คำพูดของหลิงอวี๋ทำให้จักรพรรดิอู่อันหัวเราะ ก่อนจะโบกมือ “เจ้าปากหวานนักหนา ชอบกล่าววาจาให้ตาเฒ่าใจชื้น! เฮ้อ หากลูก ๆ ของข้าทุกคนเป็นเหมือนเจ้า เชื่อฟังและกตัญญูเช่นนี้ แม้ข้าจะแก่เฒ่าลงก็ยินดี!”“ไป ไปที่ตำหนักของไทเฮาเถอะ! เซียวหลินเทียนใกล้จะมาแล้ว อย่าให้เขาเห็นเจ้ามาฟ้องร้องข้าเชียว!”หลิงอวี๋ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้จักรพรรดิอู่อันฟังแล้ว จึงมิกลัวว่าเขาจะทำร้ายเซียวหลินเทียน จึงรับคำแล้วเดินออกไประหว่างทางไปยังพระตำหนักเหยียนฝูของไทเฮา หลิงอวี๋ยังนึกถึงคำถามแปลก ๆ ของจักรพรรดิอู่อันซ้ำไปซ้ำมาแต่คิดอยู่นานก็คิดมิออกว่าเหตุใดจักรพรรดิอู่อันจึงถามเช่นนั้นหรือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมายในระยะหลังนี้ ทำให้จักรพรรดิอู่อันเหนื่อยล้าใจ จึงได้เปล่งเสียงถอนหายใจเช่นนั้น?หลิงอวี๋มาถึงตำหนักของไทเฮาแม่นมเว่ยและไทเฮาต่างก็ตกใจเมื่อเห็นนาง ราวกับมิคาดคิดว่าหลิงอวี๋จะเข้าวังมาโดยกะทันหัน“ไทเฮา หม่อมฉันได้ยินว่าพระองค์ทรงประชวร หลิงอวี๋จึงมาเข้าเฝ้า และจะอยู่รับใช้พระองค์สักสองสามวันเพคะ!”หลิงอวี๋ที่เห็นไทเฮาก็ตกใจเช่นกัน ตั้งแต่วันที่ไปร่วมงานอภิเษกสมรสของอ๋องหรงจนถึงวันนี้
ไทเฮาดูเหมือนจะเก็บกดมานาน หรืออาจจะต้องการหาคนที่ไว้ใจได้มารับฟังการระบาย จึงพูดต่อไป“เฉาฮุ่ยเติบโตมากับแม่นม อาจกล่าวได้ว่า แม่นมผู้นี้เป็นสหายที่ดีที่สุดของข้า ฮูหยินตระกูลเฮ่อ ภรรยาของเฮ่อจิ้น!”“ข้าเชื่อใจนาง จึงฝากเฉาฮุ่ยให้นางดูแล นางก็ดูแลเฉาฮุ่ยเป็นอย่างดี!”หลิงอวี๋ฟังแล้วรู้สึกสะเทือนใจ นี่คือที่มาที่ไปที่แท้จริง มิแปลกใจเลยที่ตระกูลเฮ่อจะเชื่อฟังองค์หญิงใหญ่ถึงเพียงนั้น นอกจากเขยของตระกูลจะเป็นคนของตระกูลเฮ่อแล้ว ยังมีความสัมพันธ์เช่นนี้ด้วย“หลังจากบ้านเมืองสงบลง เฉาฮุ่ยทั้งฉลาดและมีเสน่ห์ จักรพรรดิสูงสุดจึงโปรดปรานมาก เขามักจะพานางไปเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงอยู่เนือง ๆ ชมเชยความฉลาดมากไหวพริบของนางต่อหน้าคนอื่น ๆ!”หลิงอวี๋เคยได้ยินเรื่องนี้จากเซียวหลินเทียนมาบ้างแล้ว แต่เมื่อได้ยินไทเฮาเล่าอีกครั้งก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป“ข้ากลัวว่า ความโปรดปรานของจักรพรรดิสูงสุดจะมิดีต่อตัวเฉาฮุ่ยเอง จึงสั่งห้ามมิให้เฉาฮุ่ยติดตามไปเฝ้าที่ท้องพระโรง!”“กระนั้นจักรพรรดิสูงสุดก็มิสนใจ ยังให้เฉาฮุ่ยช่วยตรวจดูหนังสือราชการ!”ไทเฮาขมวดคิ้ว ราวกับว่าความทรงจำในอดีตทำให้นางเจ็บปวด
