หลิงอวี๋เห็นว่าขันทีโม่แย้มยิ้มอย่างเป็นมิตร ความระแวดระวังในใจก็ลดลงไปบ้างนางมิรู้จริง ๆ ว่าในยาแก้พิษของหลานฮุ่ยจวนนั้นมีหญ้าลมดำผสมอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่นางตรวจสอบมิพบหากเป็นเช่นที่ขันทีโม่กล่าว นั่นก็คงจะเป็นสิ่งที่ผู้คนในแดนปีศาจปรารถนาเป็นอย่างยิ่งจริง ๆหากขันทีโม่คิดร้ายต่อนาง การเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปก็มีแต่จะทำให้ผู้คนมากมายพากันมาแย่งชิงยาเท่านั้น“ขันทีโม่ ท่านมาจากแดนปีศาจหรือ?”หลิงอวี๋ถามอย่างลังเล“ใช่แล้ว”ขันทีโม่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาหลิงอวี๋นึกถึงหยกหล้าสุขาวดีของหลานฮุ่ยจวน แล้วก็ถามหยั่งเชิงต่อไปอีกว่า “ท่านมาที่นี่เพื่อตามหาสิ่งใดหรือ?”ขันทีโม่เหลือบมองหลิงอวี๋อย่างมีนัยสำคัญ แล้วหัวเราะกล่าว “เจ้าเป็นบุตรสาวของหลานฮุ่ยจวน... คงมีพลังจิตวิญญาณที่หลานฮุ่ยจวนถ่ายทอดให้ใช่หรือไม่?”“เจ้าวางใจเถิด ข้ามิได้มาเพื่อตามหาสมบัติของมารดาเจ้า ข้ามาที่ฉินตะวันตกก็เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะ”“ข้ามิได้บอกเล่าเรื่องของแดนปีศาจแก่องค์จักรพรรดิสูงสุดและองค์จักรพรรดิอู่อันเลย สำหรับคนธรรมดาเช่นพวกเขาเหล่านี้ การมิรู้ย่อมเป็นพร”“ดังนั้น พวกเขาจึงรู้เพียงว่า
เสียงของขันทีโม่นั้นอ่อนโยนราวกับการสะกดจิต ทำให้หลิงอวี๋ยอมหายใจเข้าออกตามเสียงของเขาโดยมิรู้ตัวเวลาผ่านไปทีละน้อย หลิงอวี๋ดูเหมือนมิรู้สึกขาดอากาศหายใจอีกต่อไปแล้ว ความเจ็บปวดจากการถูกพันธนาการทั่วร่างกายก็ค่อย ๆ เลือนหายตามไปด้วยสายตาของนางมีเพียงขันทีโม่ หูของนางได้ยินเพียงเสียงของขันทีโม่เช่นกันหลิงอวี๋มิรู้ตัวเลยว่า ร่างกายของนางค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้น ปลายเท้าห่างจากพื้นประมาณหนึ่งเมตรร่างกายของนางเปล่งแสงสีเหลืองอ่อน แสงนี้สลัวรางอย่างยิ่งแต่ก็เพียงพอให้ขันทีโม่ได้มองเห็น“หายใจต่อไป”ขันทีโม่แนะนำหลิงอวี๋ หลิงอวี๋ทำตามโดยมิรู้ตัวมิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ขันทีโม่ก็โบกมือหนึ่งครั้ง หลิงอวี๋ถึงค่อย ๆ หย่อนตัวลงมาถึงพื้นนางรู้สึกว่า ร่างกายของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ความหนักอึ้งตามเนื้อตัวผ่อนเบาลงมาก นางมองไปที่ขันทีโม่ด้วยความประหลาดใจ เมื่อครู่เขาเพิ่งสอนวิธีเพิ่มพลังวิญญาณให้กับนางใช่หรือไม่?“พื้นฐานดี แต่ว่าวิธีที่เจ้าฝึกก่อนหน้านี้มิถูกต้อง หากเจ้าฝึกฝนตามวิธีของข้า ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าแล้ว วรยุทธจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว”ขันทีโม่หยิบสมุดเก่า ๆ ออกมาจากอกเสื้อ
