นี่… นี่มันรังแกกันเกินไปแล้วจริง ๆ!เหตุผลของหลิงอวี๋หายไปในทันที ต่อให้เซียวหลินเทียนจะมีแผนการหรือว่ายากลำบากแค่ไหน ก็มิสามารถให้ฉืนรั่วซือหยาบคายไร้เหตุผลได้เช่นนี้กระมัง!“ไป เราไปหาเซียวหลินเทียนกัน!”หลิงอวี๋เรียกหานเหมย เถาจื่อและนางรับใช้อีกหลายคนไปด้วยกันหลิงซวนก็รู้สึกว่าเหลือเชื่อ ช่วงนี้ท่านอ๋องอี้มีความรู้สึกที่ดีกับหลิงอวี๋มากขึ้นเรื่อย ๆ มิใช่หรอกหรือ?เหตุใดจู่ ๆ จึงเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้?นางตามหลิงอวี๋ไปที่เรือนริมวารีหลิงอวี๋พุ่งเข้าไปก็เห็นว่าเซียวหลินเทียนกับฉินรั่วซือกำลังชมภาพวาดกันอยู่“เซียวหลินเทียน ท่านมีสิทธิ์อะไรย้ายเครื่องใช้ของเรือนบุหงาของหม่อมฉันไป?”หลิงอวี๋ตะคอกด้วยความโกรธอย่างมิสนใจ “ของเหล่านั้นเป็นของที่ใช้เงินของหม่อมฉันซื้อมา มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับตำหนักอ๋องอี้เลย ท่านมิถามแต่กลับมาเอาไป ต่างอะไรกับโจรเล่า?”เซียวหลินเทียนถูกรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ก็หันไปมองทางหลิงอวี๋อย่ามิพอใจ พลางเอ่ยเสียงเย็นชา “เรือนบุหงาเป็นทรัพย์สินของข้า ข้าแค่เอาของของข้ามานิดหน่อย เจ้ามีสิทธิ์อะไรมามิพอใจ?”“ของของท่านอะไรกัน? หม่อมฉันจะบอกท่านอีกครั้งเพคะ ของเ
“เถาจื่อ ไปหาคนรับใช้สองสามคนมา พวกเราจะไปเรือนมารุตเพื่อขนของกลับ!”หลิงอวี๋ออกมาจากเรือนริมวารี แล้วสั่งด้วยความโกรธเถาจื่อโกรธอย่างที่สุด เมื่อนางและสุ่ยหลิงมาถึง ก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าหลิงอวี๋ได้จัดเรือนบุหงาทีละขั้นอย่างอุตสาหะเพื่อให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน!ในเรือนบุหงา พวกเขาเป็นดั่งครอบครัวเดียวกัน แล้วใครให้สิทธิ์คนพวกนั้นมาเอาของไปตามใจชอบกัน!เถาจื่อไปหาหมิ่นกูทันทีเพื่อเรียกกำลังคนเพิ่มหลิงซวนเห็นสถานการณ์และแนะนำว่า “อาจารย์ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ มีบางอย่างที่น่าสงสัย อย่าได้ทำสิ่งใดบุ่มบ่ามเลยเจ้าค่ะ หาโอกาสหารือกับท่านอ๋องในภายหลังและหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์แย่ลงดีกว่านะเจ้าคะ!”“เจ้าคิดว่า ท่านอ๋องจะให้โอกาสข้าได้หารือดี ๆ รึ?”หลิงอวี๋เต็มไปด้วยโทสะ นางหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “นาง ฉินรั่วซือยังมิได้เข้าทางประตูด้วยซ้ำ กล้ามาทำให้ข้าอับอายเช่นนี้ หากข้ามิสอนบทเรียนให้นางวันนี้ นางคงได้คิดว่าตัวเองเป็นเจ้านายของตำหนักอ๋องอี้ไปแล้วจริง ๆ กระมัง”“เถาจื่อ ไปเรียกคนมา”เถือจื่อรีบไปอย่างเชื่อฟังหลิงซวนมองหลิงอวี๋ด้วยความกังวลแล้วพูดเบา ๆ ว่า “อาจารย์ ท่านมิกล
