‘เจ้าไปบอกเลยสิ!’พระชายาเส้าเยาะเย้ยเซียวทงอย่างไร้ความปรานี “ฉินรั่วซือเป็นสหายคนสนิทของเจ้า เป็นเจ้าเองที่มาถึงตำหนักข้าแล้วขอร้องให้ข้าจับคู่ให้เจ้ากับแม่ทัพเผย!”“เรื่องเหล่านี้แค่องค์จักรพรรดิตรวจสอบก็รู้แล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถทำให้องค์จักรพรรดิเชื่อเจ้าได้รึ?”“ยิ่งไปกว่านั้น… เซียวทงเจ้าเองก็ทำเรื่องที่มิอาจให้ใครเห็นได้อีก… เถาลี่ตายอย่างไรเล่า?”คำพูดของพระชายาเส้าทำให้เซียวทงตกใจในทันทีวันนั้นจู่ ๆ นางก็เป็นใบ้จึงบ้าคลั่งบีบคอเถาลี่จนตาย นางคิดว่าในเหตุการณ์วุ่นวายนั้นจะไม่มีผู้ใดเห็นว่าตนทำเรื่องเช่นนี้ แล้วเหตุใดพระชายาเส้าจึงรู้ได้เล่า!“หึ! เจ้าคิดว่าเจ้าทำได้อย่างแนบเนียนมากจนข้ามิรู้ว่าเจ้าเรื่องเช่นนี้กระนั้นรึ?”พระชายาเส้ายิ้มเยาะพลางเอ่ย “ตอนที่ตระกูลเถามารับตัวเถาลี่ไปนั้น เถากังพี่ชายของเถาลี่พบความผิดปกติ เหตุใดมือสังหารจึงมิใช้มือแต่กลับใช้มือบีบคอสังหารเถาลี่กันเล่า?”“เถากังจึงแอบไปหาเจ้าหน้าที่ชันสูตรมาแล้วก็ได้รับการยืนยันว่า นางถูกสตรีบีบคอจนตาย! เขาจึงแอบตรวจสอบอย่างเงียบ ๆ อีกจนไปพบนางรับใช้ผู้หนึ่งที่เห็นว่าเจ้าบีบคอเถาลี่จนตายที่ตำหนักอ๋องอ
หลิงอวี๋รับผิดชอบจัดการเรื่องสถานที่ที่เหล่านางสนมจะไป หลังจากที่ยุ่งมาสองวัน ในวังก็โล่งไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ในที่สุดก็จัดระเบียบเรียบร้อยแล้วลำดับต่อไปก็ต้องจัดการที่อยู่ให้ไท่เฟยเส้ากับไท่เฟยอีกสองคนที่มิยอมไปที่ศาลบูรพกษัตริย์อีกไท่เฟยเส้าจะย้ายไปอยู่ที่พระตำหนักโซ่วอัน ส่วนไท่เฟยเหอกับไท่เฟยจู้ก็จัดให้ไปอยู่บริเวณใกล้ ๆ กับตำหนักโซ่วอันด้วยไท่เฟยทั้งสองนี้ล้วนเป็นบาทบริจาริกาของจักรพรรดิองค์ก่อนไท่เฟยเหอมีองค์หญิงอยู่หนึ่งคน ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบสาม นางอยู่ในอันดับที่เก้า ชื่อว่าเซียวเฟยส่วนไท่เฟยจู้มีองค์ชายหนึ่งและองค์หญิงอีกหนึ่ง ปีนี้องค์ชายอายุสิบสี่ อยู่อันดับที่แปด แต่เนื่องจากยังมิถึงวัยบรรลุนิติภาวะ จึงมิสามารถก่อตั้งจวนของคน หรือรับพระราชทานตำแหน่งอ๋องได้และองค์หญิงน้อยปีนี้เพิ่งจะอายุสิบขวบ อยู่อันดับที่สิบเอ็ด ในตอนที่จักรพรรดิอู่อันยังมีชีวิตอยู่จะเรียกนางอย่างใจดีว่าเจ้าสิบเอ็ดน้อย นางมีชื่อว่าเซียวเหยาหลิงอวี๋ยุ่งจนไม่มีเวลาได้ใกล้ชิดกับพวกนาง ที่รู้เรื่องของไท่เฟยทั้งสองนี้ก็เพราะหานอวี้ไปช่วยสืบมาให้สำหรับไท่เฟยทั้งสามคนนี้ของจักรพรรดิอู่อัน หลิงอว