ข่าวคราวเรื่องที่อ๋องอี้จะอภิเษกสมรสกับฉินรั่วซือในฐานะชายารองได้แพร่กระจายไปทั่วหมู่ขุนนางในเมืองหลวงอีกครั้งคราวนี้แม้แต่เผยอวี้และอันเจ๋อก็ได้รับข่าวสาร ทั้งสองยังมิเชื่อหูตนเองครั้งก่อนที่เผยอวี้เดินทางไปยังเมืองเว่ยโจวก็ได้พบกับฉินรั่วซือ เขามิพึงใจสตรีที่เห็นแก่ลาภยศสรรเสริญเป็นใหญ่เช่นนี้เป็นอย่างมากเขามิเชื่อว่าเซียวหลินเทียนจะหลงใหลได้ปลื้มในตัวฉินรั่วซืออันเจ๋อก็มิเชื่อเช่นกัน ทั้งสองจึงนัดหมายกันไปยังตำหนักอ๋องอี้เพื่อสืบหาความจริงแต่เมื่อไปถึงตำหนักอ๋องอี้กลับมิพบเซียวหลินเทียน องครักษ์เฝ้าประตูแจ้งว่า เซียวหลินเทียนได้พาฉินรั่วซือออกไปซื้อเครื่องประดับสำหรับงานอภิเษกสมรสแล้วองครักษ์เฝ้าประตูยืนอยู่ฝั่งเดียวกับหลิงอวี๋ เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “แม่ทัพเผย รัฐทายาทอัน ท่านทั้งสองอย่าได้ตามหาท่านอ๋องเลย เรื่องนี้เห็นทีคงเปลี่ยนแปลงใด ๆ มิได้แล้ว!”“แม้แต่พระชายาอ๋องอี้ก็โกรธมาก เข้าวังไปฟ้องร้องต่อไทเฮา แต่ก็มิอาจทำให้ท่านอ๋องเปลี่ยนพระทัยได้!”“เมื่อคืนนี้ พระชายาอ๋องอี้ก็มิได้กลับมาที่ตำหนัก คาดว่าครั้งนี้คงตั้งใจแน่วแน่ที่จะหย่ากับท่านอ๋องแล้วขอรับ!”อันเจ๋อแล
ใช้คุณไสย?อันเจ๋อและเผยอวี้เบิกตากว้างด้วยความตกใจจ้าวซวนกล่าวอย่างรีบร้อนว่า “ฉินรั่วซือพาบ่าวรับใช้ที่รู้วรยุทธสิบกว่าคนเข้ามาในตำหนักอ๋องอี้ พระชายาอ๋องอี้ทราบเรื่องนี้แล้วเช่นกัน!”“รัฐทายาทอัน แม่ทัพเผย ข้าถูกคนของพวกเขาลอบสังเกตอยู่ เกรงว่าคงช่วยเหลือพระชายาอ๋องอี้ได้เพียงเท่านี้!”“ข้ามิรู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกับท่านทั้งสองอีกหรือไม่ หากมีเรื่องใดให้ปรึกษา ก็โปรดไปหารือกับพระชายาอ๋องอี้โดยตรงเถิดขอรับ!”“ส่วนท่านอ๋องอี้ ข้าจะพยายามปกป้องความปลอดภัยของเขาให้ดีที่สุดขอรับ!”อันเจ๋อรู้สึกเป็นห่วงเซียวหลินเทียนอย่างมาก สถานการณ์ของจ้าวซวนก็มิปลอดภัยเช่นกัน ใครจะรู้ว่าเซียวหลินเทียนจะลงมือกับจ้าวซวนภายใต้อิทธิพลของฉินรั่วซือหรือไม่?“ท่านทั้งสองก็ต้องระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองด้วย หากสถานการณ์มิสู้ดี ก็อย่าได้พะวงต่อเซียวหลินเทียน รีบหนีออกมาเสีย!”เผยอวี้สั่ง “หากเซียวหลินเทียนฟื้นคืนสติ ก็คงจะเห็นด้วยกับข้า!”จ้าวซวนยิ้มอย่างขมขื่น “จะหนีไปได้อย่างไรเล่า นั่นมิเท่ากับปล่อยให้ท่านอ๋องอี้เผชิญกับอันตรายเพียงลำพังหรือขอรับ? เมื่อเราเลือกจะติดตามท่านอ๋องอี้แล้วก็ต้องร่วมทุกข
