การปรับเปลี่ยนแก้ไขยกชุดทำให้ผู้ดูแลและหัวหน้าภายในวังล้วนมิกล้าทำงานลวก ๆ กันอีก และล้วนแต่ทำงานที่ตนควรทำให้ดีอย่างระมัดระวังสำหรับเหตุเพลิงไหม้ที่ห้องโถงที่ตั้งพระบรมศพ หลิงอวี๋ก็ได้ตัดหัวผู้ดูแลรับผิดชอบห้องโถงที่ตั้งศพไปแล้ว และได้ทำการแต่งตั้งแม่นมที่แก่ประสบการณ์และมีความละเอียดรอบคอบขึ้นมาเป็นผู้ดูแลใหม่ส่วนองครักษ์ทั้งสองและฉีเต๋อที่ได้คุ้มกันเซียวเยวี่ยไปส่งที่ตำหนักเหยียนฝูของไทเฮานั้น ล้วนได้เบี้ยหวัดเพิ่มกันเป็นรางวัลทั้งหมดและเนื่องจากองครักษ์ทั้งสองได้ทำหน้าที่อย่างตั้งใจแล้ว เซียวหลินเทียนจึงตั้งใจให้ทั้งสองคนได้เป็นองครักษ์ส่วนตัวของเซียวเยวี่ยหลังจากเกิดเรื่องแล้วทั้งสามคนถึงได้รู้ว่า ตนเกือบจะเข้าไปพัวพันในคดีลอบสังหารองค์จักรพรรดิแล้ว แต่เพราะว่าการทำหน้าที่อย่างตั้งใจของตน จึงป้องกันนายน้อยจากการถูกคนวางแผนจัดการได้หลังจากเกิดเหตุในครั้งนี้ ทั้งสามคนก็ยิ่งใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของเซียวเยวี่ยมากขึ้นอีก เมื่อรู้สึกว่าที่ใดเป็นสถานที่อันตรายก็จะมิยอมให้เซียวเยวี่ยย่างกรายเข้าไปเป็นอันขาดเซียวเยวี่ยก็ถูกแม่นมลี่อธิบายเรื่องความสัมพันธ์เรื่องส่วนได้ส่วนเสียใ
หลังจากยุ่งกับพระราชพิธีพระบรมศพของจักรพรรดิอู่อันจบเสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปก็เป็นพิธีราชาภิเษกของเซียวหลินเทียนตามแผนของกรมพิธีการแล้วจะมีพิธีเฉลิมฉลองมากมายอย่างเช่นดนตรี การเต้นรำ การตีฆ้องตีกลองและงานเลี้ยงแต่เพราะการขึ้นครองบัลลังก์ของเซียวหลินเทียนอยู่หลังจากพระราชพิธีพระบรมศพของจักรพรรดิอู่อัน พิธีเฉลิมฉลองอย่างเช่นการเต้นรำจึงถูกตัดออกไป มีเพียงดนตรี การตีฆ้องตีกลองและงานเลี้ยงสามอย่างนี้เท่านั้นในวันพิธีราชาภิเษก เซียวหลินเทียนได้พาขุนนางน้อยใหญ่ไปที่หอบรรพบุรุษเพื่อทำพิธีบูชาฟ้าดิน และเพื่อเสียสละตนเองว่าได้รับคำสั่งจากสวรรค์และบรรพบุรุษแล้ว ภายใต้การดูแลของท่านอ๋องเฉิงและเจ้ากรมพิธีการกระทั่งพิธีบูชาฟ้าเสร็จสิ้น เซียวหลินเทียนก็เปลี่ยนเป็นชุดเฉลิมฉลองสีเหลืองทอง บนเสื้อคลุมมังกรมีลายปักมังกรสีทองห้ากรงเล็บอยู่เก้าตัว ซึ่งช่วยเสริมรูปร่างที่สูงใหญ่ของเขาให้ดูสูงส่งและสง่างามอย่างเห็นได้ชัดเลยย่างก้าวของเขาที่เดินเข้าไปหาเก้าอี้มังกรที่อยู่แท่นสูงตรงกลางนั้นสม่ำเสมอและมั่นคงในทุกฝีก้าวสายตาของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่และพวกองค์ชายคังดูเหมือนจะมิได้มีอิทธิพลต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
