ทั้งคุกนี้มีอันเจ๋อเป็นนักโทษอยู่ผู้เดียว เด็กผู้นั้นคิดว่าคงจะว่างไม่มีอะไรคำทำ อีกทั้งเห็นว่าอันเจ๋อถูกล่ามโซ่ไว้ มิน่าจะหนีได้ จึงคุยกับอันเจ๋อจากการพูดคุยกัน อันเจ๋อรู้ว่าเด็กผู้นี้ชื่อว่าเฉาหง เป็นลูกพี่ลูกน้องของเฉาเฉียงอาจารย์หลินผู้นั้น ว่ากันว่าเมื่อก่อนเป็นขอทาน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขามาจากที่ใด เถ้าแก้เนี้ยที่ขายผ้าอยู่ในเขตเห็นว่าเขาแข็งแรงดีจึงรับเขาไว้ทำงานทั่วไปอาจารย์หลินเก็บกวาดได้สะอาด ทั้งยังเป็นคนดี พูดจาก็มีเหตุมีผลเพียงแต่ดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียความทรงจำไป มิรู้เรื่องในอดีตของตนเองเลยสักนิดแม้ว่าใบหน้าของเขาจะเสียโฉม แต่ก็ตั้งใจทำงานเถ้าแก่เนี้ยเป็นหญิงหม้าย เหลืออยู่เพียงลูกชายอายุแปดขวบ นางเป็นคนหน้าตางดงาม ปกติจึงถูกพวกอันธพาลมาก่อกวนอยู่มิน้อยแต่เถ้าแก่เนี้ยดุมาก และมีวิธีการต่าง ๆ มิสิ้นสุด จึงมิปล่อยให้อันธพาลเหล่านั้นมาเอาเปรียบนับตั้งแต่อาจารย์หลินมา เถ้าแก่เนี้ยก็สนิทสนมกับเขาอยู่นาน แล้วก็ตกลงปลงใจกับเขาและภายใต้การจับคู่กับคนที่นางหามา เถ้าแก่เนี้ยจึงกลายเป็นฮูหยินหลินครานี้ที่เฉาเฉียงโจมตีสิงหยาง เดิมทีฮูหยินหลินเก็บของมีค่าไว้แล้ว คิดว
อันเจ๋อกับเฉาหงกำลังพูดคุยกันอยู่ มิได้สังเกตอาจารย์หลินที่มิรู้ว่ามาที่คุกเมื่อใด เขายืนฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอยู่ในเงามืดเมืองหลวง?องค์จักรพรรดิ?ในแววตาของอาจารย์หลินที่ก่อนหน้านี้เย็นชาไร้ความปรานีค่อย ๆ ปรากฏความสับสนขึ้นมาสิ่งที่อันเจ๋อพูดมาเหล่านี้ เหตุใดจึงฟังดูคุ้นเคยเช่นนี้?ตรงหน้าปรากฏภาพบางส่วนขึ้นมา...สวมเสื้อเกราะ กองทัพนับล้านที่เป็นระเบียบ!กองทัพทั้งสองต่อสู้กัน เขาควบม้าไปอย่างดุเดือดและเหวี่ยงดาบต่อสู้...แววตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นมองเขาอย่างลึกซึ้ง “สามี ไปครานี้ต้องดูแลตนเองนะ ข้าจะดูแลท่านอดีตเสนาบดีแทนท่านเอง...”“ท่านพ่อ...พวกเราเชื่อท่าน...”ภาพปรากฏขึ้นมาในหัวของอาจารย์หลินตามการพูดของอันเจ๋อ จากนั้นเขาก็ปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรงตอนแรกอาจารย์หลินยังสามารถทนได้ แต่มันค่อย ๆ ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ปวดจนเขากุมหัวทรุดลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้นเสียงนั้นดังจนเรียกให้เฉาหงวิ่งมาดู แล้วก็เห็นอาจารย์หลินกุมหัวคุกเข่าอยู่ เหงื่อเม็ดโตก็หยดลงที่พื้น“อาจารย์หลิน ท่านเป็นอะไรไป? โรคเก่ากำเริบอีกแล้วใช่หรือไม่!”เฉาหงคุกเข่าลงไปตรวจดูเขาอย่างตกใจพลางตะโกนเสียง
