากเซียวหลินเทียน พวกขุนนางเช่นใต้เท้าหลี่ก็ได้เลื่อนขั้นและได้รับเงินในทันทีใต้เท้าหลี่ตื่นใจมากจนหลังจบการเข้าราชสำนักแล้วก็ยังคงตื่นเต้นอยู่ เขารู้สึกว่าการเลื่อนขั้นช่างง่ายดาย แค่พูดเรื่องดี ๆ ออกไปก็ข้ามผ่านความพยายามหลายปีของตนแล้วเพลานี้จ้าวฮุยยังคงมิได้ระแวดระวัง คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่เพิ่งได้ขึ้นครองบัลลังก์มินานก็เจอเหตุจลาจลแล้ว เขาคงใช้ความสามารถที่มีอยู่จนหมดไปแล้วจึงได้คิดจะทำบางสิ่งเอาใจมวลชนเมื่อคนของตนได้เลื่อนขั้น เขาเองก็ยินดีด้วยในใจของจ้าวฮุยยังคงเต็มไปด้วยความดูถูกที่มีต่อเซียวหลินเทียน เขารู้สึกว่า เซียวหลินเทียนยังเป็นมือใหม่ในเรื่องการบ้านการเมือง ยังมิเข้าใจว่าจะจัดการบ้านเมืองอย่างไรจึงได้ใช้วิธีระดมความคิดเช่นนี้หลังจากจบเรื่องหลิงอวี๋ได้ฟังเรื่องในราชสำนักจากปากของเซียวหลินเทียน นางก็มิได้มิพอใจแต่อย่างใดที่เซียวหลินเทียนนำข้อเสนอแนะของตนไปแปลงเป็นความดีความชอบของผู้อื่นเซียวหลินเทียนเข้าใจใช้วิธีอ้อม ๆ เช่นนี้ไปผลักดันนโย
อันเจ๋อยังเอ่ยถึงท่านอดีตเสนาบดีอีกด้วย เขารู้ว่าคนที่เคยเป็นทหารเช่นเฉาเฉียง พวกเขาอาจจะมิรู้จักองค์จักรพรรดิ แต่ไม่มีทางมิรู้จักท่านอดีตเสนาบดีที่อยู่ในกองทัพมาหลายสิบปีเป็นแน่“รู้จักท่านอดีตเสนาบดีอ๋องเจิ้นหนานที่เมืองหลวงหรือไม่? ก่อนหน้านี้เขาได้นำทัพแล้วตกม้าจนทำให้ขาหัก ตอนที่ถูกส่งตัวกลับเมืองหลวงก็หมดสติและหายใจรวยรินไปแล้ว!”“หมอหลวงในวังล้วนบอกว่า ท่านอดีตเสนาบดีจะมีชีวิตอยู่ได้อีกมินาน แต่ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ของพวกเราก็ใช้วิชาการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมช่วยเหลือท่านอดีตเสนาบดีไว้ได้!”“ตอนนี้ท่านอดีตเสนาบดีมิเพียงแต่ร่างกายแข็งแรงดีเท่านั้น แต่ยังสามารถขี่ม้าได้ด้วย!”เฉาเฉียงฟังแล้วก็เบิกตาโตอย่างประหลาดใจพวกเขาคือคนที่มาจากการออกรบ มีหรือจะมิรู้ว่าเมื่อขาหักแล้วหากโชคดีก็จะมีชีวิตอยู่ต่อได้ แต่หากโชคร้ายก็มีแต่ตายเท่านั้นท่านอดีตเสนาบดีได้รับการรักษาจนหายดีทั้งยังสามารถขี่ม้าได้อีก… นี่เป็นหมอขั้นเซียนจริง ๆ!“ข้ามิได้พูดคุยโวเกินจริงกับพวกเจ้า ทักษะการแพทย์ของฮองเฮายอดเยี่ยมจริง ๆ ตัวอย่างเช่นนี้ยังมีอีกมาก พวกเจ้าไปสืบที่เมืองหลวงดูก็จะรู้!”อันเจ๋อพูดจนปากแห้งคอแห้งจ
