หลิงอวี๋ยังมิทันได้กลับไปยังตำหนักอ๋องอี้ ก็ถูกสุ่ยหลิงตามมาพบระหว่างทางสีหน้าของสุ่ยหลิงดูมิสู้ดี หลิงอวี๋เห็นก็ใจหายวาบ ถามว่า “สุ่ยหลิง ฉินรั่วซือก่อเรื่องอีกแล้วหรือ?”“พระชายา ข้าอยู่ที่นี่มิได้แล้วเจ้าค่ะ ท่านควรจะหย่าขาดกับอ๋องอี้ พาเยวี่ยเยวี่ยและพวกเราออกจากตำหนักอ๋องอี้ไปเสียเถิดเจ้าค่ะ”สุ่ยหลิงพูดไปพลาง น้ำตาแห่งความคับข้องใจก็ไหลริน“หน้าเจ้าเป็นอะไร?”เถาจื่อสายตาแหลม เห็นสุ่ยหลิงพูดคุยกับหลิงอวี๋พร้อมกับเอียงศีรษะอย่างจงใจ จึงจ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วก็พบว่าข้างแก้มของสุ่ยหลิงบวมแดงเป็นจ้ำ ชัดเจนว่าถูกคนตบหลิงอวี๋ก็สังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน นางเอื้อมมือไปจับสุ่ยหลิง ตรวจดูอย่างละเอียด ก่อนจะเห็นใบหน้าที่บวมเป่งของสุ่ยหลิงหลิงอวี๋ยิ้มเยาะ “เหตุใดกัน? ปกติเห็นเจ้าเก่งกาจนักมิใช่รึ ไฉนจึงยอมให้ฉินรั่วซือตบตีได้เช่นนี้เล่า?”“ผู้ที่ตบมิใช่ฉินรั่วซือ แต่เป็นท่านอ๋องอี้เจ้าค่ะ”สุ่ยหลิงกล่าวอย่างน้อยใจ “หากเป็นฉินรั่วซือตบ บ่าวจะสู้กับนางจนตายไปข้าง”“เพราะเป็นท่านอ๋องอี้... บ่าวจึงมิกล้าสู้เจ้าค่ะ”หลิงอวี๋เข้าใจแล้ว เซียวหลินเทียนตบตีสุ่ยหลิง สุ่ยหลิงม
หลิงอวี๋ตกตะลึงเมื่อเห็นขันทีเซี่ยพาองครักษ์สองสามคนมาจากทิศทางของวังหลวง“ขันทีเซี่ย เจ้าจะไปที่ใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ขันทีเซี่ยมีสีหน้าเคร่งขรึม เดินเข้ามาใกล้หลิงอวี๋ แล้วกระซิบว่า “ไปเชิญอ๋องอี้เข้าวัง! ฝ่าบาททราบเรื่องที่ท่านอ๋องทรงกระทำแล้ว จึงมีรับสั่งให้เชิญท่านอ๋องเข้าวังเพื่อชี้แจงขอรับ”“ฝ่าบาทกริ้วมาก หากครั้งนี้ท่านอ๋องอี้ไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล เกรงว่าองค์จักรพรรดิจะมิทรงประทานโทษให้”ใจของหลิงอวี๋เต้นระรัวโดยสัญชาตญาณ นางสงสัย หรือว่าฉินรั่วซือจะสั่งให้เซียวหลินเทียนไปทำเรื่องโง่เขลาอะไรอีกแล้ว?“ขันทีเซี่ย ท่านอ๋องทำอะไร? เจ้าช่วยบอกข้าหน่อย!”หลิงอวี๋อาศัยความสนิทสนมกับขันทีเซี่ย ซักถามโดยตรง“ท่านมิรู้หรอกหรือ?”ขันทีเซี่ยแปลกใจช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างหลิงอวี๋และเซียวหลินเทียนแน่นแฟ้นดีมาก มิว่าจะทำอะไร หลิงอวี๋ก็มีส่วนร่วมเสมอ เขามิเชื่อว่าเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้หลิงอวี๋จะมิรู้“ขันทีเซี่ย ข้ามิรู้จริง ๆ ช่วงนี้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เจ้าช่วยบอกข้ามาก่อน แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง!”หลิงอวี๋กล่าวอย่างจริงใจหลิงซวนก็ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดจาประจบประแจ
หลิงอวี๋รีบเข้าวังหลวง และยื่นป้ายผ่านเพื่อขอเข้าเฝ้าจักรพรรดิอู่อันโดยพลันจักรพรรดิอู่อันกำลังโกรธจัดอยู่พอดี เมื่อได้ยินว่าเซียวหลินเทียนมิมา แต่หลิงอวี๋กลับมาแทน เขาจึงมิอยากจะต้อนรับ แต่เมื่อตรึกตรองแล้ว ก็สั่งให้ขันทีเซี่ยเชิญหลิงอวี๋ให้เข้าเฝ้าหลิงอวี๋เดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษรแล้วคุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาไหลร่วงหล่นลงมาดุจดั่งเม็ดแก้วใส“เป็นอะไรไป? เพิ่งเดินเข้ามาก็ร้องไห้เสียแล้ว หรือว่ามีผู้ใดรังแกเจ้า?”จักรพรรดิอู่อันเอ่ยถามด้วยความแปลกใจหลิงอวี๋เป็นผู้ที่เข้มแข็งมาโดยตลอด ทุกครั้งที่เดินเข้าวังหลวงก็จะกล่าววาจาฉะฉานเสมอ มิเกรงกลัวสิ่งใดเพียงแต่เมื่อถูกกระทำย่ำยีอย่างร้ายแรงเท่านั้น จึงจะหลั่งน้ำตา“เสด็จพ่อ หลิงอวี๋มาทูลขอให้พระองค์โปรดประทานความยุติธรรมให้แก่หม่อมฉันด้วยเพคะ!”หลิงอวี๋พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ก่อนหน้านี้ ฮองเฮาเว่ยได้พระราชทานบุตรีของตระกูลฉิน นามว่าฉินรั่วซือ ให้เป็นชายารองของอ๋องอี้มิใช่หรือ?”“แต่ก่อนที่งานอภิเษกสมรสจะจัดขึ้น ท่านอ๋องอี้ก็รับฉินรั่วซือเข้ามาในตำหนักอ๋องอี้แล้ว!”จักรพรรดิอู่อันจำได้ราง ๆ ว่ามีเรื่องเช่นนี้จริง แต่พูดด้วยความม
“เสด็จพ่อ ขณะนี้หม่อมฉันมิกล้ากลับตำหนักอ๋องอี้แล้วเพคะ!”เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิอู่อันนิ่งเฉย หลิงอวี๋ก็มิอาจหยั่งรู้ได้ว่าจักรพรรดิอู่อันเชื่อคำพูดของนางหรือไม่ จึงกล่าวด้วยความเศร้าใจ“หม่อมฉันกังวลว่า เซียวหลินเทียนจะเชื่อฟังฉินรั่วซือ แล้วเฆี่ยนตีหม่อมฉันอีกครั้ง!”“ชีวิตของหม่อมฉันมิสำคัญ แต่หม่อมฉันกังวลว่า เซียวหลินเทียนจะถูกพวกเขาควบคุมแล้วกระทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเสด็จพ่อ!”“จริงด้วย เสด็จพ่อเพคะ หม่อมฉันลืมกราบทูลพระองค์ไปเสียสนิท ก่อนที่หม่อมฉันจะเข้าวังหลวงมา หม่อมฉันได้พบกับนางรับใช้ของตำหนักอ๋องอี้ ฉินรั่วซือได้ยุยงให้เซียวหลินเทียนรับผู้ที่มีวรยุทธสูงเข้ามาในตำหนักเป็นจำนวนมาก! เสด็จพ่อ โปรดระมัดระวังพระองค์ด้วยเพคะ!”ดวงตาอันดำสนิทของจักรพรรดิอู่อันยิ่งเคร่งขรึมมากกว่าเก่า นึกถึงมือสังหารที่เซียวหลินเทียนเพิ่งจะปล่อยตัวหากมือสังหารเหล่านี้ถูกสายลับของฉีตะวันออกควบคุม และยังมีคนของเซียวหลินเทียนอีก นั่นจะเป็นหายนะครั้งใหญ่ที่มิเคยปรากฏมาก่อนสำหรับแคว้นฉินตะวันตกและต่อตัวเขาเอง!“หลิงอวี๋ ตัวข้าเชื่อเจ้า!”จักรพรรดิอู่อันมิสามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เขาพูดพลางตรึกต
