เหตุใดเซียวหลินเทียนจะมิรู้เหตุผลนี้ เมื่อครู่เขาเห็นสาส์นกราบทูลที่มีความยาวมากเกือบสองหมื่นตัวอักษร หนึ่งหมื่นเก้าพันตัวอักษรด้านหน้านั้นล้วนเป็นประโยคไร้สาระทั้งสิ้นมีเพียงห้าร้อยคำด้านหลังสุดที่เป็นข้อความที่จริงจังหากเซียวหลินเทียนมิอดทนอ่านจนจบแล้วโยนไปด้านข้างเสียก่อนก็คงติดกับไปแล้วตอนไปว่าราชกิจในเช้าวันพรุ่งจะต้องถูกพวกจ้าวฮุยจับผิดแล้วเอาความผิดในฐานละเลยเรื่องบ้านเมืองมาใส่ตนแน่สาสน์กราบทูลเช่นนี้ หากเซียวหลินเทียนนั่งอยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิอย่างมั่นคงแล้วก็จะไม่มีผู้ใดกล้ามาซักไซ้เขาแล้วแต่เซียวหลินเทียนยังมิได้ขึ้นครองบัลลังก์เลย หากทิ้งความทรงจำเช่นนี้ไว้กับพวกขุนนาง เช่นนั้นจะมิเป็นผลดีต่อการจัดการบ้านเมืองในภายภาคหน้าของตนเอง“หลี่ว์เซียง เจ้ากับท่านจินต้าจัดการเรื่องเหล่านี้ให้ข้าสักรอบหน่อยเถิด!”“ข้าจะจัดการสาส์นกราบทูลเหล่านี้ก่อน!”เซียวหลินเทียนผลักสาส์นกราบทูลกองหนึ่งไปให้ทั้งสองคน พลางเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ลำบากพวกเจ้าแล้ว! ต้องมาเหนื่อยไปกับข้าด้วย!”ท่านจินต้าเป็นที่ปรึกษาของเซียวหลินเทียนอยู่แล้ว การช่วยทำงานก็มิได้เป็นอะไรหลี่ว์เซียงอายุมากแล้ว
ขุนนางพรรคพวกของจ้าวฮุยเองก็มีเจตนาเหมือนกับจ้าวฮุยทั้งนั้นใต้เท้าหลี่ยังคงเอ่ยขึ้นมาอย่างกลัวว่าจะมิวุ่นวายมากพอ “ฝ่าบาท กระหม่อมขอเอ่ยถามสักประโยค มิทราบว่า สาส์นกราบทูลที่กระหม่อมส่งไปเมื่อวานได้ทำการลงข้อคิดเห็นแล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ขุนนางคนอื่น ๆ ที่ส่งสาส์นกราบทูลมาเมื่อวานต่างก็พากันซักถามเช่นกันเซียวหลินเทียนสีหน้าเรียบเฉย เขากวาดสายตามองไปที่พวกขุนนางด้านล่างที่ซักถามแล้วจึงเอ่ยอย่างช้า ๆ“สาส์นที่เหล่าขุนนางทั้งหลายส่งมานั้นข้าได้เขียนข้อคิดเห็นไปหมดแล้ว ประเดี๋ยวจะให้ขันทีน้อยเซี่ยส่งคืนให้พวกเจ้า!”“ใต้เท้าข่งก้าวออกมา!”ใต้เท้าข่งที่ถูกเรียกชื่อเป็นบัณฑิตจากสำนักฮั่นหลิน เขาก็คือขุนนางที่ส่งสาส์นกราบทูลเกือบสองหมื่นตัวอักษรมาให้เซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนพยักหน้า จากนั้นขันทีน้อยเซี่ยก็ส่งสาส์นกราบทูลให้เขายังมิทันที่ใต้เท้าข่งจะได้อ่านข้อคิดเห็นของเซียวหลินเทียน เซียวหลินเทียนก็เอ่ยขึ้นมา“เมื่อวานข้าได้เขียนข้อคิดเห็นในสาส์นกราบทูล เห็นสาส์นกราบทูลของใต้เท้าข่งก็ตกใจมาก เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของการเขียนสาส์นของขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊เลยทีเดียว!”“ดั