หลิงอวี๋รอจนกระทั่งเถาจื่อและคนอื่น ๆ ย้ายและจัดเครื่องเรือนเครื่องใช้ในเรือนบุหงาเสร็จเรียบร้อย แต่ทั้งเซียวหลินเทียนและฉินรั่วซือก็มิสามารถหยุดยั้งพวกเขาได้ในตอนแรก นางรู้สึกว่ามันแปลกนิดหน่อย ทำให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่เช่นนี้เซียวหลินเทียนจะมิรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรเมื่อหลิงอวี๋เห็นสาวใช้ซ่อนตัวและแอบย่องไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นว่าตอนที่นางออกมาไม่มีองครักษ์เลยสักคน นางก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับชิวเหวินซวง ตำหนักอ๋องอี้ตนเป็นคนจัดระเบียบใหม่เอง และบุคคลที่น่าสงสัยทั้งหมดที่มิสามารถไว้วางใจได้ก็ถูกขับออกไปหมิ่นกูที่ตนพาเข้ามาก็จัดการพวกที่ขี้เกียจมากเล่ห์ตั้งแต่เข้ามายิ่งกว่านั้น หลิงอวี๋และหมื่นกูได้เพิ่มเบี้ยหวัดของสาวใช้และคนรับใช้ในตำหนักด้วย ตอนนี้ คนรับใช้ทุกคนในตำหนักก็ฟังพวกเขานางในเมื่อนางยังมิได้ตกต่ำ แล้วคนรับใช้กล้าดีใช้เงินเบี้ยหวัดมาประจบประแจงฉินรั่วซือได้อย่างไร!องครักษ์ที่บาดเจ็บยิ่งกว่านั้นก็ปวดหัวและเป็นไข้จึงขอให้คนจากเรือนบุหงาไปเอายามาให้ ด้วยบุญกุศลที่สั่งสมมา วันธรรมดาพวกเขายังไม่มีโอกาสที่จะ
ข่าวดี ๆ มิเคยแพร่ออกไป ข่าวร้ายทีไรอย่างกับไฟลามทุ่งเพียงชั่วข้ามตืน ข่าวที่ว่าฉินรั่วซือย้ายมาอยู่ที่ตำหนักอ๋องอี้ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วแวดวงผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงบางคนที่ขุ่นเคืองกับหลิงอวี๋อย่างเช่นจ้าวเจิ้นเจินนั้น นางกำลังเพลิดเพลินกับความโชคร้ายของหลิงอวี๋ และรอดูว่าหลิงอวี๋จะกลายเป็นหมาหัวเน่าเมื่อใด“ก่อนที่ฉินซานจะได้รับข้อความจากหานเหมย เขาได้รับคำแสดงความยินดีจากสหายร่วมงานที่มีเจตนามิดีหลายคนแล้วใครบางคนพูดขึ้นว่า “ยินดีด้วย ยินดีด้วยจริง ๆ เจ้ากรมฉิน ท่านโชคดีจริง ๆ! เมื่อไหร่พวกเราจะได้ดื่มเหล้ามงคลในงานอภิเษกสมรสของน้องสาวท่านกับท่านอ๋องอี้เล่า?”มีคนพูดอย่างมิพอใจว่า “ทุกวันนี้ ท่านอ๋องอี้มีอิทธิพลมากนัก การเกาะท่านอ๋องอี้ไว้ให้แน่นจะทำให้ท่านประสบความสำเร็จในราชสำนัก ชีวิตภายหน้าของเจ้ากรมฉินต้องสดใสเป็นแน่!”“พวกเราไม่มีน้องสาวที่คู่ควร มิเช่นนั้น พวกเราจะยกนางให้ท่านอ๋องอี้บ้าง…”ฉินซานรู้สึกอับอายและละอายใจอย่างมาก เขาลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ทำได้เพียงเดินออกมาหานเหมยนำข้อความของหลิงอวี๋มาให้ฉินซาน เขาเก็บซ่อนความรู้สึกกังวลไว้แล้วออกไปทันทีหลิง