ฉินซานไม่มีความรู้สึกยินดีใด ๆ กับเรื่องมงคลในบ้านเลย เมื่อเห็นของหมั้นมากมายที่อ๋องอี้ส่งมา ก็มีเพียงความรู้สึกอึดอัดใจเท่านั้นเกี่ยวกับเรื่องที่ฉินรั่วซือได้เข้าไปในตำหนักอ๋องอี้ เขาก็ได้เล่าให้มารดาฟังแล้วเมื่อฮูหยินฉินฟังจบก็ตกใจมาก นางเองก็มิสามารถจินตนาการได้ว่า เพราะเหตุใดฉินรั่วซือถึงสามารถครอบครองหัวใจของเซียวหลินเทียนได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้เมื่อได้ยินฉินซานกล่าวว่า หลิงอวี๋สงสัยว่าฉินรั่วซือลอบติดต่อกับสายลับของฉีตะวันออก และได้วางยาเซียวหลินเทียน ใบหน้าของฮูหยินฉินก็ซีดเผือด“หญิงชั่วช้าคนนี้...”ฮูหยินฉินโกรธจนตัวสั่น ความกลัว ความเจ็บปวด และความกังวล หลากหลายอารมณ์ถาโถมเข้ามา นางถามด้วยเสียงสั่นเครือ“ซานเอ๋อร์ นี่มีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นหรือไม่ รั่วซือจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”“นางมักจะหลงใหลในความร่ำรวยและเกียรติยศอยู่เสมอก็จริง แต่จะอาจหาญถึงขั้นลอบติดต่อกับศัตรูเลยเชียวหรือ?”ฉินซานกล่าวด้วยความเจ็บปวด “ท่านแม่ หลิงอวี๋มิใช่ผู้ที่ชอบกล่าวหาลอย ๆ ในเมื่อนางกล้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงถึงแปดส่วน”“ยิ่งไปกว่านั้น ข้ารู้จักอ๋องอี้ดี เขาไม่มีวัน
เวลาผ่านไปทีละวัน...ตำหนักอ๋องอี้ประดับประดาไปด้วยโคมไฟและผ้าสีสันสดใส เพื่อเตรียมการให้พร้อมสำหรับห้องหอส่วนเรือนบุหงานั้นแทบไม่มีผู้คนอยู่แล้ว หลิงซวน เถาจื่อ และหลิงอวี๋ต่างก็ย้ายไปอาศัยอยู่ในวังหลวงแม่นมหลี่และฉีเต๋อก็ย้ายไปอาศัยอยู่ในจวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนพร้อมกับขันทีเซี่ยตั้งแต่วันนั้นหานเหมยและหานอวี้ที่อยู่เฝ้าเรือนถูกฉินรั่วซือกลั่นแกล้งไปครั้งหนึ่ง จึงอาศัยความมืดหลบหนีออกมาจากตำหนักอ๋องอี้ตามคำสั่งของหลิงอวี๋เรือนบุหงาที่เคยคึกคักแต่เดิมกลับกลายเป็นเรือนที่เงียบเหงาว่างเปล่าก่อนที่ฉินรั่วซือจะยุยงให้เซียวหลินเทียนจัดสรรให้บ่าวรับใช้ที่นางพาเข้ามาไปอาศัยอยู่ในเรือนบุหงาแทน จ้าวซวนก็ขออนุญาตจากเซียวหลินเทียน พาองครักษ์กลุ่มหนึ่งเข้าไปอยู่จ้าวซวนกลัวว่า ฉินรั่วซือจะทำลายเรือนบุหงาทิ้งเสีย จึงจงใจทำเช่นนี้ฉินรั่วซือคิดทบทวนอยู่หลายครั้ง นางมิสามารถเปลี่ยนองครักษ์ทั้งหมดที่อยู่ข้างกายเซียวหลินเทียนได้ในทันที จึงต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปขุนนางหลายคนในเมืองหลวงได้รับจดหมายเชิญจากอ๋องอี้ หลายคนรอคอยวันอภิเษกสมรสเพื่อไปชมความคึกคักในตำหนักอ๋องอี้ส่วนจักรพรรดิอู่อันได