อันเจ๋อยังมิทันได้ชักนิ้วกลับมาก็ถูกอาจารย์หลินกัดเข้าไปอย่างแรง เขาส่งเสียงร้องออกมาอย่างอึดอัด อยากจะดึงนิ้วออกแต่ก็ดึงมิออกอันเจ๋อหมดคำพูดไปเลยทีเดียว นี่อาจารย์หลินคิดว่านิ้วตนเป็นไม้หรือไร?เขาลองเอานิ้วออกอยู่หลายครั้งแต่สุดท้ายแล้วก็มิสำเร็จแรงกัดเช่นนี้ หากเป็นลิ้นของอาจารย์หลินเองก็คงจะถูกเขากัดขาดกระมัง!อันเจ๋อเห็นว่าอาจารย์หลินชักเกร็งพร้อมกับเหงื่อเปียกโชกไปทั้งตัว จึงทำได้เพียงอดกลั้นความเจ็บเอาไว้แล้วปล่อยให้เขากัดต่อไปเฉาเฉียงเห็นว่าเหงื่อของอันเจ๋อไหลลงมาจากบนหัวแต่อันเจ๋อก็มิได้โกรธเกรี้ยวเฉาเฉียงจึงมองอันเจ๋อเปลี่ยนแปลงไป รู้สึกได้ว่ามิใช่ว่าขุนนางทุกคนจะน่ารังเกียจดังเช่นผู้ว่าการหวาง!ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น อาจารย์หลินคงจะกินยาของอันเจ๋อลงไปแล้วมิได้เจ็บปวดมากแล้ว จึงผ่อนคลายแล้วเลิกกัดนิ้วของอันเจ๋ออันเจ๋อดึงนิ้วออกมา ทั้งนิ้วนั้นเต็มไปด้วยเลือดอย่างน่าเวทนาเขาทรุดตัวลงกับพื้น มองอาจารย์หลินที่มิได้ชักแล้วพลางถอนหายใจโล่งอก“ดีขึ้นแล้ว ยาของข้าออกฤทธิ์แล้ว แต่ยังมิได้ตรวจสาเหตุของอาการป่วยให้แน่ชัด ยานี้ทำได้เพียงให้เขาผ่านพ้นครั้งนี้ไปได้เท่านั้น!
เซียวหลินเทียนคาดเดาไว้แล้วว่า พวกเขาจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ จึงหย่อนเหยื่อที่ใหญ่กว่าออกไปอย่างช้า ๆ“เหล่าขุนนางทั้งหลาย เพื่อเป็นการกระตุ้นพวกเจ้า ตัวข้าสามารถรับปากได้ว่า หากผู้ใดสามารถเสนอความคิดเห็นดี ๆ ที่แก้ไขเรื่องที่ดินรกร้างได้จริง ๆ จะได้เลื่อนขั้นหนึ่งขั้นและได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นสองเท่า”จ้าวฮุยกับหลี่ว์เซียงเป็นขุนนางในระดับสูงอยู่แล้ว ทั้งสองจึงมิสามารถเลื่อนขั้นได้อีก แต่เซียวหลินเทียนก็เอ่ยกับทั้งสองอย่างชัดเจนเพื่อมิให้จ้าวฮุยสร้างปัญหา“อัครเสนาบดีจ้าวกับหลี่ว์เซียงเป็นอัครเสนาบดีอยู่แล้ว พวกท่านทั้งสองมิสามารถเลื่อนขั้นได้!”“แต่เพื่อเป็นรางวัลในความก้าวหน้าของพวกท่าน ตัวข้ารับปาก… ขอเพียงพวกท่านทั้งสองหากผู้ใดสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินรกร้างได้ ข้าจะแต่งตั้งคนผู้นั้นเป็นอ๋อง!”ทันทีที่คำนี้ออกมา อัครเสนาบดีจ้าวกับหลี่ว์เซียงต่างก็เบิกตาโตอย่างงุนงงหลี่ว์เซียงมิได้สนใจในเรื่องการเป็นอ๋องใด ๆ ทั้งสิ้นแต่อัครเสนาบดีจ้าวนั้นแตกต่างออกไป เขาเป็นอัครเสนาบดีแล้ว ในชีวิตนี้ก็ทำได้เพียงอยู่ในตำแหน่งนี้ไปถึงกว่าจะถึงคราวเกษียณหากสามารถเป็นอ๋องได้ แม้ว่าจะเป็นอ๋