คำพูดของหลิงอวี๋ทำให้จักรพรรดิอู่อันหัวเราะ ก่อนจะโบกมือ “เจ้าปากหวานนักหนา ชอบกล่าววาจาให้ตาเฒ่าใจชื้น! เฮ้อ หากลูก ๆ ของข้าทุกคนเป็นเหมือนเจ้า เชื่อฟังและกตัญญูเช่นนี้ แม้ข้าจะแก่เฒ่าลงก็ยินดี!”“ไป ไปที่ตำหนักของไทเฮาเถอะ! เซียวหลินเทียนใกล้จะมาแล้ว อย่าให้เขาเห็นเจ้ามาฟ้องร้องข้าเชียว!”หลิงอวี๋ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้จักรพรรดิอู่อันฟังแล้ว จึงมิกลัวว่าเขาจะทำร้ายเซียวหลินเทียน จึงรับคำแล้วเดินออกไประหว่างทางไปยังพระตำหนักเหยียนฝูของไทเฮา หลิงอวี๋ยังนึกถึงคำถามแปลก ๆ ของจักรพรรดิอู่อันซ้ำไปซ้ำมาแต่คิดอยู่นานก็คิดมิออกว่าเหตุใดจักรพรรดิอู่อันจึงถามเช่นนั้นหรือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมายในระยะหลังนี้ ทำให้จักรพรรดิอู่อันเหนื่อยล้าใจ จึงได้เปล่งเสียงถอนหายใจเช่นนั้น?หลิงอวี๋มาถึงตำหนักของไทเฮาแม่นมเว่ยและไทเฮาต่างก็ตกใจเมื่อเห็นนาง ราวกับมิคาดคิดว่าหลิงอวี๋จะเข้าวังมาโดยกะทันหัน“ไทเฮา หม่อมฉันได้ยินว่าพระองค์ทรงประชวร หลิงอวี๋จึงมาเข้าเฝ้า และจะอยู่รับใช้พระองค์สักสองสามวันเพคะ!”หลิงอวี๋ที่เห็นไทเฮาก็ตกใจเช่นกัน ตั้งแต่วันที่ไปร่วมงานอภิเษกสมรสของอ๋องหรงจนถึงวันนี้
ไทเฮาดูเหมือนจะเก็บกดมานาน หรืออาจจะต้องการหาคนที่ไว้ใจได้มารับฟังการระบาย จึงพูดต่อไป“เฉาฮุ่ยเติบโตมากับแม่นม อาจกล่าวได้ว่า แม่นมผู้นี้เป็นสหายที่ดีที่สุดของข้า ฮูหยินตระกูลเฮ่อ ภรรยาของเฮ่อจิ้น!”“ข้าเชื่อใจนาง จึงฝากเฉาฮุ่ยให้นางดูแล นางก็ดูแลเฉาฮุ่ยเป็นอย่างดี!”หลิงอวี๋ฟังแล้วรู้สึกสะเทือนใจ นี่คือที่มาที่ไปที่แท้จริง มิแปลกใจเลยที่ตระกูลเฮ่อจะเชื่อฟังองค์หญิงใหญ่ถึงเพียงนั้น นอกจากเขยของตระกูลจะเป็นคนของตระกูลเฮ่อแล้ว ยังมีความสัมพันธ์เช่นนี้ด้วย“หลังจากบ้านเมืองสงบลง เฉาฮุ่ยทั้งฉลาดและมีเสน่ห์ จักรพรรดิสูงสุดจึงโปรดปรานมาก เขามักจะพานางไปเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงอยู่เนือง ๆ ชมเชยความฉลาดมากไหวพริบของนางต่อหน้าคนอื่น ๆ!”หลิงอวี๋เคยได้ยินเรื่องนี้จากเซียวหลินเทียนมาบ้างแล้ว แต่เมื่อได้ยินไทเฮาเล่าอีกครั้งก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป“ข้ากลัวว่า ความโปรดปรานของจักรพรรดิสูงสุดจะมิดีต่อตัวเฉาฮุ่ยเอง จึงสั่งห้ามมิให้เฉาฮุ่ยติดตามไปเฝ้าที่ท้องพระโรง!”“กระนั้นจักรพรรดิสูงสุดก็มิสนใจ ยังให้เฉาฮุ่ยช่วยตรวจดูหนังสือราชการ!”ไทเฮาขมวดคิ้ว ราวกับว่าความทรงจำในอดีตทำให้นางเจ็บปวด