เซียวหลินเทียนปลอบใจหลิงอวี๋อย่างอดทน “เจ้าวางใจเถิด ข้าจะต้องจัดคนไว้คอยปกป้องเขาอย่างดีแน่นอน! หากข้าทำให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขาเพราะเหตุนี้ ข้าจะเอาชีวิตของข้าชดใช้ให้เจ้าเอง!”เมื่อเซียวหลินเทียนพูดมาถึงเพียงนี้ หลิงอวี๋ก็พูดมิออกเลยนางนึกถึงเรื่องที่ตอนนั้นเยวี่ยเยวี่ยกับเฮยจื่อถูกลักพาตัวไปด้วยกันและจะถูกโยนลงหน้าผา ตอนนั้นขาทั้งสองข้างของเซียวหลินเทียนยังพิการอยู่ก็ยังกระโดดลงจากหน้าผาไปช่วยเยวี่ยเยวี่ยโดยมิห่วงความปลอดภัยของตนเลยหากมีอันตรายขึ้นมาจริง ๆ หลิงอวี๋ก็เชื่อว่าเซียวหลินเทียนจะช่วยเซียวเยวี่ยอย่างมิห่วงความปลอดภัยของตนเช่นเดิมต่อให้หลิงอวี๋จะมิยินยอมแค่ไหน แต่เรื่องได้ถูกตัดสินใจไปแล้ว นางคัดค้านไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว“ครั้งต่อไปหากมีเรื่องอะไรก็หารือกับหม่อมฉันก่อนเถิดเพคะ หากกล้าจัดการเรื่องของเซียวเยวี่ยโดยที่ปิดบังหม่อมฉันเช่นนี้อีก หม่อมฉันจะไม่มีทางให้อภัยท่านอีกเด็ดขาด!”หลิงอวี๋เอ่ยเตือนอย่างเข้มงวด “การให้ความเคารพซึ่งกันและกันนั้นมิใช่แค่เพียงการพูด เซียวหลินเทียน หากท่านอยากจะให้พวกเราเห็นว่าท่านเป็นคนในครอบครัว ก่อนอื่นเลยคือต้องปลูกฝังความตระหนักรู้
ส่วนเซียวหลินเทียนนั้นนอกจากเซียวเยวี่ยแล้วก็ยังมีลูกบุญธรรมอีกหนึ่งคนนั้นก็คือเฮยจื่อหรือเซี่ยเหวยนั่นเองก่อนหน้าเซี่ยเหวยถูกส่งตัวไปที่หออักษร น้อยครั้งมากที่จะกลับบ้านเซียวหลินเทียนได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดิแล้ว การทิ้งให้เซี่ยเหวยอยู่ข้างนอกนั้นคงมิเหมาะสมทั้งยังมิปลอดภัยด้วย เซียวหลินเทียนจึงวางแผนไว้ว่าจะรับเขากลับมาเป็นสหายร่ำเรียนกับเซียวเยวี่ยเรื่องนี้เซียวหลินเทียนเชื่อฟังหลิงอวี๋ และเขาก็ตั้งใจไปหารือกับหลิงอวี๋หลิงอวี๋นึกถึงความปลอดภัยของเซี่ยเหวยและมิได้คัดค้านใด ๆ เช่นกันแต่พอแม่นมลี่รู้เรื่องนี้ก็ไปหาหลิงอวี๋พลางเอ่ยด้วยเสียงเรียบ “พระชายาองค์รัชทายาทเพคะ บ่าวคิดว่าเซี่ยเหวยมิเหมาะที่จะมาเป็นสหายร่ำเรียนกับเยวี่ยเยวี่ยเพคะ!”“เพราะเหตุใดเล่า?”หลิงอวี๋เอ่ยถามไปอย่างแปลกใจนับตั้งแต่ที่เซี่ยเหวยถูกส่งไปที่หออักษรก็ได้ร่ำเรียนหนังสือและรู้เหตุผล ด้านความสัมพันธ์กับเยวี่ยเยวี่ยก็กลมเกลียวกันมากขึ้นเรื่อย ๆก่อนหน้านี้หลิงอวี๋มิชอบเซี่ยเหวยเพราะว่าเขาทำร้ายเยวี่ยเยวี่ยทั้งยังเคยใส่ร้ายตนด้วยแต่เมื่อเห็นว่าเซี่ยเหวยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีแล้ว มุมมองของหลิงอวี๋ที่