การว่าราชกิจในยามเช้านี้เป็นไปอย่างครึกครื้น ทุกคนต่างแสดงความคิดเห็นของตนและมีจำนวนมิน้อยที่ได้รับรางวัลจากเซียวหลินเทียน พวกขุนนางเช่นใต้เท้าหลี่ก็ได้เลื่อนขั้นและได้รับเงินในทันทีใต้เท้าหลี่ตื่นใจมากจนหลังจบการเข้าราชสำนักแล้วก็ยังคงตื่นเต้นอยู่ เขารู้สึกว่าการเลื่อนขั้นช่างง่ายดาย แค่พูดเรื่องดี ๆ ออกไปก็ข้ามผ่านความพยายามหลายปีของตนแล้วเพลานี้จ้าวฮุยยังคงมิได้ระแวดระวัง คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่เพิ่งได้ขึ้นครองบัลลังก์มินานก็เจอเหตุจลาจลแล้ว เขาคงใช้ความสามารถที่มีอยู่จนหมดไปแล้วจึงได้คิดจะทำบางสิ่งเอาใจมวลชนเมื่อคนของตนได้เลื่อนขั้น เขาเองก็ยินดีด้วยในใจของจ้าวฮุยยังคงเต็มไปด้วยความดูถูกที่มีต่อเซียวหลินเทียน เขารู้สึกว่า เซียวหลินเทียนยังเป็นมือใหม่ในเรื่องการบ้านการเมือง ยังมิเข้าใจว่าจะจัดการบ้านเมืองอย่างไรจึงได้ใช้วิธีระดมความคิดเช่นนี้หลังจากจบเรื่องหลิงอวี๋ได้ฟังเรื่องในราชสำนักจากปากของเซียวหลินเทียน นางก็มิได้มิพอใจแต่อย่างใดที่เซียวหลินเทียนนำข้อเสนอแนะของตนไปแปลงเป็นความดีความชอบของผู้อื่นเซียวหลินเทียนเข้าใจใช้วิธีอ้อม ๆ เช่นนี้ไปผลักดันนโย
อันเจ๋อยังเอ่ยถึงท่านอดีตเสนาบดีอีกด้วย เขารู้ว่าคนที่เคยเป็นทหารเช่นเฉาเฉียง พวกเขาอาจจะมิรู้จักองค์จักรพรรดิ แต่ไม่มีทางมิรู้จักท่านอดีตเสนาบดีที่อยู่ในกองทัพมาหลายสิบปีเป็นแน่“รู้จักท่านอดีตเสนาบดีอ๋องเจิ้นหนานที่เมืองหลวงหรือไม่? ก่อนหน้านี้เขาได้นำทัพแล้วตกม้าจนทำให้ขาหัก ตอนที่ถูกส่งตัวกลับเมืองหลวงก็หมดสติและหายใจรวยรินไปแล้ว!”“หมอหลวงในวังล้วนบอกว่า ท่านอดีตเสนาบดีจะมีชีวิตอยู่ได้อีกมินาน แต่ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ของพวกเราก็ใช้วิชาการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมช่วยเหลือท่านอดีตเสนาบดีไว้ได้!”“ตอนนี้ท่านอดีตเสนาบดีมิเพียงแต่ร่างกายแข็งแรงดีเท่านั้น แต่ยังสามารถขี่ม้าได้ด้วย!”เฉาเฉียงฟังแล้วก็เบิกตาโตอย่างประหลาดใจพวกเขาคือคนที่มาจากการออกรบ มีหรือจะมิรู้ว่าเมื่อขาหักแล้วหากโชคดีก็จะมีชีวิตอยู่ต่อได้ แต่หากโชคร้ายก็มีแต่ตายเท่านั้นท่านอดีตเสนาบดีได้รับการรักษาจนหายดีทั้งยังสามารถขี่ม้าได้อีก… นี่เป็นหมอขั้นเซียนจริง ๆ!“ข้ามิได้พูดคุยโวเกินจริงกับพวกเจ้า ทักษะการแพทย์ของฮองเฮายอดเยี่ยมจริง ๆ ตัวอย่างเช่นนี้ยังมีอีกมาก พวกเจ้าไปสืบที่เมืองหลวงดูก็จะรู้!”อันเจ๋อพูดจนปากแห้งคอแห้งจ