ดูเหมือนพวกเขาจะมองออกถึงความสับสนของอันเจ๋ออาจารย์หลินจึงเอ่ยอย่างอดทน “เมื่อหัวหน้าเฉายึดครองสิงหยางและกว่างอู่เอาไว้ได้ คนที่แปรพักตร์ก็มีจำนวนมากแล้ว!” “หัวหน้าเฉามีนิสัยซื่อตรง มิอนุญาตให้ลูกน้องกดขี่ข่มเหงราษฎร แต่ลูกน้องคนหนึ่งของเขาที่ชื่อหลิวจวินกลับอาศัยตอนที่มายึดครองสิงหยางกับหัวหน้าเฉาแล้วปล้นชิงราษฎรหญิงไป จึงถูกหัวหน้าเฉาทุบตีและขับไล่ไป!”“หลิวจวินมิยอมแพ้รวบรวมกองกำลังของตนไปปล้นยึดครองเมืองเช่นกัน และยังมีอีกคนที่ชื่อเส้าหมิงเจี๋ยที่มิพอใจในวิธีทางจัดการดูแลของหัวหน้าเฉาจึงรวบรวมกองกำลังก่อจลาจลด้วย!”อันเจ๋อเข้าใจแล้ว สองคนนี้อ้างชื่อของเฉาเฉียงไปรับคนที่มีความสามารถเข้ามาแล้วพัฒนาต่อเองพวกเสเพลเช่นนี้ย่อมมีทั้งคนดีและมิดีปะปนกันอยู่ จะเกิดเรื่องเช่นนี้ก็ย่อมเป็นเรื่องปกติอันเจ๋อมิได้ใส่ใจ คิดว่าให้อาจารย์หลินกับเฉาเฉียงยอมจำนนก่อนแล้วค่อยไปจัดการพวกเขาได้อย่างง่าย ๆ อาจารย์หลินเห็นว่าอันเจ๋อมิได้ระวังตัวจึงเอ่ยขึ้นมา “ใต้เท้าอัน ที่พวกเรายอมจำนนยังมีสาเหตุที่สำคัญอีกอย่าง! ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิส่งกองกำลังขนาดใหญ่อีกกลุ่มมาล้อมปราบเรา!”“ใต้เท้าจางยังกล
อันเจ๋อจำได้เพียงราง ๆ ว่า เมื่อมิกี่เดือนก่อนใต้เท้าจางยังได้มอบสาส์นกราบทูลบอกว่าปีนี้มีภัยพิบัติร้ายแรง และขอให้ราชสำนักมอบเงินเกือบสองล้านเพื่อจะนำไปซ่อมแซมเส้นทางแม่น้ำเขาจึงพูดเรื่องนี้ออกมาเฉาเฉียงจึงก่นด่าออกมาทันที “พวกเราเคยเห็นเงินจำนวนมากถึงเพียงนั้นที่ไหนกัน ใต้เท้าจางให้เงินชดเชยเพียงครอบครัวละสิบตำลึงเท่านั้น ข้ามีญาติที่ตายจากการถูกน้ำท่วม บ้านเขามีคนตายไปสามคนแต่ก็ได้เงินมาเพียงสิบตำลึงเท่านั้น!”“พวกใต้เท้าจางกังวลว่าจะมีคนออกไปฟ้องร้องจึงส่งทหารมาสกัดกั้นตามทางแยกต่าง ๆ และหากจับได้ก็สังหารคนเหล่านั้นต่อหน้าธารกำนัลด้วย!”อันเจ๋อฟังแล้วก็ตกใจมาก คิดมิถึงว่าพวกใต้เท้าจางจะทำร้ายราษฎรได้รุนแรงเช่นนี้!เงินซ่อมแซมเส้นทางแม่น้ำจำนวนมากถึงเพียงนั้นจะไปอยู่ที่ใดได้เล่า จะต้องถูกพวกใต้เท้าจางที่ละโมบโกงกินไปแล้วอย่างแน่นอนอันเจ๋อนึกถึงองค์ชายคังกับจ้าวฮุย ใต้เท้าจางผู้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับจ้าวฮุยทีเดียว หากมิได้มีจ้าวฮุยคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ใต้เท้าจางจะมีความกล้าหลอกลวงเบื้องบนได้ถึงเพียงนี้หรือ?“เช่นนั้นใต้เท้าเจียงข้าหลวงเจิ้งโจวเล่า? เขาร่วมด้วยหรือไม่?”