นี่มันเหลือเชื่อเกินไป!สำหรับ ฉินซานวิธีการใช้กู่เพื่อควบคุมคนเป็นเพียงตำนาน เขามิเคยเห็นใครถูกกู่ควบคุมมาก่อนแล้วฉินรั่วซือเชี่ยวชาญเรื่องนี้ได้อย่างไรเขารู้จักน้องสาวของเขาดี แม้ว่านางจะใจแคบนิดหน่อย แต่นางก็ขี้อายและเชื่อฟังมาโดยตลอดนางทำเช่นนั้นได้อย่างไร!“พระชายาอ๋องอี้ ท่านคิดมากไปหรือไม่?”แม้ว่าฉินซานจะรู้สึกว่าการกระทำของฉินรั่วซือนั้นไม่น่าเอ็นดูเลยสัดนิด แต่เขาก็รู้สึกละอายใจต่อหลิงอวี๋ด้วยเช่นกันแต่เขาก็มิอาจปล่อยให้หลิงอวี๋ใส่ร้ายน้องสาวของตนได้เช่นกันเขาพูดอย่างใจเย็น "ข้ารู้วเจ้ามิชอบที่รั่วซือคอยแต่แข่งขันกับเจ้าเพื่อแย่งอ๋องอี้ แต่เจ้าก็มิควรคิดเตลิดไปไกลแล้วยังคิดมิดีต่อรั่วซือเช่นนี้"“นางไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด”“นางรู้จักอิงเหนียง และนางก็ถูกอิงเหนียงบังคับ นางบอกเรื่องนี้กับข้าทั้งหมดแล้ว เช่นนั้นข้าเชื่อว่านางจะไม่มีทางทำร้ายท่านอ๋องอี้เป้นแน่!”หลิงอวี๋เข้าใจฉินซานและรู้ว่าเขาจะไม่ใช้ความสัมพันธ์ของน้องสาวเพื่อตำแหน่งที่สูงขึ้น ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดจึงมิทำให้หลิงอวี๋โกรธหลิงอวี๋พูดอย่างใจเย็น “อย่างที่ข้าบอกไปเมื่อกี้นี้ หากฉินรั่วซือและท่าน
หลิงอวี๋ยังมิทันได้กลับไปยังตำหนักอ๋องอี้ ก็ถูกสุ่ยหลิงตามมาพบระหว่างทางสีหน้าของสุ่ยหลิงดูมิสู้ดี หลิงอวี๋เห็นก็ใจหายวาบ ถามว่า “สุ่ยหลิง ฉินรั่วซือก่อเรื่องอีกแล้วหรือ?”“พระชายา ข้าอยู่ที่นี่มิได้แล้วเจ้าค่ะ ท่านควรจะหย่าขาดกับอ๋องอี้ พาเยวี่ยเยวี่ยและพวกเราออกจากตำหนักอ๋องอี้ไปเสียเถิดเจ้าค่ะ”สุ่ยหลิงพูดไปพลาง น้ำตาแห่งความคับข้องใจก็ไหลริน“หน้าเจ้าเป็นอะไร?”เถาจื่อสายตาแหลม เห็นสุ่ยหลิงพูดคุยกับหลิงอวี๋พร้อมกับเอียงศีรษะอย่างจงใจ จึงจ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วก็พบว่าข้างแก้มของสุ่ยหลิงบวมแดงเป็นจ้ำ ชัดเจนว่าถูกคนตบหลิงอวี๋ก็สังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน นางเอื้อมมือไปจับสุ่ยหลิง ตรวจดูอย่างละเอียด ก่อนจะเห็นใบหน้าที่บวมเป่งของสุ่ยหลิงหลิงอวี๋ยิ้มเยาะ “เหตุใดกัน? ปกติเห็นเจ้าเก่งกาจนักมิใช่รึ ไฉนจึงยอมให้ฉินรั่วซือตบตีได้เช่นนี้เล่า?”“ผู้ที่ตบมิใช่ฉินรั่วซือ แต่เป็นท่านอ๋องอี้เจ้าค่ะ”สุ่ยหลิงกล่าวอย่างน้อยใจ “หากเป็นฉินรั่วซือตบ บ่าวจะสู้กับนางจนตายไปข้าง”“เพราะเป็นท่านอ๋องอี้... บ่าวจึงมิกล้าสู้เจ้าค่ะ”หลิงอวี๋เข้าใจแล้ว เซียวหลินเทียนตบตีสุ่ยหลิง สุ่ยหลิงม
หลิงอวี๋ตกตะลึงเมื่อเห็นขันทีเซี่ยพาองครักษ์สองสามคนมาจากทิศทางของวังหลวง“ขันทีเซี่ย เจ้าจะไปที่ใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ขันทีเซี่ยมีสีหน้าเคร่งขรึม เดินเข้ามาใกล้หลิงอวี๋ แล้วกระซิบว่า “ไปเชิญอ๋องอี้เข้าวัง! ฝ่าบาททราบเรื่องที่ท่านอ๋องทรงกระทำแล้ว จึงมีรับสั่งให้เชิญท่านอ๋องเข้าวังเพื่อชี้แจงขอรับ”“ฝ่าบาทกริ้วมาก หากครั้งนี้ท่านอ๋องอี้ไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล เกรงว่าองค์จักรพรรดิจะมิทรงประทานโทษให้”ใจของหลิงอวี๋เต้นระรัวโดยสัญชาตญาณ นางสงสัย หรือว่าฉินรั่วซือจะสั่งให้เซียวหลินเทียนไปทำเรื่องโง่เขลาอะไรอีกแล้ว?