ดูเหมือนพวกเขาจะมองออกถึงความสับสนของอันเจ๋ออาจารย์หลินจึงเอ่ยอย่างอดทน “เมื่อหัวหน้าเฉายึดครองสิงหยางและกว่างอู่เอาไว้ได้ คนที่แปรพักตร์ก็มีจำนวนมากแล้ว!” “หัวหน้าเฉามีนิสัยซื่อตรง มิอนุญาตให้ลูกน้องกดขี่ข่มเหงราษฎร แต่ลูกน้องคนหนึ่งของเขาที่ชื่อหลิวจวินกลับอาศัยตอนที่มายึดครองสิงหยางกับหัวหน้าเฉาแล้วปล้นชิงราษฎรหญิงไป จึงถูกหัวหน้าเฉาทุบตีและขับไล่ไป!”“หลิวจวินมิยอมแพ้รวบรวมกองกำลังของตนไปปล้นยึดครองเมืองเช่นกัน และยังมีอีกคนที่ชื่อเส้าหมิงเจี๋ยที่มิพอใจในวิธีทางจัดการดูแลของหัวหน้าเฉาจึงรวบรวมกองกำลังก่อจลาจลด้วย!”อันเจ๋อเข้าใจแล้ว สองคนนี้อ้างชื่อของเฉาเฉียงไปรับคนที่มีความสามารถเข้ามาแล้วพัฒนาต่อเองพวกเสเพลเช่นนี้ย่อมมีทั้งคนดีและมิดีปะปนกันอยู่ จะเกิดเรื่องเช่นนี้ก็ย่อมเป็นเรื่องปกติอันเจ๋อมิได้ใส่ใจ คิดว่าให้อาจารย์หลินกับเฉาเฉียงยอมจำนนก่อนแล้วค่อยไปจัดการพวกเขาได้อย่างง่าย ๆ อาจารย์หลินเห็นว่าอันเจ๋อมิได้ระวังตัวจึงเอ่ยขึ้นมา “ใต้เท้าอัน ที่พวกเรายอมจำนนยังมีสาเหตุที่สำคัญอีกอย่าง! ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิส่งกองกำลังขนาดใหญ่อีกกลุ่มมาล้อมปราบเรา!”“ใต้เท้าจางยังกล
อันเจ๋อจำได้เพียงราง ๆ ว่า เมื่อมิกี่เดือนก่อนใต้เท้าจางยังได้มอบสาส์นกราบทูลบอกว่าปีนี้มีภัยพิบัติร้ายแรง และขอให้ราชสำนักมอบเงินเกือบสองล้านเพื่อจะนำไปซ่อมแซมเส้นทางแม่น้ำเขาจึงพูดเรื่องนี้ออกมาเฉาเฉียงจึงก่นด่าออกมาทันที “พวกเราเคยเห็นเงินจำนวนมากถึงเพียงนั้นที่ไหนกัน ใต้เท้าจางให้เงินชดเชยเพียงครอบครัวละสิบตำลึงเท่านั้น ข้ามีญาติที่ตายจากการถูกน้ำท่วม บ้านเขามีคนตายไปสามคนแต่ก็ได้เงินมาเพียงสิบตำลึงเท่านั้น!”“พวกใต้เท้าจางกังวลว่าจะมีคนออกไปฟ้องร้องจึงส่งทหารมาสกัดกั้นตามทางแยกต่าง ๆ และหากจับได้ก็สังหารคนเหล่านั้นต่อหน้าธารกำนัลด้วย!”อันเจ๋อฟังแล้วก็ตกใจมาก คิดมิถึงว่าพวกใต้เท้าจางจะทำร้ายราษฎรได้รุนแรงเช่นนี้!เงินซ่อมแซมเส้นทางแม่น้ำจำนวนมากถึงเพียงนั้นจะไปอยู่ที่ใดได้เล่า จะต้องถูกพวกใต้เท้าจางที่ละโมบโกงกินไปแล้วอย่างแน่นอนอันเจ๋อนึกถึงองค์ชายคังกับจ้าวฮุย ใต้เท้าจางผู้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับจ้าวฮุยทีเดียว หากมิได้มีจ้าวฮุยคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ใต้เท้าจางจะมีความกล้าหลอกลวงเบื้องบนได้ถึงเพียงนี้หรือ?“เช่นนั้นใต้เท้าเจียงข้าหลวงเจิ้งโจวเล่า? เขาร่วมด้วยหรือไม่?”