ภายในพระตำหนักเหยียนฝูเงียบสงัดหลิงอวี๋แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นแต่ก็ยังคงสงสารไทเฮาไทเฮามีพระโอรสธิดาเพียงสองพระองค์คือจักรพรรดิอู่อันและองค์หญิงใหญ่ นางมิอาจโหดเหี้ยมถึงขั้นสั่งประหารองค์หญิงใหญ่ได้!องค์หญิงใหญ่คงถูกไทเฮาเนรเทศไปยังอารามจิ้งซือหลังจากเกิดเรื่องขึ้นเพื่อปกปิดความอัปยศขององค์หญิงใหญ่ ไทเฮาจึงประกาศต่อสาธารณชนว่า องค์หญิงใหญ่ไปบำเพ็ญเพียรที่อารามจิ้งซือ เพราะโศกเศร้าเสียใจจากการสูญเสียของพระสวามีและจากการที่จักรพรรดิอู่อันมิระแวดระวังองค์หญิงใหญ่เลย แสดงว่าหลังจากนั้นไทเฮามิได้บอกเรื่องนี้กับจักรพรรดิอู่อัน!นางรู้จักโอรสและธิดาทั้งสองของตนดี หากจักรพรรดิอู่อันทราบความจริง คงมิยอมให้องค์หญิงใหญ่และเฮ่อหรงมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์ของเขาเป็นแน่ไทเฮามิประสงค์ให้โอรสธิดาทั้งสองฆ่าฟันกันเอง!“ข้ายังเคยคิดจะไปที่อารามจิ้งซือ เพื่อให้เฉาฮุ่ยได้ไตร่ตรองถึงความผิดของตัวเอง ถึงได้วางตัวห่างเหินและเย็นชาต่อนางเป็นเวลาสามปีเต็ม ก่อนจะเดินทางไปรับนางกลับมาด้วยตัวข้าเอง!”ริมฝีปากของไทเฮาปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน “แต่สุดท้ายนางก็ทำให้ข้าต้
หลิงอวี๋หัวเราะเยาะในใจนี่คือสาเหตุที่จักรพรรดิอู่อันตอบตกลงที่จะช่วยนางอย่างเต็มที่ในห้องทรงพระอักษรเมื่อครู่!และเป็นสาเหตุที่ทำให้ไทเฮายอมเปิดปากเล่าเรื่องราวในอดีตให้กับนางอย่างยากเย็นในวันนี้!หากมิใช่เพราะสถานการณ์วิกฤต และไม่มีผู้ใดที่สามารถต่อกรกับองค์ชายเว่ยและองค์หญิงใหญ่ได้อีกแล้ว จักรพรรดิอู่อันและไทเฮาจะเปิดใจต่อนางเช่นนี้หรือ?จักรพรรดิอู่อันและไทเฮา สองแม่ลูกคู่นี้เป็นผู้ปกครองที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ในวังหลวงอย่างแท้จริงแม้จะรู้สึกรังเกียจที่จักรพรรดิอู่อันและไทเฮาคิดวางแผนใช้ประโยชน์จากนางและเซียวหลินเทียน แต่เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับความเป็นความตายของพวกพ้องนางส่วนใหญ่เช่นเดียวกัน หลิงอวี๋จึงมิสามารถเปิดโปงถึงเจตนาของไทเฮาได้ แม้ว่าจะคาดเดาได้ก็ตาม“ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันลำพังจะมีความสามารถมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน? หม่อมฉันยังเอาตัวมิรอดเลยเพคะ!”หลิงอวี๋จึงเล่าถึงจุดประสงค์ของการเข้าเฝ้าในวันนี้บ้างมิว่าอย่างไร พวกเขาก็ถือเป็นสหายร่วมศึกในสนามรบเดียวกัน เพื่อต่อสู้กับศัตรูร่วมกัน จึงมิควรปิดบังหรือขัดแย้งกันเองอีกต่อไปเมื่อไทเฮาได้ยินว่าเซียว