‘เจ้าไปบอกเลยสิ!’พระชายาเส้าเยาะเย้ยเซียวทงอย่างไร้ความปรานี “ฉินรั่วซือเป็นสหายคนสนิทของเจ้า เป็นเจ้าเองที่มาถึงตำหนักข้าแล้วขอร้องให้ข้าจับคู่ให้เจ้ากับแม่ทัพเผย!”“เรื่องเหล่านี้แค่องค์จักรพรรดิตรวจสอบก็รู้แล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถทำให้องค์จักรพรรดิเชื่อเจ้าได้รึ?”“ยิ่งไปกว่านั้น… เซียวทงเจ้าเองก็ทำเรื่องที่มิอาจให้ใครเห็นได้อีก… เถาลี่ตายอย่างไรเล่า?”คำพูดของพระชายาเส้าทำให้เซียวทงตกใจในทันทีวันนั้นจู่ ๆ นางก็เป็นใบ้จึงบ้าคลั่งบีบคอเถาลี่จนตาย นางคิดว่าในเหตุการณ์วุ่นวายนั้นจะไม่มีผู้ใดเห็นว่าตนทำเรื่องเช่นนี้ แล้วเหตุใดพระชายาเส้าจึงรู้ได้เล่า!“หึ! เจ้าคิดว่าเจ้าทำได้อย่างแนบเนียนมากจนข้ามิรู้ว่าเจ้าเรื่องเช่นนี้กระนั้นรึ?”พระชายาเส้ายิ้มเยาะพลางเอ่ย “ตอนที่ตระกูลเถามารับตัวเถาลี่ไปนั้น เถากังพี่ชายของเถาลี่พบความผิดปกติ เหตุใดมือสังหารจึงมิใช้มือแต่กลับใช้มือบีบคอสังหารเถาลี่กันเล่า?”“เถากังจึงแอบไปหาเจ้าหน้าที่ชันสูตรมาแล้วก็ได้รับการยืนยันว่า นางถูกสตรีบีบคอจนตาย! เขาจึงแอบตรวจสอบอย่างเงียบ ๆ อีกจนไปพบนางรับใช้ผู้หนึ่งที่เห็นว่าเจ้าบีบคอเถาลี่จนตายที่ตำหนักอ๋องอ
หลิงอวี๋รับผิดชอบจัดการเรื่องสถานที่ที่เหล่านางสนมจะไป หลังจากที่ยุ่งมาสองวัน ในวังก็โล่งไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ในที่สุดก็จัดระเบียบเรียบร้อยแล้วลำดับต่อไปก็ต้องจัดการที่อยู่ให้ไท่เฟยเส้ากับไท่เฟยอีกสองคนที่มิยอมไปที่ศาลบูรพกษัตริย์อีกไท่เฟยเส้าจะย้ายไปอยู่ที่พระตำหนักโซ่วอัน ส่วนไท่เฟยเหอกับไท่เฟยจู้ก็จัดให้ไปอยู่บริเวณใกล้ ๆ กับตำหนักโซ่วอันด้วยไท่เฟยทั้งสองนี้ล้วนเป็นบาทบริจาริกาของจักรพรรดิองค์ก่อนไท่เฟยเหอมีองค์หญิงอยู่หนึ่งคน ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบสาม นางอยู่ในอันดับที่เก้า ชื่อว่าเซียวเฟยส่วนไท่เฟยจู้มีองค์ชายหนึ่งและองค์หญิงอีกหนึ่ง ปีนี้องค์ชายอายุสิบสี่ อยู่อันดับที่แปด แต่เนื่องจากยังมิถึงวัยบรรลุนิติภาวะ จึงมิสามารถก่อตั้งจวนของคน หรือรับพระราชทานตำแหน่งอ๋องได้และองค์หญิงน้อยปีนี้เพิ่งจะอายุสิบขวบ อยู่อันดับที่สิบเอ็ด ในตอนที่จักรพรรดิอู่อันยังมีชีวิตอยู่จะเรียกนางอย่างใจดีว่าเจ้าสิบเอ็ดน้อย นางมีชื่อว่าเซียวเหยาหลิงอวี๋ยุ่งจนไม่มีเวลาได้ใกล้ชิดกับพวกนาง ที่รู้เรื่องของไท่เฟยทั้งสองนี้ก็เพราะหานอวี้ไปช่วยสืบมาให้สำหรับไท่เฟยทั้งสามคนนี้ของจักรพรรดิอู่อัน หลิงอว