เถ้าแก่เจียงเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนั้นก็กำลังคิดจะด่า หลิงอวี๋ก็อุ้มเจียงหย่งมาและหันหลังให้ตนแล้วสองมือของนางกอดรัดอยู่ตรงช่วงท้องของเจียงหย่ง มือหนึ่งกำหมัดแล้ววางด้านหัวแม่มือของกำปั้นนั้นอยู่ที่ตรงอกและตรงท้องของเจียงหย่งส่วนมืออีกข้างของหลิงอวี๋ก็จับมือที่กำหมัดไว้แล้วรีบกระทุ้งที่ช่วงท้องของเจียงหย่งอย่างแรงการกระทำนี้ทำเอาเถ้าแก่เจียงโกรธจนกำหมัดไปทุบที่หัวของหลิงอวี๋“ให้ตายสิ นี่เป็นการช่วยเหลือหรือทำร้ายกันแน่ วางลูกชายข้าลงเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้า”หลิงอวี๋อุ้มเจียงหย่งหลบมา พลางตะคอกใส่เถ้าแก่เจียง “ข้ากำลังช่วยลูกท่านอยู่ ท่านมิเห็นหรือว่าเขากำลังจะตายแล้ว?”“ท่านอย่ามารบกวนข้า หากข้ารักษาเขาตาย ข้าจะชดใช้เขาด้วยชีวิต!”แม้ว่าฮูหยินเจียงจะดูมิเข้าใจวิธีการช่วยเหลือของหลิงอวี๋ แต่ลูกชายใกล้จะตายแล้วจริง ๆ ขอเพียงมีความหวังเพียงเล็กน้อยนางก็จะไม่มีทางยอมแพ้นางดึงเถ้าแก่เจียงไว้หลิงอวี๋ก็ใช้วิธีเดิมกระทุ้งเข้าที่ช่วงท้องของเจียงหย่งต่อไปหลังจากทำเช่นนี้ไปสามครั้ง เจียงหย่งก็ไอแค่ก ๆ แล้วถั่วลิสงเม็ดหนึ่งที่มีเลือดติดอยู่ก็หลุดออกมาจากปากเขาและกระเด็นลงส
เสี่ยวซานเอ๋อร์จึงพาหลิงอวี๋ไปขายกำไลหยก ระหว่างทางเสี่ยวซานเอ๋อร์ก็ยังเล่าเรื่องอื่น ๆ ในเมื่อนี้ให้หลิงอวี๋ฟังอีกหลิงอวี๋เอ่ยถามไปอย่างอ้อม ๆ “เสี่ยวซานเอ๋อร์ ข้ามากับน้องสาว แต่น้องสาวข้าหายตัวไปแล้ว ได้ยินว่าป้าวเฉิงเจ้าถิ่นที่นี่เก่งเรื่องตามหาคน หากข้าไปขอให้เขาช่วย จะต้องใช้เงินเท่าใดหรือ?”เสี่ยวซานเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “คุณหนูใหญ่ แม้ว่านายใหญ่ป้าวจะเก่งเรื่องตามหาคน แต่ก็มิใช่ว่าจะช่วยใครง่าย ๆ! หากจะไปขอร้องเขาแล้วมีเงินมิถึงหลักพันเขาก็มิสนใจหรอก!”“สองพันพอหรือไม่?”หลิงอวี๋นึกถึงที่หัวหน้าเสิ่นบอกว่ากำไลหยกนี้สามารถขายได้สองพันตำลึงจึงเอ่ยถาม“แล้วแต่คน!”เสี่ยวซานเอ๋อร์คิดว่าหลิงอวี๋ใจกว้างกับตนมากจึงเอ่ยขึ้นมา “ข้ารู้จักกับผู้ดูแลหมู่บ้านตระกูลป้าว ข้าจะไปคุยกับเขาดู เขาน่าจะช่วยได้!”“เช่นนั้นขอร้องเจ้าด้วย! รอให้ขายกำไลหยก จากนั้นเจ้าก็ค่อยพาข้าไปหาเขา ข้าจะมิให้เจ้าขาดทุนอย่างแน่นอน!”หลิงอวี๋ใจชื้นขึ้นมา เงินทองเป็นของนอกกาย ขอเพียงตามหาเสี่ยวอวี้เจอ และพวกนางได้ใช้ชีวิตด้วยกัน เรื่องความจนก็มิกลัวหรอกกระทั่งมาถึงที่บ้านเถ้าแก่เจียงที่รับซื้อกำไลหยก ทั้งสองยังม