หลิงอวี๋เห็นว่าขันทีโม่แย้มยิ้มอย่างเป็นมิตร ความระแวดระวังในใจก็ลดลงไปบ้างนางมิรู้จริง ๆ ว่าในยาแก้พิษของหลานฮุ่ยจวนนั้นมีหญ้าลมดำผสมอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่นางตรวจสอบมิพบหากเป็นเช่นที่ขันทีโม่กล่าว นั่นก็คงจะเป็นสิ่งที่ผู้คนในแดนปีศาจปรารถนาเป็นอย่างยิ่งจริง ๆหากขันทีโม่คิดร้ายต่อนาง การเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปก็มีแต่จะทำให้ผู้คนมากมายพากันมาแย่งชิงยาเท่านั้น“ขันทีโม่ ท่านมาจากแดนปีศาจหรือ?”หลิงอวี๋ถามอย่างลังเล“ใช่แล้ว”ขันทีโม่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาหลิงอวี๋นึกถึงหยกหล้าสุขาวดีของหลานฮุ่ยจวน แล้วก็ถามหยั่งเชิงต่อไปอีกว่า “ท่านมาที่นี่เพื่อตามหาสิ่งใดหรือ?”ขันทีโม่เหลือบมองหลิงอวี๋อย่างมีนัยสำคัญ แล้วหัวเราะกล่าว “เจ้าเป็นบุตรสาวของหลานฮุ่ยจวน... คงมีพลังจิตวิญญาณที่หลานฮุ่ยจวนถ่ายทอดให้ใช่หรือไม่?”“เจ้าวางใจเถิด ข้ามิได้มาเพื่อตามหาสมบัติของมารดาเจ้า ข้ามาที่ฉินตะวันตกก็เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะ”“ข้ามิได้บอกเล่าเรื่องของแดนปีศาจแก่องค์จักรพรรดิสูงสุดและองค์จักรพรรดิอู่อันเลย สำหรับคนธรรมดาเช่นพวกเขาเหล่านี้ การมิรู้ย่อมเป็นพร”“ดังนั้น พวกเขาจึงรู้เพียงว่า
เสียงของขันทีโม่นั้นอ่อนโยนราวกับการสะกดจิต ทำให้หลิงอวี๋ยอมหายใจเข้าออกตามเสียงของเขาโดยมิรู้ตัวเวลาผ่านไปทีละน้อย หลิงอวี๋ดูเหมือนมิรู้สึกขาดอากาศหายใจอีกต่อไปแล้ว ความเจ็บปวดจากการถูกพันธนาการทั่วร่างกายก็ค่อย ๆ เลือนหายตามไปด้วยสายตาของนางมีเพียงขันทีโม่ หูของนางได้ยินเพียงเสียงของขันทีโม่เช่นกันหลิงอวี๋มิรู้ตัวเลยว่า ร่างกายของนางค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้น ปลายเท้าห่างจากพื้นประมาณหนึ่งเมตรร่างกายของนางเปล่งแสงสีเหลืองอ่อน แสงนี้สลัวรางอย่างยิ่งแต่ก็เพียงพอให้ขันทีโม่ได้มองเห็น“หายใจต่อไป”ขันทีโม่แนะนำหลิงอวี๋ หลิงอวี๋ทำตามโดยมิรู้ตัวมิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ขันทีโม่ก็โบกมือหนึ่งครั้ง หลิงอวี๋ถึงค่อย ๆ หย่อนตัวลงมาถึงพื้นนางรู้สึกว่า ร่างกายของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ความหนักอึ้งตามเนื้อตัวผ่อนเบาลงมาก นางมองไปที่ขันทีโม่ด้วยความประหลาดใจ เมื่อครู่เขาเพิ่งสอนวิธีเพิ่มพลังวิญญาณให้กับนางใช่หรือไม่?“พื้นฐานดี แต่ว่าวิธีที่เจ้าฝึกก่อนหน้านี้มิถูกต้อง หากเจ้าฝึกฝนตามวิธีของข้า ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าแล้ว วรยุทธจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว”ขันทีโม่หยิบสมุดเก่า ๆ ออกมาจากอกเสื้อ