“ขันทีเซี่ย ท่านอ๋องทำอะไร? เจ้าช่วยบอกข้าหน่อย!”หลิงอวี๋อาศัยความสนิทสนมกับขันทีเซี่ย ซักถามโดยตรง“ท่านมิรู้หรอกหรือ?”ขันทีเซี่ยแปลกใจช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างหลิงอวี๋และเซียวหลินเทียนแน่นแฟ้นดีมาก มิว่าจะทำอะไร หลิงอวี๋ก็มีส่วนร่วมเสมอ เขามิเชื่อว่าเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้หลิงอวี๋จะมิรู้“ขันทีเซี่ย ข้ามิรู้จริง ๆ ช่วงนี้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เจ้าช่วยบอกข้ามาก่อน แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง!”หลิงอวี๋กล่าวอย่างจริงใจหลิงซวนก็ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดจาประจบประแจ
หลิงอวี๋รีบเข้าวังหลวง และยื่นป้ายผ่านเพื่อขอเข้าเฝ้าจักรพรรดิอู่อันโดยพลันจักรพรรดิอู่อันกำลังโกรธจัดอยู่พอดี เมื่อได้ยินว่าเซียวหลินเทียนมิมา แต่หลิงอวี๋กลับมาแทน เขาจึงมิอยากจะต้อนรับ แต่เมื่อตรึกตรองแล้ว ก็สั่งให้ขันทีเซี่ยเชิญหลิงอวี๋ให้เข้าเฝ้าหลิงอวี๋เดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษรแล้วคุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาไหลร่วงหล่นลงมาดุจดั่งเม็ดแก้วใส“เป็นอะไรไป? เพิ่งเดินเข้ามาก็ร้องไห้เสียแล้ว หรือว่ามีผู้ใดรังแกเจ้า?”จักรพรรดิอู่อันเอ่ยถามด้วยความแปลกใจหลิงอวี๋เป็นผู้ที่เข้มแข็งมาโดยตลอด ทุกครั้งที่เดินเข้าวังหลวงก็จะกล่าววาจาฉะฉานเสมอ มิเกรงกลัวสิ่งใดเพียงแต่เมื่อถูกกระทำย่ำยีอย่างร้ายแรงเท่านั้น จึงจะหลั่งน้ำตา“เสด็จพ่อ หลิงอวี๋มาทูลขอให้พระองค์โปรดประทานความยุติธรรมให้แก่หม่อมฉันด้วยเพคะ!”หลิงอวี๋พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ก่อนหน้านี้ ฮองเฮาเว่ยได้พระราชทานบุตรีของตระกูลฉิน นามว่าฉินรั่วซือ ให้เป็นชายารองของอ๋องอี้มิใช่หรือ?”“แต่ก่อนที่งานอภิเษกสมรสจะจัดขึ้น ท่านอ๋องอี้ก็รับฉินรั่วซือเข้ามาในตำหนักอ๋องอี้แล้ว!”จักรพรรดิอู่อันจำได้ราง ๆ ว่ามีเรื่องเช่นนี้จริง แต่พูดด้วยความม
ในขณะที่เซียวหลินเทียนกำลังยุ่งอยู่กับการตามหาหลิงอวี๋ และฟื้นฟูตำหนักปีกเงินขึ้นมาอีกครั้งนั้น ทางด้านหลิงอวี๋ก็เตรียมตัวจะออกเดินทางไปเมืองหลวงแดนเทพพร้อมกับครอบครัวของข้าหลวงเก๋อแล้วเพื่อเป็นการลดความเหนื่อยล้าของฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อจากการเดินทางทั้งทางเรือและทางรถม้า ข้าหลวงเก๋อจึงเลือกที่จะเดินทางไปยังเมืองหลวงแดนเทพทางน้ำแทนตระกูลเก๋อเช่าเรือขนาดใหญ่สองลำ ลำหนึ่งสำหรับบรรทุกสัมภาระ และอีกลำหนึ่งสำหรับโดยสารคนข้าหลวงเก๋อได้รับการเลื่อนตำแหน่งครั้งนี้ คงจะมิกลับไปที่เมืองจงกวนอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงนำข้าวของเครื่องใช้ที่มีค่าและคนรับใช้ทั้งหมดที่เต็มใจจะติดตามเขาไปที่เมืองหลวงแดนเทพไปด้วยเรือใหญ่มีอยู่สามชั้น ชั้นล่างสุดเป็นที่พักอาศัยของคนรับใช้ ข้าหลวงเก๋อกับบุรุษในตระกูลเก๋อพักกันที่ชั้นสาม ส่วนเหล่าญาติฝ่ายสตรีก็พักอยู่ที่ชั้นสองสองพี่น้องหลิงอวี๋กับป้าวซวนก็ได้พักในห้องเดียวกัน แม้ว่าจะเล็กไปสักหน่อย แต่พวกนางทั้งสองก็รู้สึกว่าเพียงพอแล้วเส้นทางน้ำนี้ถือว่าเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในแดนเทพ แบ่งออกเป็นแม่น้ำในและแม่น้ำนอกเส้นทางที่พวกนางเดินทางกันอยู่นี้คือแม่น้ำนอก ซึ่ง
“เหยี่ยวผู้กล้าควรกางปีกบินให้สูง และลอยตัวให้อยู่เหนือเก้าชั้นฟ้า!”เซียวหลินเทียนพูดสิ่งที่เหวินเหรินจิ้นบอกตนออกไปอย่างใจเย็นนี่คือคำพูดที่เหวินเหรินจิ้นพูดกับสือหรงตอนที่ให้เขาออกมาจริง ๆ ตอนนั้นนอกจากเขากับเหวินเหรินจิ้นก็ไม่มีใครอยู่อีกเมื่อสือหรงเห็นว่าคำตอบของเซียวหลินเทียนถูกต้อง ใบหน้าของเขาก็กลับซีดลงทันที ราวกับว่าเขาถูกโจมตีอย่างหนัก“ท่านเจ้าตำหนัก… ท่านเจ้าตำหนักสิ้นแล้วหรือ?”หากมิได้เป็นเช่นนั้น เซียวหลินเทียนจะมีป้ายผู้นำของตำหนักปีกเงินได้อย่างไร และจะรู้ได้อย่างไรว่าเหวินเหรินจิ้นพูดอะไรกับเขา!“อืม ร่างของเขาจะถูกเก็บไว้ในสุสานใต้ดินของตำหนักปีกเงินเป็นการชั่วคราว แล้วในภายหน้าเมื่อข้าสามารถฟื้นคืนตำหนักปีกเงินมาได้ ก็ค่อยนำไปฝังให้ดี ๆ!”แล้วเซียวหลินเทียนก็เอ่ยออกมาอย่างเศร้าใจ“พรึ่บ…”สือหรงคุกเข่าลง แล้วน้ำตาของเขาก็ไหลลงมาอย่างควบคุมมิได้เดิมทีเขาคิดว่าจะหลบไปสักประมาณปีครึ่ง แล้วเจ้าตำหนักก็คงจะเรียกพวกเขากลับไป เมื่อถึงเวลานั้นตำหนักปีกเงินก็จะรุ่งโรจน์เหมือนในอดีตอีกครั้ง ไหนเลยจะคาดคิดว่า การลาจากของเจ้าตำหนักในครั้งนี้จะเป็นการจากลากันไปตลอด
กระทั่งลงมาจากภูเขาแล้ว เซียวหลินเทียนก็ให้เหยี่ยวดำจิ่วเทียนไปส่งจดหมายให้กับฉินซาน แล้วตนกับเผยอวี้ก็มุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านตงหยวน ซึ่งอยู่ห่างจากตำหนักปีกเงินหลายสิบลี้ เพื่อตามหาสือหรงลูกศิษย์คนสำคัญของเหวินเหรินจิ้น อีกทั้งยังเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตำหนักปีกเงินด้วยเซียวหลินเทียนไม่มีทางจะไปตามหาคนในรายชื่อของเหวินเหรินจิ้นทีละคนได้ หากเขาคิดที่จะรวบรวมลูกศิษย์ทั้งหมดของตำหนักปีกเงินที่เหวินเหรินจิ้นสั่งให้ออกจากตำหนักโดยเร็ว สือหรงผู้นี้ก็คือบุคคลที่เป็นกุญแจสำคัญเหวินเหรินจิ้นเคยบอกไว้ว่า หากตามหาสือหรงพบ พวกเขาก็จะสามารถตามลูกศิษย์ทั้งหมดกลับมาได้ เพราะว่าสือหรงมีช่องทางติดต่อของพวกเขาทุกคนแต่กระทั่งเซียวหลินเทียนกับเผยอวี้มาถึงหมู่บ้านตงหยวน