“ไปหาสมบัติที่ภูเขาหิมะหรือ? อยากตายนักหรือไรกัน! ภูเขาหิมะนั่นกินคนมิเหลือแม้กระดูก!”แขกคนหนึ่งส่ายหน้าแล้วเอ่ย“คนเหล่านี้แตกต่างไป พวกเขาแต่ละคนมีวรยุทธ์แก่กล้า อีกทั้งยังพาคนเข้าไปตั้งมากมาย มิน่าจะเป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้วกระมัง!”“พวกเราเองก็ตามไปหากำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างดีหรือไม่!”แขกอีกคนหนึ่งยิ้มออกมาแล้วเอ่ย “เจ้าน่ะหรือ อย่าไปเลย ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่กำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เลย จะกลับกลายเป็นว่าเอาชีวิตไปทิ้งอยู่ข้างในนั้นน่ะสิ!”“เสี่ยวซานเอ๋อร์ หากเจ้าอยากจะร่ำรวยจริง ๆ พี่ชี้ช่องทางให้ดีหรือไม่?”หลิงอวี๋เหลือบมองเสี่ยวซานเอ๋อร์ผู้นั้น เขาเป็นวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบ ดูผอมและอ่อนแอมาก การแต่งกายก็ดูเรียบง่ายธรรมดาเครื่องหน้างดงาม ทว่าดวงตาค่อนข้างแปลก ดูเหมือนมองคนแล้วมิสามารถมองให้ชัดเจนได้สงสัยจะตาเหล่กระมัง!เสี่ยวซานเอ๋อร์ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “พี่หาน ช่องทางอะไรหรือ? รีบบอกมาเร็วเข้า หากข้าร่ำรวยแล้วจะไม่มีทางลืมเจ้าแน่นอน!”“ไปเป็นผู้ค้ามนุษย์อย่างหม่าเฉียงอย่างไรเล่า! เจ้ามิเห็นหรือว่าทาสหญิงหนึ่งเกวียนของเขาขายไปได้สี่แสนหกหมื่น? การค้าขายนี้ง่ายดายกว่าที่เจ
หัวหน้าเสิ่นถูกปู้ติงจ้องมองอยู่ด้วยสายตาดุร้ายก็ไม่มีทางเลือก จึงต้องเขียนหนังสือยอมรับผิด เขาขอแค่เพียงหลบหนีไปได้ อย่างก็อื่นค่อยว่ากันทีหลัง“หัวหน้าเสิ่น หากจะตามหาคนคนหนึ่งควรเริ่มจากที่ใด?”สุดท้ายหลิงอวี๋ก็ถามหัวหน้าเสิ่นไปหนึ่งคำถามหัวหน้าเสิ่นยิ้มขมขื่น “หากแม่นางจะตามหาคน ป้าวเฉิงคนที่ข้าพูดถึงเมื่อครู่คือคนที่มีความสามารถเก่งกาจยิ่งนัก เขามีลูกน้องมากมาย อีกทั้งคนในหมู่บ้านที่อยู่รอบ ๆ นี้ก็เชื่อฟังเขาด้วย”“หากเจ้าจะตามหาคน ขอเพียงมีเงินมากพอ เขาก็จะช่วยตามหาคนให้ได้เร็วที่สุด!”หลิงอวี๋อยากจะตามหาเสี่ยวอวี้น้องสาวของตน เมื่อได้ยินดังนั้นก็สนใจขึ้นมาแต่ตนไม่มีเงินติดตัวสักแดง จะไปพูดให้ป้าวเฉิงตามหาคนให้ตนได้อย่างไรกัน!“หัวหน้าเสิ่น เอาของมีค่าที่ท่านน้าหลินให้มาให้ข้าสักชิ้นเถิด!”หลิงอวี๋เอ่ยออกไปตามตรง “ข้าไม่มีเงินติดตัวสักแดง เจ้าก็ถือว่าทำบุญแล้วกัน!”ต่อให้หลิงอวี๋จะต้องการของมีค่าทั้งหมดของหัวหน้าเสิ่น หัวหน้าเสิ่นก็มิกล้าบอกว่าไม่ นับประสาอะไรกับหนึ่งชิ้นเล่า!หัวหน้าเสิ่นรีบเปิดห่อของตนแล้วหันหลังให้หลิงอวี๋หยิบกำไลหยกออกมาหนึ่งชิ้น!“แม่นาง กำไลหยก
“อย่า… อย่าฆ่าข้า!”หัวหน้าเสิ่นกลัวจนร้องออกมาเสียงสั่นเขาเชื่อมั่นในวรยุทธ์ของตนว่าจะสามารถหนีไปได้อย่างราบรื่น ไหนเลยจะคิดว่าจะหนีมิพ้นหมาป่าตัวนี้!“หึ! ข้าบอกไปแล้วว่า นอกเสียจากเจ้าจะเร็วกว่าปู้ติง มิเช่นนั้นก็ให้เชื่อฟังคำของข้า! เจ้าอยากจะทนทุกข์ก่อนจึงจะยอมฟังหรือไร?”หลิงอวี๋ยิ้มเยาะพลางเดินเข้าไป เรี่ยวแรงที่ตัวนางกลับคืนมาแล้วลูกปัดสีเขียวนี้มหัศจรรย์จริง ๆ!แต่หลิงอวี๋มิได้มีความคิดที่จะครอบครองเป็นของตน นี่คือของของแม่หมาป่า ในเมื่อให้ปู้ติงไปแล้วเช่นนั้นก็เป็นของปู้ติง“ปู้ติง! ปล่อยเขาเถิด!”