ภายในพระตำหนักเหยียนฝูเงียบสงัดหลิงอวี๋แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นแต่ก็ยังคงสงสารไทเฮาไทเฮามีพระโอรสธิดาเพียงสองพระองค์คือจักรพรรดิอู่อันและองค์หญิงใหญ่ นางมิอาจโหดเหี้ยมถึงขั้นสั่งประหารองค์หญิงใหญ่ได้!องค์หญิงใหญ่คงถูกไทเฮาเนรเทศไปยังอารามจิ้งซือหลังจากเกิดเรื่องขึ้นเพื่อปกปิดความอัปยศขององค์หญิงใหญ่ ไทเฮาจึงประกาศต่อสาธารณชนว่า องค์หญิงใหญ่ไปบำเพ็ญเพียรที่อารามจิ้งซือ เพราะโศกเศร้าเสียใจจากการสูญเสียของพระสวามีและจากการที่จักรพรรดิอู่อันมิระแวดระวังองค์หญิงใหญ่เลย แสดงว่าหลังจากนั้นไทเฮามิได้บอกเรื่องนี้กับจักรพรรดิอู่อัน!นางรู้จักโอรสและธิดาทั้งสองของตนดี หากจักรพรรดิอู่อันทราบความจริง คงมิยอมให้องค์หญิงใหญ่และเฮ่อหรงมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์ของเขาเป็นแน่ไทเฮามิประสงค์ให้โอรสธิดาทั้งสองฆ่าฟันกันเอง!“ข้ายังเคยคิดจะไปที่อารามจิ้งซือ เพื่อให้เฉาฮุ่ยได้ไตร่ตรองถึงความผิดของตัวเอง ถึงได้วางตัวห่างเหินและเย็นชาต่อนางเป็นเวลาสามปีเต็ม ก่อนจะเดินทางไปรับนางกลับมาด้วยตัวข้าเอง!”ริมฝีปากของไทเฮาปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน “แต่สุดท้ายนางก็ทำให้ข้าต้
หลิงอวี๋หัวเราะเยาะในใจนี่คือสาเหตุที่จักรพรรดิอู่อันตอบตกลงที่จะช่วยนางอย่างเต็มที่ในห้องทรงพระอักษรเมื่อครู่!และเป็นสาเหตุที่ทำให้ไทเฮายอมเปิดปากเล่าเรื่องราวในอดีตให้กับนางอย่างยากเย็นในวันนี้!หากมิใช่เพราะสถานการณ์วิกฤต และไม่มีผู้ใดที่สามารถต่อกรกับองค์ชายเว่ยและองค์หญิงใหญ่ได้อีกแล้ว จักรพรรดิอู่อันและไทเฮาจะเปิดใจต่อนางเช่นนี้หรือ?จักรพรรดิอู่อันและไทเฮา สองแม่ลูกคู่นี้เป็นผู้ปกครองที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ในวังหลวงอย่างแท้จริงแม้จะรู้สึกรังเกียจที่จักรพรรดิอู่อันและไทเฮาคิดวางแผนใช้ประโยชน์จากนางและเซียวหลินเทียน แต่เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับความเป็นความตายของพวกพ้องนางส่วนใหญ่เช่นเดียวกัน หลิงอวี๋จึงมิสามารถเปิดโปงถึงเจตนาของไทเฮาได้ แม้ว่าจะคาดเดาได้ก็ตาม“ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันลำพังจะมีความสามารถมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน? หม่อมฉันยังเอาตัวมิรอดเลยเพคะ!”หลิงอวี๋จึงเล่าถึงจุดประสงค์ของการเข้าเฝ้าในวันนี้บ้างมิว่าอย่างไร พวกเขาก็ถือเป็นสหายร่วมศึกในสนามรบเดียวกัน เพื่อต่อสู้กับศัตรูร่วมกัน จึงมิควรปิดบังหรือขัดแย้งกันเองอีกต่อไปเมื่อไทเฮาได้ยินว่าเซียว