หลิงอวี๋เห็นความสามารถนี้ของหมิ่นกู ในใจพูดได้เลยว่าได้ของล้ำค่ามาแล้ว จึงใช้งานหมิ่นกูมากขึ้นตอนนี้ตำหนักอ๋องอี้ว่างเปล่าไปแล้ว เหลืออยู่เพียงคนเฝ้ายามและคนรับใช้มิกี่คนที่คอยดูแลอยู่ส่วนสี่สาวงามที่ฮองเฮาเว่ยได้ประทานมาให้นั้นก็เหลืออยู่เพียงจื่อผิงกับเนี่ยนจือหลังจากพิธีราชาภิเษกของเซียวหลินเทียน หลิงอวี๋ก็ส่งคนไปรับพวกนางสองคนเข้ามาในวังหากทำตามความคิดของเซียวหลินเทียน เขาก็จะมิยอมให้พวกนางเข้าวังหลิงอวี๋เองก็มิยอมเช่นกัน แต่มาคิดดูอีกที หลิงอวี๋จึงเป็นฝ่ายไปบอกกับเซียวหลินเทียนเอง“ตอนนี้ท่านเป็นจักรพรรดิแล้ว หากในวังมีเพียงหม่อมฉันผู้เดียวก็คงจะมิเข้าท่าเช่นกัน ไปรับจื่อผิงกับเนี่ยนจือเข้าวังเถิดเพคะ!”จักรพรรดิองค์ใดบ้างที่ไม่มีภรรยาหลายคน แค่พวกนางสามคนนี้ยังมิพอด้วยซ้ำ!หลิงอวี๋เชื่อว่าต่อให้เซียวหลินเทียนมิต้องการ แต่ผ่านไปอีกหลายวันจากนี้ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้นจะต้องโน้มน้าวให้เซียวหลินเทียนเลือกสนมเข้าวังเป็นแน่หลิงอวี๋มิสามารถจินตนาการได้เลยว่า ตนจะต้องปรนนิบัติบุรุษผู้เดียวร่วมกับสตรีจำนวนมากเหล่านั้น ตอนนี้นางมิพูดอะไร รอดูเซียวหลินเทียนว่าถึงเวลา
การไว้ทุกข์จักรพรรดิเพิ่งจะผ่านพ้นไป ดังนั้นบรรดาคุณหนูที่มาในวังจึงล้วนแต่งกายอย่างงดงามและสุภาพกัน หลิงอวี๋เองก็เช่นกัน นางสวมชุดกระโปรงสีขาวลายพระจันทร์ และด้านนอกก็คลุมด้วยเสื้อคลุมที่ทำมาจากขนสุนัขจิ้งจอกแม้ว่าอากาศจะหนาวมาก แต่พอทำงานยุ่ง ๆ ไปก็มิรู้สึกว่าหนาวเลยไท่เฟยเส้ากับไทฮองไทเฮากำลังช่วยต้อนรับสตรีบรรดาศักดิ์อยู่ เหล่าองค์หญิงที่รู้ความหลายคนก็มาช่วยเช่นกันเซียวทงตามติดไทฮองไทเฮา นางเป็นใบ้ไปแล้วมิสามารถพูดได้จึงยืนฟังอยู่ด้านข้างเงียบ ๆสตรีบรรดาศักดิ์บางคนยังมิรู้เรื่องที่เซียวทงเป็นใบ้ เมื่อเห็นว่าองค์หญิงที่เย่อหยิ่งในอดีตกลับเงียบสงบในวันนี้ก็ค่อนข้างแปลกใจวันนี้สตรีบรรดาศักดิ์เหล่านี้ล้วนพาบุตรีของตนมาด้วยแม้ว่าจะมิสามารถแต่งตัวอย่างสวยงามได้ แต่คุณหนูแต่ละคนก็ใส่ใจในการแต่งตัวกันหลังจากจักรพรรดิเซิ่งอู่ขึ้นครองบัลลังก์ ที่วังหลังก็มีเพียงแค่หลิงอวี๋กับกุ้ยเหรินอีกสองคน ดังนั้นขอเพียงพวกนางแสดงออกอย่างดีก็จะมีโอกาสได้กลายเป็นนางสนมของจักรพรรดิองค์ใหม่เหล่าคุณหนูและสตรีบรรดาศักดิ์เหล่านี้ห้อมล้อมกันอยู่ตรงหน้าไทฮองไทเฮากับไท่เฟยเส้าและต่างก็พยายามเอาใจท