ปู้ติงจึงปล่อยหัวหน้าเสิ่นอย่างเชื่อฟัง หลิงอวี๋ก็ลูบหัวมันอย่างเอ็นดู จากนั้นก็เอาลูกปัดสีเขียวยัดเข้าปากมันไป“เสี่ยวเจียง ปิดประตู!”หลิงอวี๋เอ่ยกับเสี่ยวเจียงที่กลัวจนสั่นมิหยุดเสี่ยวเจียงมองขาที่เลือดไหลของหัวหน้าเสิ่น เมื่อครู่หมาป่าตัวนั้นรวดเร็วมาก เขาหนีมิได้เลยมีหรือเสี่ยวเจียงจะกล้ามิฟังคำพูดของหลิงอวี๋ เขาจึงเดินไปปิดประตูด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่น“ข้าถามอะไรเจ้าก็ตอบสิ่งนั้น มิเช่นนั้นครั้งต่อไปที่ปู้ติงกัดจะมิใช่ขาของเจ้า แต่เป็นคอ เข้าใจหรือไม่?”หลิ
หลิงอวี๋กุมใบหน้าตนเองอย่างสิ้นหวัง นางมิเชื่อว่าปู้ติงจะทิ้งตนไปจะต้องเป็นเพราะที่นี่อยู่ไกลจากวังเทพมากเกินไปอย่างแน่นอน ปู้ติงจึงมิได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของตนในขณะที่หลิงอวี๋กำลังคิดที่จะพยายามกลับไปบนเตียงก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาจากด้านล่าง“นั่นคือหมาป่าหรือ? ข้ามิได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่!”“เจ้าตาฝาดแล้ว ที่นี่จะมีหมาป่ามาจากที่ใดกัน!”“แต่ข้าเห็นหมาป่าที่เป็นสีขาวราวกับหิมะทั้งตัววิ่งไปจากบนหลังคาจริง ๆ นะ...”หมาป่าตัวสีขาวราวหิมะ?หลิงอวี๋กำลังจะวางมือก็เห็นว่ามีสายฟ้าสีขาวพุ่งเข้ามาจากหน้าต่างอย่างรวดเร็วหลิงอวี๋ยังมิทันได้เห็นชัด สายฟ้านั้นก็พุ่งเข้ามาในอ้อมแขนของนาง แล้วตัวที่เป็นขนปุกปุยก็ทำให้ทั้งตัวของนางอบอุ่นขึ้นมาหลิงอวี๋ก้มหน้าลงก็เห็นดวงตาสีเขียวของหมาป่าน้อยที่มีขนตาสีขาวข้างหนึ่งดำข้างหนึ่งปู้ติง!ปู้ติงจริง ๆ ด้วย!มิเจอกันหลายวัน ปู้ติงโตขึ้นอีกแล้วและดูแข็งแรงขึ้นด้วย!หลิงอวี๋กอดปู้ติงอย่างดีใจแล้วก็จุ๊บมันไปแล้วหัวใจที่จมลงสู่ก้นบึ้งก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นทันที“ปู้ติง ข้าถูกคนวางแผนทำร้าย ตัวข้าไม่มีแรงเลย เจ้าหายาแก้พิษให้ข้าหน่อยได้ห
เด็กหนุ่มผอมบางเช่นนี้น่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของตน!หลิงอวี๋หลับตาลงอีกครั้งพลางครุ่นคิดท่านน้าหลิน เสวี่ยเหมยและอี้เหวินให้หัวหน้าเสิ่นที่เป็นผู้ส่งเสบียงพาตนลงจากเขามา จะต้องเป็นเพราะตนได้รับการยกย่องจากหวงฝู่หมิงจูจึงไปดึงดูดความอิจฉาริษยาของพวกนางเป็นแน่นางมิเชื่อว่าท่านน้าหลินเพียงแค่ต้องการให้ตนออกจากวังเทพอย่างเดียวเท่านั้นเมื่อคิดเชื่อมโยงถึงเรื่องเครื่องประดับเหล่านั้นที่หัวหน้าเสิ่นพูดถึง ทั้งยังมีเรื่องที่อี้เหวินอาศัยว่าจะให้ตนดูแลจัดการงานภายในของวังเทพแล้วพาตนไปดูโกดัง อีกทั้งยังบอกตนเรื่องที่หวงฝู่หมิงจูมีจี้หยกราตรีน้ำเงินอีกหลิงอวี๋จึงได้กล้าคาดเดาอะไรเช่นนี้ท่านน้าหลินจะต้องติดสินบนหัวหน้าเสิ่นให้พาตนลงมาจากภูเขา จากนั้นก็ใส่ร้ายว่าตนขโมยเครื่องประดับแล้วหนีไปอย่างแน่นอนขอเพียงมีหนึ่งในเครื่องประดับหนึ่งชิ้นตกหล่นหายไป หวงฝู่หลินก็จะยิ่งเชื่อว่าตนเป็นคนขโมยจากนั้นหัวหน้าเสิ่นก็จะสังหารตนหัวหน้าเสิ่นออกไปแล้ว เสี่ยวเจียงผู้นี้ก็มิใช่คู่ต่อสู่ของตน หากมิหนีเวลานี้แล้วยังจะรออะไรอีกเล่า!หลิงอวี๋คิดแล้วขยับมือเท้าอย่างเงียบ ๆมือเท้ามิได้ถูกมัดไว้ แต่ขยับเ