“แม่ทัพอันพูดถูก ใต้เท้าข่ง หากเป็นในสนามรบแล้วทหารมารายงานข้อมูลดั่งเช่นที่ท่านทำ ก็คงมิต้องสู้รบกันแล้ว แค่รอให้กองทัพถูกกวาดล้างไปเถอะ!”แม่ทัพคนหนึ่งก็เออออไปกับคำพูดของอันเจ๋อและดุด่าใต้เท้าข่งเช่นกันขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่งก็ด่าออกมา “ใต้เท้าข่ง นี่มิใช่การเขียนบทความนะ แต่เป็นการเขียนสาส์นกราบทูล ท่านแหกตาดูเอาเถิดว่าบนโต๊ะขององค์จักรพรรดิมีสาส์นกราบทูลกองอยู่มากถึงเพียงนั้น หากพวกเราเขียนคำพูดไร้สาระยืดยาวเช่นท่านกันหมด เช่นนั้นองค์จักรพรรดิคงเหนื่อยจนเป็นลมไปพอดี!”ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ต่างพูดต่อว่าใต้เท้าข่งอย่างเสริมกันไปมาใต้เท้าข่งถูกพูดใส่เช่นนี้ก็หน้าแดงหูแดง แล้วเอ่ยโต้เถียงเสียงดังอย่างหมดแรง“ข้าก็มีที่พูดเรื่องจริงจัง… อีกทั้งก่อนหน้านี้ข้าก็เขียนเช่นนี้ องค์จักรพรรดิสูงสุดมิเห็นทรงตำหนิกระไร พวกท่านมีสิทธิ์อะไรมาต่อว่าข้า!”พรรคพวกของจ้าวฮุยจึงออกมาสนับสนุนใต้เท้าข่งในทันที มีบางคนตะโกนขึ้นมา “แม้ว่าสาส์นกราบทูลของใต้เท้าข่งจะยาวก็เป็นความสามารถในด้านการเขียน ควรค่าให้พวกเราเรียนรู้!”“เมื่อครู่องค์จักรพรรดิก็ยังชื่นชมว่าสาส์นกราบทูลของเขาเขียนดีเลยมิใช่หร
“สาส์นที่ใต้เท้าจางส่งมาเป็นเรื่องสตรีผู้หนึ่งที่เขตหมินเก็บทองได้แล้วมิถือเอาเป็นของตน… นี่เป็นเรื่องดี ใต้เท้าจาง เจ้าส่งป้ายผ้าให้นางเป็นรางวัลแทนข้าที!”เซียวหลินเทียนโยนสาส์นที่เขารู้สึกว่าไร้สาระลงบนพื้นทีละอันอย่างไร้ความปรานี“ใต้เท้าวาง ที่ข้างถนนมีเด็กเล็กสองคนทะเลาะกัน ในสาส์นที่เจ้าส่งมาบอกว่า พ่อแม่ของพวกเขาสั่งสอนมิดี เช่นนั้นข้าขอสั่งให้เจ้าไปช่วยพ่อแม่ทั้งสองครอบครัวดูแลเด็กเล็กสองคนนั้น!”“เมื่อใดที่เด็กสองคนนั้นมิทะเลาะกันแล้วเจ้าค่อยกลับมาทำงานต่อ! จงจำไว้ มิใช่ว่าการที่เขามิทะเลาะกันเพียงหนึ่งถึงสองเดือนก็ถือว่าเจ้าสั่งสอนสำเร็จแล้ว แต่ต้องเป็นเวลาจนกว่าจะถึงอายุยี่สิบปี!”ใต้เท้าวางหน้าซีดเผือด จะดูแลได้อย่างไรกัน!เด็กสองคนนั้นเพิ่งจะอายุห้าหกขวบ รอให้พวกเขาอายุสิบห้ายี่สิบ เช่นนั้นตนเองต้องสิ้นเปลืองเวลาเกือบสิบปีไปอยู่กับพวกเขาหรือ?เขานึกเสียใจอยู่ครู่หนึ่ง มีเรื่องตั้งมากมายไฉนตนกลับบอกเรื่องนี้ในสาส์นกราบทูลกันเล่า!จากที่เซียวหลินเทียนอ่านสาส์นกราบทูลแต่ละอันแล้ว พวกขุนนางลูกน้องของจ้าวฮุยหลายคนก็ถูกเซียวหลินเทียนเปลี่ยนวิธีต่าง ๆ ปรามไปหมดแล้วจ้าวฮ