ทางด้านเผยอวี้ หลังจากเขียนอักษรไปได้สองอันอย่างดูสนุกสนานแล้วก็ไปนั่งพักอยู่ด้านข้างหางตาของขันทีคนหนึ่งมองมาเห็นว่าที่บนโต๊ะของเขาไม่มีถ้วยชาจึงวิ่งมารินน้ำชาให้เขาอย่างเอาใจ ทั้งยังยกพวกขนมมาให้ด้วยเผยอวี้ยิ้มออกมา ขันทีน้อยผู้นี้ดูท่าทางมีไหวพริบ พอหยุดรินชาก็สังเกตสีหน้าท่าทางด้วยเขาจิบชาและกินของว่างเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าขุนนางกลุ่มหนึ่งมีท่าทีเอาอกเอาใจเซียวหลินเทียนก็รู้สึกเพียงว่าสนุกดีหลังจากดื่มชาไปสองถ้วย เผยอวี้ก็รู้สึกว่ามิค่อยสบาย ดูเหมือนว่าในโถงนี้จะมีคนมากเกินไปจึงค่อนข้างร้อนอบอ้าวเผยอวี้จึงลุกขึ้นออกไปข้างนอก“แม่ทัพเผย จะไปห้องน้ำหรือขอรับ? ทางนี้ขอรับ!”ขันทีน้อยที่รินน้ำชาให้เผยอวี้เมื่อครู่ก้าวเข้ามาอย่างเอาใจใส่พลางเอ่ยเผยอวี้ได้ยินเขาเอ่ยดังนั้นก็รู้ว่าอยากไปห้องน้ำสักหน่อยจึงให้ขันทีน้อยนำทางไปห้องน้ำหลังจากจัดการปัญหาทางร่างกายเสร็จแล้วก็ออกมา แต่เผยอวี้ก็ยังรู้สึกมิดีอยู่ ยิ่งเวียนหัวมากขึ้นอีก หรือว่าจะป่วย?“แม่ทัพเผย ท่านมิสบายหรือ? บ่าวพยุงท่านไปพักผ่อนสักครู่นะขอรับ!”ขันทีน้อยก้าวเข้ามาพยุงเขาอย่างกระตือรือร้นเผยอวี้รู้สึกว่าค่อนข้า
เผยอวี้นอนอยู่บนเก้าอี้อย่างสะลึมสะลือ เมื่อได้ยินเสียงประตูถูกผลักออกแว่ว ๆ ก็คิดว่าลู่หนานมาแล้วจึงโวยวายออกไป“ลู่หนาน ข้าคิดว่าถูกคนวางอุบายใส่ข้าแล้ว! เจ้ารีบไปเอายาแก้จากพระชายาองค์รัชทายาทมาให้ข้าที!”ร่างกายของเผยอวี้ร้อนดั่งไฟ และคลื่นความร้อนก็ทำให้เขาแทบจะทนมิไหวแล้วต่อให้โง่แค่ไหนเขาก็รู้ว่าตนถูกวางอุบายใส่เผยอวี้ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ลู่หนาน ตอนนี้มีเพียงลู่หนานเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือตนได้ มิเช่นนั้นหากตนขาดสติแล้วทำสิ่งใดไปจะมิใช่เพียงแค่ตนเองที่อับอาย แต่เซียวหลินเทียนก็จะมิสามารถพูดอะไรเพื่อตนได้ด้วยคนที่อยู่ตรงประตูมิตอบรับใด ๆ เผยอวี้ได้ยินเพียงเสียงตุบดังขึ้นมาราวกับว่ามีสิ่งของอะไรบางอย่างถูกโยนเข้ามา จากนั้นประตูก็ปิดไปอีกครั้ง“ลู่หนาน เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่? ข้าถูกคนวางอุบายใส่!”เผยอวี้ทั้งร้อนใจทั้งโกรธ มองเห็นอยู่ราง ๆ ว่ามีร่างคนอยู่ที่พื้น เขายันตัวลุกขึ้นพลางเอ่ยอย่างมิพอใจ “เจ้าพูดสิ!”“หากเจ้ายังมิช่วยไปตามคนมาให้ข้า ข้าจะต้องแย่แน่!”คนผู้นั้นก็ยังมิพูดจาอีก เผยอวี้จึงเดินโซเซเข้าไปหาแต่เขาเวียนหัวมากจึงควบคุมแรงได้มิดี เผยอวี้จึงเ