เซียวหลินเทียนปลอบใจหลิงอวี๋อย่างอดทน “เจ้าวางใจเถิด ข้าจะต้องจัดคนไว้คอยปกป้องเขาอย่างดีแน่นอน! หากข้าทำให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขาเพราะเหตุนี้ ข้าจะเอาชีวิตของข้าชดใช้ให้เจ้าเอง!”เมื่อเซียวหลินเทียนพูดมาถึงเพียงนี้ หลิงอวี๋ก็พูดมิออกเลยนางนึกถึงเรื่องที่ตอนนั้นเยวี่ยเยวี่ยกับเฮยจื่อถูกลักพาตัวไปด้วยกันและจะถูกโยนลงหน้าผา ตอนนั้นขาทั้งสองข้างของเซียวหลินเทียนยังพิการอยู่ก็ยังกระโดดลงจากหน้าผาไปช่วยเยวี่ยเยวี่ยโดยมิห่วงความปลอดภัยของตนเลยหากมีอันตรายขึ้นมาจริง ๆ หลิงอวี๋ก็เชื่อว่าเซียวหลินเทียนจะช่วยเซียวเยวี่ยอย่างมิห่วงความปลอดภัยของตนเช่นเดิมต่อให้หลิงอวี๋จะมิยินยอมแค่ไหน แต่เรื่องได้ถูกตัดสินใจไปแล้ว นางคัดค้านไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว“ครั้งต่อไปหากมีเรื่องอะไรก็หารือกับหม่อมฉันก่อนเถิดเพคะ หากกล้าจัดการเรื่องของเซียวเยวี่ยโดยที่ปิดบังหม่อมฉันเช่นนี้อีก หม่อมฉันจะไม่มีทางให้อภัยท่านอีกเด็ดขาด!”หลิงอวี๋เอ่ยเตือนอย่างเข้มงวด “การให้ความเคารพซึ่งกันและกันนั้นมิใช่แค่เพียงการพูด เซียวหลินเทียน หากท่านอยากจะให้พวกเราเห็นว่าท่านเป็นคนในครอบครัว ก่อนอื่นเลยคือต้องปลูกฝังความตระหนักรู้
ส่วนเซียวหลินเทียนนั้นนอกจากเซียวเยวี่ยแล้วก็ยังมีลูกบุญธรรมอีกหนึ่งคนนั้นก็คือเฮยจื่อหรือเซี่ยเหวยนั่นเองก่อนหน้าเซี่ยเหวยถูกส่งตัวไปที่หออักษร น้อยครั้งมากที่จะกลับบ้านเซียวหลินเทียนได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดิแล้ว การทิ้งให้เซี่ยเหวยอยู่ข้างนอกนั้นคงมิเหมาะสมทั้งยังมิปลอดภัยด้วย เซียวหลินเทียนจึงวางแผนไว้ว่าจะรับเขากลับมาเป็นสหายร่ำเรียนกับเซียวเยวี่ยเรื่องนี้เซียวหลินเทียนเชื่อฟังหลิงอวี๋ และเขาก็ตั้งใจไปหารือกับหลิงอวี๋หลิงอวี๋นึกถึงความปลอดภัยของเซี่ยเหวยและมิได้คัดค้านใด ๆ เช่นกันแต่พอแม่นมลี่รู้เรื่องนี้ก็ไปหาหลิงอวี๋พลางเอ่ยด้วยเสียงเรียบ “พระชายาองค์รัชทายาทเพคะ บ่าวคิดว่าเซี่ยเหวยมิเหมาะที่จะมาเป็นสหายร่ำเรียนกับเยวี่ยเยวี่ยเพคะ!”“เพราะเหตุใดเล่า?”หลิงอวี๋เอ่ยถามไปอย่างแปลกใจนับตั้งแต่ที่เซี่ยเหวยถูกส่งไปที่หออักษรก็ได้ร่ำเรียนหนังสือและรู้เหตุผล ด้านความสัมพันธ์กับเยวี่ยเยวี่ยก็กลมเกลียวกันมากขึ้นเรื่อย ๆก่อนหน้านี้หลิงอวี๋มิชอบเซี่ยเหวยเพราะว่าเขาทำร้ายเยวี่ยเยวี่ยทั้งยังเคยใส่ร้ายตนด้วยแต่เมื่อเห็นว่าเซี่ยเหวยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีแล้ว มุมมองของหลิงอวี๋ที่