เซียวหลินเทียนลงโทษพวกใต้เท้าข่งกับใต้เท้าวางก่อน หลังจากนั้นสาส์นน่าเบื่อเหล่านี้ก็มิปรากฏอยู่บนโต๊ะทรงงานของเซียวหลินเทียนอีกเลยแผนการเล็ก ๆ นี้ของจ้าวฮุยถูกเซียวหลินเทียนใช้วิธีการเช่นนี้จัดการไปแล้วอันเจ๋อกับเผยอวี้นับถือเซียวหลินเทียนมาก แต่เซียวหลินเทียนกลับมิกล้าภาคภูมิใจในตนเองด้วยเรื่องนี้จ้าวฮุยเป็นคนที่เฉลียวฉลาดและมีความสามารถ เมื่อแผนการหนึ่งมิสำเร็จจะต้องมีแผนการมาอีกแน่นอนเวลานี้เซียวหลินเทียนยังมิได้ครองบัลลังก์ ไม่มีเหตุผลที่เป็นธรรมและมิสามารถแตะต้องจ้าวฮุยได้ ทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ก่อนเท่านั้นจ้าวฮุยมองสาส์นกราบทูลที่ว่างเปล่า เขารู้ว่าเซียวหลินเทียนทำวิธีนี้เพื่อปรามขุนนางที่เป็นพรรคพวกของตนแต่เขาทำอย่างสมเหตุสมผล แม้ว่าเขาจะมิพอใจแต่ก็ทำได้เพียงอดทนไว้เซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋มิธรรมดาเลย!ระหว่างที่จ้าวฮุยกลับไปก็ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ตลอด เขาคิดว่าตนได้พบกับคู่ต่อสู้สองคนที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิตแล้วเซียวหลินเทียนมีความสามารถทั้งทางบุ๋นและบู๊ อีกทั้งยังมีไหวพริบที่โดดเด่นด้วย การจะจัดการเขาสักคนก็ยากมากพอแล้วยังมีหลิงอวี๋เพิ่มเข้ามาอีก สตรีผู้นี้เอ
ทางด้านหลิงอวี๋ก็ยุ่งง่วนมาก เมื่อพระชายาผิงหนานเตือนขึ้นมาก็นึกขึ้นได้ว่าต้องไปพาตัวหลิงเยวี่ยมาเคารพพระบรมศพของจักรพรรดิอู่อันหลิงอวี๋ค่อนข้างสับสน การที่หลิงเยวี่ยมาครั้งนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการยอมรับตัวตนว่าเขาคือลูกชายแท้ ๆ ของเซียวหลินเทียนแม้ว่าวันนั้นเซียวหลินเทียนจะบอกว่า เขาจะไม่มีทางสงสัยอีกว่าหลิงเยวี่ยเป็นลูกชายแท้ ๆ ของเขาหรือไม่ แต่ใครจะรู้ว่าเป็นคำพูดที่ขัดต่อจิตใจของเซียวหลินเทียนหรือว่าเขาพูดจริงนางครุ่นคิดอยู่นานถึงให้หลิงซวนไปรายงานเซียวหลินเทียน ลองหยั่งเชิงท่าทีของเซียวหลินเทียนดูไหนเลยจะคิดว่าเซียวหลินเทียนจะไปรับหลิงเยวี่ยด้วยตัวเองท่ามกลางงานที่ยุ่งมาก ๆท่านอดีตเสนาบดีเกษียณออกมาแล้ว มิต้องไปเคารพพระบรมศพในวัง แต่ที่จวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนก็แขวนผ้าขาวไว้ทุกข์เช่นกันเมื่อคนเฝ้ายามที่หน้าประตูเห็นว่าจักรพรรดิองค์ใหม่มาด้วยตัวเองก็ตกใจรีบส่งคนเข้ามารายงานหลิงหว่านกับป้าสะใภ้ใหญ่รีบพาหลิงเยวี่ยและประคองท่านอดีตเสนาบดีไปต้อนรับที่หน้าประตูอย่างรวดเร็วเซียวหลินเทียนมิได้คาดคิดถึงการกระทำยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่ด้วยตัวตนของเขาในตอนนี้ มิสามารถให้คนเฝ้ายามนำตนเองเ