ครั้งหนึ่งเมื่อองค์หญิงใหญ่ออกจากเมืองหลวง นางเคยปฏิญาณว่าในชีวิตนี้นางจะกลับเข้าสู่ตำหนักกระดิ่งทองอีกครั้ง และจะขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์นั้นให้ได้!คราวนี้ นางจะทำให้ความฝันของตนเป็นจริง!องค์หญิงใหญ่เดินทางไปยังสุสานหลวงพร้อมด้วยเฮ่อหรงองค์ชายเว่ยรั้งอยู่เพื่อเฝ้ายาม ณ สุสานหลวง ทั้งยังถูกจักรพรรดิอู่อันลงอาญาเฆี่ยนตีสามสิบครั้งต่อหน้าธารกำนัล นับตั้งแต่วันที่ฮองเฮาเว่ยวางแผนใส่ร้ายองค์ชายจิ้นในงานอภิเษกสมรสของเฮ่อหรงการเฆี่ยนตีสามสิบครั้งนี้มิได้ทำให้องค์ชายเว่ยสำนึกผิด หากแต่ยิ่งกระตุ้นให้เขาทวีความโกรธเกรี้ยวชายาเอกของเขาถูกคนของจักรพรรดิอู่อันส่งกลับไปยังตำหนักองค์ชายเว่ยเมื่อไม่มีผู้ใดคอยปรนนิบัติ ซ้ำร้ายแผลจากการถูกเฆี่ยนยังเจ็บปวดเสียจนมิอาจนอนได้ องค์ชายเว่ยก็ยิ่งโกรธเกรี้ยวมากขึ้นทุกวันวันหนึ่ง ข้ารับใช้เข้ามารายงานว่า องค์ชายหนิงมาเยี่ยมพร้อมกับเซี่ยโฮ่วตานรั่วองค์ชายเว่ยตกใจ เขาสูญเสียอำนาจไปแล้ว ทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ถูกจักรพรรดิอู่อันยึดไป หากองค์ชายหนิงประสงค์จะผูกสัมพันธ์ ควรจะไปสวามิภักดิ์ต่อเซียวหลินเทียนและองค์ชายคังที่ยังมีอำนาจดีกว่า แต่เหตุใดจึงมาสวามิภั
กล้าหรือไม่?แน่นอนว่าคือการกบฏ!องค์ชายเว่ยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ มององค์ชายหนิงด้วยความมิเชื่อพี่น้องคู่นี้กำลังชักชวนให้เขาก่อกบฏ และชิงบัลลังก์จากเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ?จิตใจขององค์ชายเว่ยเต้นระรัว เขา… ทำได้ด้วยหรือ?“องค์ชายเว่ย เจ้าอายุเท่าใดแล้ว?”องค์ชายหนิงคลี่ยิ้ม “ในงานประลองครั้งนี้ เจ้าคงเห็นแล้วว่า ตนเองมิสามารถเทียบเคียงกับอ๋องอี้ได้เลย”“แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะมองเห็นความดีของเจ้า และแต่งตั้งให้เจ้าเป็นรัชทายาท แต่เสด็จพ่อของเจ้ายังมีพระพลานามัยแข็งแรง เจ้าจะต้องรออีกนานเท่าใดกว่าจะได้ขึ้นครองราชย์กัน!”“เจ้ายินยอมให้ตระกูลเว่ย ตระกูลเฮ่อ และอำนาจในมือถูกองค์จักรพรรดิลิดรอนไปทีละน้อย จนในที่สุดก็กลายเป็นจักรพรรดิที่ไร้ความสามารถน่ะหรือ?”เซี่ยโฮ่วตานรั่วกล่าวเยาะหยัน “ข้าเป็นเพียงสตรี แต่ยังมิสามารถทนได้หากต้องอยู่ภายใต้อำนาจของผู้อื่น และถูกผู้อื่นเฆี่ยนตีได้ตามใจชอบ แต่ท่านเป็นถึงองค์ชาย จะยินยอมให้ชะตากรรมของตนตกอยู่ในมือของผู้อื่นได้เยี่ยงไร?”“องค์ชายเว่ย ผู้ที่ทำการใหญ่มิควรลังเล เมื่อโอกาสมาถึงก็ควรรีบคว้าไว้ จงจำเอาไว้ว่า โอกาสมีเพียงครั้งเดียว หากพลา