หลิงอวี๋เห็นความสามารถนี้ของหมิ่นกู ในใจพูดได้เลยว่าได้ของล้ำค่ามาแล้ว จึงใช้งานหมิ่นกูมากขึ้นตอนนี้ตำหนักอ๋องอี้ว่างเปล่าไปแล้ว เหลืออยู่เพียงคนเฝ้ายามและคนรับใช้มิกี่คนที่คอยดูแลอยู่ส่วนสี่สาวงามที่ฮองเฮาเว่ยได้ประทานมาให้นั้นก็เหลืออยู่เพียงจื่อผิงกับเนี่ยนจือหลังจากพิธีราชาภิเษกของเซียวหลินเทียน หลิงอวี๋ก็ส่งคนไปรับพวกนางสองคนเข้ามาในวังหากทำตามความคิดของเซียวหลินเทียน เขาก็จะมิยอมให้พวกนางเข้าวังหลิงอวี๋เองก็มิยอมเช่นกัน แต่มาคิดดูอีกที หลิงอวี๋จึงเป็นฝ่ายไปบอกกับเซียวหลินเทียนเอง“ตอนนี้ท่านเป็นจักรพรรดิแล้ว หากในวังมีเพียงหม่อมฉันผู้เดียวก็คงจะมิเข้าท่าเช่นกัน ไปรับจื่อผิงกับเนี่ยนจือเข้าวังเถิดเพคะ!”จักรพรรดิองค์ใดบ้างที่ไม่มีภรรยาหลายคน แค่พวกนางสามคนนี้ยังมิพอด้วยซ้ำ!หลิงอวี๋เชื่อว่าต่อให้เซียวหลินเทียนมิต้องการ แต่ผ่านไปอีกหลายวันจากนี้ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้นจะต้องโน้มน้าวให้เซียวหลินเทียนเลือกสนมเข้าวังเป็นแน่หลิงอวี๋มิสามารถจินตนาการได้เลยว่า ตนจะต้องปรนนิบัติบุรุษผู้เดียวร่วมกับสตรีจำนวนมากเหล่านั้น ตอนนี้นางมิพูดอะไร รอดูเซียวหลินเทียนว่าถึงเวลา
การไว้ทุกข์จักรพรรดิเพิ่งจะผ่านพ้นไป ดังนั้นบรรดาคุณหนูที่มาในวังจึงล้วนแต่งกายอย่างงดงามและสุภาพกัน หลิงอวี๋เองก็เช่นกัน นางสวมชุดกระโปรงสีขาวลายพระจันทร์ และด้านนอกก็คลุมด้วยเสื้อคลุมที่ทำมาจากขนสุนัขจิ้งจอกแม้ว่าอากาศจะหนาวมาก แต่พอทำงานยุ่ง ๆ ไปก็มิรู้สึกว่าหนาวเลยไท่เฟยเส้ากับไทฮองไทเฮากำลังช่วยต้อนรับสตรีบรรดาศักดิ์อยู่ เหล่าองค์หญิงที่รู้ความหลายคนก็มาช่วยเช่นกันเซียวทงตามติดไทฮองไทเฮา นางเป็นใบ้ไปแล้วมิสามารถพูดได้จึงยืนฟังอยู่ด้านข้างเงียบ ๆสตรีบรรดาศักดิ์บางคนยังมิรู้เรื่องที่เซียวทงเป็นใบ้ เมื่อเห็นว่าองค์หญิงที่เย่อหยิ่งในอดีตกลับเงียบสงบในวันนี้ก็ค่อนข้างแปลกใจวันนี้สตรีบรรดาศักดิ์เหล่านี้ล้วนพาบุตรีของตนมาด้วยแม้ว่าจะมิสามารถแต่งตัวอย่างสวยงามได้ แต่คุณหนูแต่ละคนก็ใส่ใจในการแต่งตัวกันหลังจากจักรพรรดิเซิ่งอู่ขึ้นครองบัลลังก์ ที่วังหลังก็มีเพียงแค่หลิงอวี๋กับกุ้ยเหรินอีกสองคน ดังนั้นขอเพียงพวกนางแสดงออกอย่างดีก็จะมีโอกาสได้กลายเป็นนางสนมของจักรพรรดิองค์ใหม่เหล่าคุณหนูและสตรีบรรดาศักดิ์เหล่านี้ห้อมล้อมกันอยู่ตรงหน้าไทฮองไทเฮากับไท่เฟยเส้าและต่างก็พยายามเอาใจท