ข่าวคราวเรื่องที่อ๋องอี้จะอภิเษกสมรสกับฉินรั่วซือในฐานะชายารองได้แพร่กระจายไปทั่วหมู่ขุนนางในเมืองหลวงอีกครั้งคราวนี้แม้แต่เผยอวี้และอันเจ๋อก็ได้รับข่าวสาร ทั้งสองยังมิเชื่อหูตนเองครั้งก่อนที่เผยอวี้เดินทางไปยังเมืองเว่ยโจวก็ได้พบกับฉินรั่วซือ เขามิพึงใจสตรีที่เห็นแก่ลาภยศสรรเสริญเป็นใหญ่เช่นนี้เป็นอย่างมากเขามิเชื่อว่าเซียวหลินเทียนจะหลงใหลได้ปลื้มในตัวฉินรั่วซืออันเจ๋อก็มิเชื่อเช่นกัน ทั้งสองจึงนัดหมายกันไปยังตำหนักอ๋องอี้เพื่อสืบหาความจริงแต่เมื่อไปถึงตำหนักอ๋องอี้กลับมิพบเซียวหลินเทียน องครักษ์เฝ้าประตูแจ้งว่า เซียวหลินเทียนได้พาฉินรั่วซือออกไปซื้อเครื่องประดับสำหรับงานอภิเษกสมรสแล้วองครักษ์เฝ้าประตูยืนอยู่ฝั่งเดียวกับหลิงอวี๋ เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “แม่ทัพเผย รัฐทายาทอัน ท่านทั้งสองอย่าได้ตามหาท่านอ๋องเลย เรื่องนี้เห็นทีคงเปลี่ยนแปลงใด ๆ มิได้แล้ว!”“แม้แต่พระชายาอ๋องอี้ก็โกรธมาก เข้าวังไปฟ้องร้องต่อไทเฮา แต่ก็มิอาจทำให้ท่านอ๋องเปลี่ยนพระทัยได้!”“เมื่อคืนนี้ พระชายาอ๋องอี้ก็มิได้กลับมาที่ตำหนัก คาดว่าครั้งนี้คงตั้งใจแน่วแน่ที่จะหย่ากับท่านอ๋องแล้วขอรับ!”อันเจ๋อแล
ใช้คุณไสย?อันเจ๋อและเผยอวี้เบิกตากว้างด้วยความตกใจจ้าวซวนกล่าวอย่างรีบร้อนว่า “ฉินรั่วซือพาบ่าวรับใช้ที่รู้วรยุทธสิบกว่าคนเข้ามาในตำหนักอ๋องอี้ พระชายาอ๋องอี้ทราบเรื่องนี้แล้วเช่นกัน!”“รัฐทายาทอัน แม่ทัพเผย ข้าถูกคนของพวกเขาลอบสังเกตอยู่ เกรงว่าคงช่วยเหลือพระชายาอ๋องอี้ได้เพียงเท่านี้!”“ข้ามิรู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกับท่านทั้งสองอีกหรือไม่ หากมีเรื่องใดให้ปรึกษา ก็โปรดไปหารือกับพระชายาอ๋องอี้โดยตรงเถิดขอรับ!”“ส่วนท่านอ๋องอี้ ข้าจะพยายามปกป้องความปลอดภัยของเขาให้ดีที่สุดขอรับ!”อันเจ๋อรู้สึกเป็นห่วงเซียวหลินเทียนอย่างมาก สถานการณ์ของจ้าวซวนก็มิปลอดภัยเช่นกัน ใครจะรู้ว่าเซียวหลินเทียนจะลงมือกับจ้าวซวนภายใต้อิทธิพลของฉินรั่วซือหรือไม่?“ท่านทั้งสองก็ต้องระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองด้วย หากสถานการณ์มิสู้ดี ก็อย่าได้พะวงต่อเซียวหลินเทียน รีบหนีออกมาเสีย!”เผยอวี้สั่ง “หากเซียวหลินเทียนฟื้นคืนสติ ก็คงจะเห็นด้วยกับข้า!”จ้าวซวนยิ้มอย่างขมขื่น “จะหนีไปได้อย่างไรเล่า นั่นมิเท่ากับปล่อยให้ท่านอ๋องอี้เผชิญกับอันตรายเพียงลำพังหรือขอรับ? เมื่อเราเลือกจะติดตามท่านอ๋องอี้แล้วก็ต้องร่วมทุกข