“ท่านสี่ เราทำอาหารกันค่อนข้างมาก จึงนำมาให้ท่านสักหน่อย!”เก๋อเฟิ่งฉิงเห็นพวกฉินซานเรียกเซียวหลินเทียนว่าท่านสี่จึงเรียกเซียวหลินเทียนเช่นนั้นตามเซียวหลินเทียนมิแม้แต่จะมองถาดของนางแล้วยกอาหารแห้งในมือขึ้น พร้อมกับเอ่ยเรียบ ๆ “ขอบคุณมาก แต่ข้ากินอิ่มแล้ว!”เขายัดอาหารแห้งที่เหลือใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยเก๋อเฟิ่งฉิงเองก็มิได้ท้อ นางวางถาดไว้ตรงหน้าเขาแล้วเอ่ยยิ้ม ๆ “กินอิ่มแล้วก็กินน้ำแกงผักสักหน่อยก็ได้! จะแบ่งให้ลูกน้องของท่านก็ได้!”หลังจากพูดจบ เก๋อเฟิ่งฉิงก็หันหลังเดินไปคนที่มีตาก็ล้วนมองออกว่าเก๋อเฟิ่งฉิงกำลังเอาใจเซียวหลินเทียนอยู่สตรีพรหมจรรย์นางหนึ่งเอาใจบุรุษคนหนึ่งเช่นนี้ จะเป็นเพราะเหตุใดไปได้เล่า!“ขันทีโม่ ท่านกินเถิด!”เซียวหลินเทียนดันถาดไปให้ขันทีโม่ขันทีโม่มองอาหารตรงหน้า มีเนื้อมีผัก ดูคุณค่าทางอาหารสมบูรณ์มาก เขาจึงยิ้มแล้วเอ่ย“คุณหนูใหญ่ตระกูลเก๋อคงยังมิยอมถอดใจจากท่านเลยนะ! ท่านสี่ เช่นนั้น ยินดีรับไว้ดีหรือไม่?”ขันทีโม่ก็เหมือนกับคนจำนวนมากที่คิดว่าการที่เซียวหลินเทียนจะมีสนมมากมายนั้นเป็นเรื่องปกติแม้ว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเก๋อผู้นี้จะแสร
กลุ่มของเก๋อเฟิ่งฉิงกับเซียวหลินเทียนเข้าไปในเขาด้วยกันแล้วก็เห็นคนของตระกูลเฉียว แต่ทุกคนก็ต่างคนต่างไปการปะทะกันในเวลานี้มิใช่เรื่องที่ฉลาด เพราะว่าการลงมือในถิ่นของหวงฝู่หลินนั้นอาจจะทำให้หวงฝู่หลินโกรธได้แม้ว่าตระกูลหวงฝู่จะอยู่อย่างสันโดษมาหลายชั่วอายุคน แต่ในฐานะของผู้สืบทอดของตระกูลหวงฝู่หลินก็มีความเป็นไปได้ที่พลังจะสูงกว่าพวกเขาทั้งหลายสำหรับหวงฝู่หลิน ผู้นำของทั้งสองตระกูลต่างก็เสนอจุดประสงค์ที่จะดึงมาให้เป็นพวกเดียวกัน ดังนั้นหากมิถึงคราวจำใจจริง ๆ เก๋อเฟิ่งฉิงกับเฉียวไป๋ไม่มีทางทำเรื่องที่จะทำให้หวงฝู่หลินขุ่นเคืองแน่เมื่อเข้าไปในภูเขาหิมะ เริ่มแรกยังมีเส้นทาง แต่เดินไปได้สิบกว่าลี้ก็ไม่มีเส้นทางแล้วทั่วทุกที่ล้วนเป็นสีขาวโพลน แม้ว่าหานเหมยจะเคยมาที่ภูเขาหิมะ แต่เมื่อเห็นสีขาวโพลนนี้นางก็หลงทางเช่นกัน มิรู้ว่าภูเขาแห่งนั้นคือภูเขาที่มีวังเทพอยู่“มิต้องรีบร้อน ค่อย ๆ หาไป ขอเพียงฮูหยินอยู่ที่วังเทพ พวกเราจะต้องตามหานางพบแน่นอน!”ต่อหน้าเก๋อเฟิ่งฉิง เซียวหลินเทียนจึงเรียกหลิงอวี๋ว่าฮูหยินหานเหมยอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ก่อนหน้านี้นางบอกอย่างมั่นใจว่าตนรู้เส้น