ก็สายเกินไปเสียแล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านตงหยวนถูกสังหารหมู่ และทางการก็กำลังนำคนมาเคลื่อนย้ายศพแต่ละศพออกไปเซียวหลินเทียนและเผยอวี้สวมหน้ากากผิวหนังมนุษย์แล้ว เผยอวี้จึงแสร้งทำเป็นเข้าไปตามหาญาติเพื่อสอบถามข้อมูลเมื่อถามไปจึงได้รู้ว่าเมื่อคืนหมู่บ้านตงหยวนถูกโจรกลุ่มหนึ่งมาปล้นทรัพย์ ตระกูลที่มีฐานะดีในหมู่บ้านส่วนใหญ่จึงถูก
หวงฝู่หลินก็เหมือนกับเซียวหลินเทียน ในตอนนี้มีคนที่จะต้องเร่งตามหาให้พบ ดังนั้นแม้ว่าจะมีความขัดแย้งต่อกัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง พวกเขาก็ทำได้เพียงต้องร่วมมือกันจึงจะต่อต้านศัตรูได้หวงฝู่หลินมองตำหนักปีกเงินที่ค่อนข้างหดหู่นี้ แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้ม “เซียวหลินเทียน วันนี้เจ้าเปิดเผยเรื่องที่เจ้ามีกระบี่คุนอู๋อยู่ในมือไปแล้ว มหาปราชญ์ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่!”“พวกเราต้องรีบรวบรวมกลุ่มที่สามารถต่อสู้กับมหาปราชญ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่มหาปราชญ์จะรวมกำลังคนมาจัดการกับเจ้า!”“เจ้าลงจากภูเขาไปรวบรวมบรรดาลูกศิษย์ของตำหนักปีกเงินมา ส่วนข้าจะช่วยหาคนมาสร้างตำหนักปีกเงินขึ้นใหม่เอง!”“หากเจ้าหาลูกสาวของข้าพบก่อน ก็ให้ส่งข้อความมาหาข้า! และหากข้าพบหลิงอวี๋ ข้าก็จะแจ้งเจ้าทันทีเช่นกัน!”เซียวหลินเทียนพยักหน้าโดยมิต้องคิด “ตกลง! เช่นนั้นพวกเราก็แยกกันเป็นสองกลุ่มไปดำเนินการ!”“เผยอวี้ เราลงจากภูเขากันก่อนเถอะ!”หวงฝู่หลินมองเผยอวี้แล้วเอ่ยออกมา “ประเดี๋ยวก่อน…”เขาหยิบยาหนึ่งขวดออกมาจากแหวนพระสุเมรุของตน แล้วโยนไปที่เผยอวี้ “พลังของเจ้าต่ำเกินไป หากเจ้าติดตามเขาก็จ
เซียวหลินเทียนฟังแล้วก็ทั้งโกรธทั้งโมโห ก่อนหน้านี้ที่หานเหมยบอกมิได้ละเอียดถึงเพียงนี้ และหานเหมยก็มิเคยบอกด้วยว่าใบหน้าของหลิงอวี๋ถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยกรีดจนเป็นแผลความทรงจำของหานเหมยสูญหายไปบางส่วน ซึ่งนี่ก็คือผลกระทบที่ได้มาจากการถูกผนึก ดังนั้นจะโทษหานเหมยก็มิได้เมื่อได้ยินว่าหลิงอวี๋สูญเสียวรยุทธ์ไป ทั้งยังถูกเสวี่ยเหมยกลั่นแกล้งอีก เซียวหลินเทียนก็คิดเพียงอยากจะแทงเสวี่ยเหมยและลิ่งหูหลินผู้นั้นให้ตายไปเสียส่วนเรื่องที่หวงฝู่หลินรับหลิงอวี๋เป็นน้องสาวบุญธรรมนั้น เซียวหลินเทียนมิได้คิดเป็นจริงเป็นจังอะไร เขาหรือจะมิรู้ว่าหวงฝู่หลินไม่มีทางรับหลิงอวี๋เป็นน้องสาวบุญธรรมจริง ๆ หรอก“ท่านเจ้าวังของเราให้ป้าวเฉิงไปตามหาหลิงอวี๋ เพราะต้องการจะขอตำรับยาที่นางมีอยู่ในมือ มิใช่เพราะต้องการจะทำให้นางลำบาก!”ปี้ซงอธิบายทุกสิ่งออกมาอย่างชัดเจนแม้ว่าเซียวหลินเทียนจะรู้สึกว่าเขาไม่มีทางพูดความจริงออกมาทั้งหมด แต่ก็ยังเชื่อไปกว่าครึ่งอยู่ดีหลังจากครุ่นคิดดูแล้ว เซียวหลินเทียนก็รู้สึกว่า ในเมื่อหวงฝู่หมิงจูถูกเสวี่ยเหมยจับตัวไป และเสวี่ยเหมยก็เป็นผู้ร้ายที่ลักพาตัวหลิงอวี๋ไปด้วย เช่นนั้นก