คำพูดของท่านอดีตเสนาบดีทำเอาเซียวหลินเทียนเหงื่อตก เขาจึงเอ่ยไปทันที“ท่านอดีตเสนาบดี ท่านวางใจเถิด ชีวิตนี้ข้าไม่มีทางทอดทิ้งอาอวี๋!”“มิต้องพูดถึงเรื่องอื่น พูดถึงเรื่องที่อาอวี๋รักษาขาของข้าจนหายดี ทั้งยังช่วยชีวิตข้าไว้ตั้งหลายครั้ง หากข้าทำมิดีต่อนาง เช่นนั้นจะต่างอะไรกับเดรัจฉานเล่า!”เซียวหลินเทียนกังวลจนมิได้วางตัวแล้ว เขาเอ่ยอย่างจริงใจ“ข้าจะดีกับอาอวี๋และเยวี่ยเยวี่ย ชีวิตนี้ ผู้ใดก็มิอาจมาแทนที่ของอาอวี๋ในใจของข้าได้!”เมื่อได้รับคำสัญญาของเซียวหลินเทียน ท่านอดีตเสนาบดีก็รู้สึกพอใจ พลางตะโกนเรียก “เยวี่ยเยวี่ย!”“ท่านตาทวด!”หลิงเยวี่ยเดินเข้ามาหา“ทำความเคารพเสด็จพ่อของเจ้าสิ!”ท่านอดีตเสนาบดีโอบกอดหลิงเยวี่ยเข้ามาพลางเอ่ยอย่างใจเย็น “เสด็จปู่ของเจ้าจากไปแล้ว เจ้าต้องตามเสด็จพ่อเข้าวังไปเฝ้าพระบรมศพเสด็จปู่นะ!”“จงจำไว้ เข้าวังไปแล้วห้ามเอาแต่ใจ ต้องเชื่อฟังแม่นมกับเสด็จแม่ของเจ้า และต้องกตัญญูต่อเสด็จพ่อกับไทเฮาด้วยนะ!”หลิงเยวี่ยหน้าบึ้ง แล้วโผเข้าซบในอ้อมกอดของท่านอดีตเสนาบดี พลางเอียงหัวแล้วเอ่ย “ท่านตาทวด เยวี่ยเยวี่ยมิไปได้หรือไม่?”“เยวี่ยเยวี่ยมิชอบคนคน
หลิงเยวี่ยได้ยินเซียวหลินเทียนบอกว่าพวกเขามีศัตรูมากก็เป็นห่วงหลิงอวี๋ขึ้นมาทันทีเซียวหลินเทียนสังเกตคำพูดและท่าทีจึงรีบเอ่ย“เยวี่ยเยวี่ย ท่านแม่ของเจ้าเคยบอกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เมื่อเผชิญหน้ากับความลำบากก็ควรจะร่วมแรงร่วมใจกันฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน!”“เยวี่ยเยวี่ย หากเจ้ามิยอมตามข้าเข้าไปในวัง เจ้ามิกังวลว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะมิได้เจอพวกเราอีกแล้วหรือ?”หลิงเยวี่ยได้ยินคำพูดนี้ก็สีหน้าเปลี่ยนทันทีใช่ หากมิตามคนคนนี้เข้าวังไปก็จะมิได้เจอท่านแม่ของตน!เขาจ้องมองเซียวหลินเทียนอย่างเกลียดชังแล้วจึงเอ่ย “กระหม่อมจะตามท่านเข้าวัง!”เขากลัวว่าเซียวหลินเทียนจะเข้าใจผิดว่าตนให้อภัยเขาแล้ว หลิงเยวี่ยจึงเอ่ยต่อ “เพื่อท่านแม่ของกระหม่อม มิใช่เพื่อท่าน!”เซียวหลินเทียนรู้ว่าตนทำให้เขาเสียใจ หากอยากให้เขาเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อตนในทันทีก็คงจะเป็นไปมิได้เซียวหลินเทียนจึงทำได้เพียงถอยหลังก้าวหนึ่งพลางเอ่ย “ได้ ข้าจะทำตัวดี ๆ ให้เจ้ายอมรับข้า!”หลิงเยวี่ยจึงถูกเซียวหลินเทียนรับกลับเข้าวังไปเช่นนี้ระหว่างทาง เซียวหลินเทียนจึงเอ่ยกำชับ “หลังจากเข้าวังไปแล้วนามเรียกขานของเจ้าก็จะย