ใบหน้าหล่อเหลาของเซียวหลินเทียนมีความเศร้าอยู่จาง ๆ เขายืนอยู่บนบันได ซากปรักหักพังด้านหลังเหล่านั้น เมื่ออยู่ภายใต้แสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ยามเย็นก็ทำให้เห็นความหดหู่และโดดเดี่ยวอย่างชัดเจนแต่แสงของดวงอาทิตย์ยามเย็นที่ส่องลงมาบนตัวของเซียวหลินเทียนนั้น ทำให้เขาดูเหมือนมีแสงสีทองระยิบระยับอยู่ทั้งที่เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาก็ยังเป็นคนเดิม แต่กลับดูราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทำให้มิอาจมองเขาตรง ๆ ได้!ทันใดนั้นหวงฝู่หลินก็รู้สึกถึงความรู้สึกกดดันที่มิเคยมีมาก่อนจู่ ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ว่า ในภายภาคหน้าพลังของเซียวหลินเทียนจะประสบความสำเร็จ จะต้องอยู่เหนือไปกว่าของตนมาก และอยู่เหนือกว่าบรรดายอดฝีมือในแดนเทพอย่างแน่นอน!เหนือกว่าแม้กระทั่งหลงอี้ด้วย...เซียวหลินเทียนมองไปไกล ๆ แล้วนึกฉากเมื่อครู่เหวินเหรินจิ้นพาเขาเข้าไป และมิเพียงแต่มอบรายชื่อบรรดาศิษย์ของตำหนักปีกเงินให้ตนเท่านั้น แต่ยังมอบเงินทั้งหมดที่ตำหนักปีกเงินเก็บไว้หลายปีให้ตนด้วยนอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มหาปราชญ์ต้องการอย่างหม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์อีกด้วยสุดท้ายเหวินเหรินจิ้นก็ยังพยายามถ่ายพ
หวงฝู่หลินมองเหวินเหรินจิ้นด้วยความสงสาร จากนั้นก็ประคองเขานั่งขึ้นมา แล้วเอ่ยไปอย่างเรียบ ๆ “เจ้าคงมิอยากจากไปโดยที่มิได้ทิ้งคำพูดอะไรไว้แน่!”“ต่อให้ยานั้นจะล้ำค่ามากเพียงใด ก็มิล้ำค่าเท่ากับเจ้า...พูดมาเถิด ยังมีความปรารถนาใดอีกที่เจ้ายังมิสมหวัง ขอเพียงข้าสามารถทำได้ ข้าก็จะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน!”หวงฝู่หลินคิดเช่นนั้นจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงป้อนโอสถช่วยชีวิตอันล้ำค่าที่ตนสกัดอย่างพิถีพิถันให้กับเหวินเหรินจิ้น เขามิอยากให้สหายผู้นี้ตายตามิหลับเหวินเหรินจิ้นมองหลานชายที่กำลังร้องไห้อยู่ข้าง ๆ แล้วหวงฝู่หลินก็เข้าใจทันที “ข้าจะให้คนดูแลเขาเอง!”เหวินเหรินจิ้นจึงฝืนยิ้มออกมา “ให้เขาเติบโตอย่างเรียบง่าย ลืมตระกูลนี้ไปเสีย และลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ประสบไปให้หมด!”“ได้!”หวงฝู่หลินมิได้พูดอะไรมาก แต่เหวินเหรินจิ้นรู้ว่า เขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ“ข้าขอฝากตำหนักปีกเงินไว้กับเจ้า...ข้าได้คำนวณชะตาไว้แล้วว่าจะมีภัยพิบัติเช่นนี้ ข้าจึงแสร้งป่วยแล้วให้ลูกศิษย์ของตำหนักทั้งหมดกระจายกันออกไป...”“แต่ข้ามิวางใจ ข้ากังวลว่า หากมหาปราชญ์หาหม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์มิเจอ แล้วจะ
เผยอวี้เห็นว่าหวงฝู่หลินหน้าซีดเซียว ดูท่าทางเหมือนจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเขาจึงมิรีรอแล้วคุกเข่าลงไป จากนั้นก็ยัดลำไส้ของเสือดาวหิมะกลับตามคำชี้แนะของหวงฝู่หลินแล้วหวงฝู่หลินก็นำเครื่องยาสมุนไพรและเข็มกับด้ายออกมาจากแหวนพระสุเมรุ จากนั้นเขาก็ส่งเข็มกับด้ายให้เผยอวี้ “ช่วยเย็บแผลให้มันที!”เผยอวี้ตะลึงไปทันที เขาจับมีดจับกระบี่ได้ แต่เขาใช้เข็มกับด้ายมิเป็น!เมื่อเซียวหลินเทียนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนที่ตนพิชิตกระบี่คุนอู๋ ก็เคยบาดมือมาก่อน แต่เมื่อฝ่ามือของเขาจับที่กระบี่คุนอู๋ ก็รักษาตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะใช้กระบี่คุนอู๋รักษาเสือดาวหิมะหรือไม่!เขาเข้าใจหลักการที่ว่า ทรัพย์สมบัติมิควรเปิดเผยออกมา หากว่าในวันนี้มิใช่สถานการณ์วิกฤต เขาก็ไม่มีทางนำกระบี่คุนอู๋ออกมาแน่แต่ตอนนี้มหาปราชญ์รู้แล้วว่า กระบี่คุนอู๋อยู่ในมือของตน มันจะต้องนำความยุ่งยากมาหาตนมิจบสิ้น เช่นเดียวกับหยกหล้าสุขาวดีของหลิงอวี๋อย่างแน่นอน!หากเปิดเผยเรื่องที่กระบี่คุนอู๋สามารถรักษาบาดแผลได้ไปอีก เช่นนั้นจะมิยิ่งทำให้คนสนใจมากขึ้นหรือ?แต่เมื่อเซียวหลินเที
“ท่านเจ้าวัง!”ปี้ซงเห็นว่าหวงฝู่หลินไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะสู้กลับแล้ว เขาจึงร้องเรียกออกมาอย่างเจ็บปวดจากนั้นเขาก็เหาะเข้าไปหาโดยมิสนใจภัยคุกคามของมือสังหาร แต่เซียวหลินเทียนที่อยู่ข้างกายเขาเร็วกว่า เหาะพุ่งเข้าไปแล้วในช่วงเวลานี้ เซียวหลินเทียนก็มิกลัวที่จะเปิดเผยสมบัติของตนอีกต่อไปแล้ว เขานำกระบี่คุนอู๋ออกมาจากแหวนพระสุเมรุแล้วฟาดไปในอากาศเป็นวงโค้ง...แสงสีขาวลงมาจากท้องฟ้า มหาปราชญ์หันหลังให้เซียวหลินเทียนอยู่จึงมิเห็นแสงนั้น ทว่าหวงฝู่หลินกลับมองเห็นเห็นแสงสีขาวนั้นพุ่งลงมาใส่แขนของมหาปราชญ์ราวกับสายฟ้า ด้วยพลังที่มิอาจต้านทานได้ในตอนที่มหาปราชญ์รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นนั้น เขาก็ได้เห็นแขนครึ่งหนึ่งของตนลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างน่าตกใจ หลังจากนั้นเลือดจากบาดแผลที่แขนขาดไปก็ไหลออกมา“กระบี่คุนอู๋… เจ้าเป็นใคร?”มหาปราชญ์เซถอยหลังไป และในแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจและยากที่จะเชื่อ“คนที่จะเอาชีวิตเจ้า!”นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวหลินเทียนใช้กระบี่คุนอู๋ เขามิคาดคิดเลยว่า กระบี่คุนอู๋จะทรงพลังเช่นนี้ ปราณแห่งกระบี่ที่ฟาดออกมาสามารถตัดแขนของมหาปราชญ์ได้ความมั่