หลิงอวี๋เห็นว่าขันทีโม่แย้มยิ้มอย่างเป็นมิตร ความระแวดระวังในใจก็ลดลงไปบ้างนางมิรู้จริง ๆ ว่าในยาแก้พิษของหลานฮุ่ยจวนนั้นมีหญ้าลมดำผสมอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่นางตรวจสอบมิพบหากเป็นเช่นที่ขันทีโม่กล่าว นั่นก็คงจะเป็นสิ่งที่ผู้คนในแดนปีศาจปรารถนาเป็นอย่างยิ่งจริง ๆหากขันทีโม่คิดร้ายต่อนาง การเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปก็มีแต่จะทำให้ผู้คนมากมายพากันมาแย่งชิงยาเท่านั้น“ขันทีโม่ ท่านมาจากแดนปีศาจหรือ?”หลิงอวี๋ถามอย่างลังเล“ใช่แล้ว”ขันทีโม่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาหลิงอวี๋นึกถึงหยกหล้าสุขาวดีของหลานฮุ่ยจวน แล้วก็ถามหยั่งเชิงต่อไปอีกว่า “ท่านมาที่นี่เพื่อตามหาสิ่งใดหรือ?”ขันทีโม่เหลือบมองหลิงอวี๋อย่างมีนัยสำคัญ แล้วหัวเราะกล่าว “เจ้าเป็นบุตรสาวของหลานฮุ่ยจวน... คงมีพลังจิตวิญญาณที่หลานฮุ่ยจวนถ่ายทอดให้ใช่หรือไม่?”“เจ้าวางใจเถิด ข้ามิได้มาเพื่อตามหาสมบัติของมารดาเจ้า ข้ามาที่ฉินตะวันตกก็เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะ”“ข้ามิได้บอกเล่าเรื่องของแดนปีศาจแก่องค์จักรพรรดิสูงสุดและองค์จักรพรรดิอู่อันเลย สำหรับคนธรรมดาเช่นพวกเขาเหล่านี้ การมิรู้ย่อมเป็นพร”“ดังนั้น พวกเขาจึงรู้เพียงว่า
เสียงของขันทีโม่นั้นอ่อนโยนราวกับการสะกดจิต ทำให้หลิงอวี๋ยอมหายใจเข้าออกตามเสียงของเขาโดยมิรู้ตัวเวลาผ่านไปทีละน้อย หลิงอวี๋ดูเหมือนมิรู้สึกขาดอากาศหายใจอีกต่อไปแล้ว ความเจ็บปวดจากการถูกพันธนาการทั่วร่างกายก็ค่อย ๆ เลือนหายตามไปด้วยสายตาของนางมีเพียงขันทีโม่ หูของนางได้ยินเพียงเสียงของขันทีโม่เช่นกันหลิงอวี๋มิรู้ตัวเลยว่า ร่างกายของนางค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้น ปลายเท้าห่างจากพื้นประมาณหนึ่งเมตรร่างกายของนางเปล่งแสงสีเหลืองอ่อน แสงนี้สลัวรางอย่างยิ่งแต่ก็เพียงพอให้ขันทีโม่ได้มองเห็น“หายใจต่อไป”ขันทีโม่แนะนำหลิงอวี๋ หลิงอวี๋ทำตามโดยมิรู้ตัวมิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ขันทีโม่ก็โบกมือหนึ่งครั้ง หลิงอวี๋ถึงค่อย ๆ หย่อนตัวลงมาถึงพื้นนางรู้สึกว่า ร่างกายของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ความหนักอึ้งตามเนื้อตัวผ่อนเบาลงมาก นางมองไปที่ขันทีโม่ด้วยความประหลาดใจ เมื่อครู่เขาเพิ่งสอนวิธีเพิ่มพลังวิญญาณให้กับนางใช่หรือไม่?“พื้นฐานดี แต่ว่าวิธีที่เจ้าฝึกก่อนหน้านี้มิถูกต้อง หากเจ้าฝึกฝนตามวิธีของข้า ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าแล้ว วรยุทธจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว”ขันทีโม่หยิบสมุดเก่า ๆ ออกมาจากอกเสื้อ
ข่าวคราวเรื่องที่อ๋องอี้จะอภิเษกสมรสกับฉินรั่วซือในฐานะชายารองได้แพร่กระจายไปทั่วหมู่ขุนนางในเมืองหลวงอีกครั้งคราวนี้แม้แต่เผยอวี้และอันเจ๋อก็ได้รับข่าวสาร ทั้งสองยังมิเชื่อหูตนเองครั้งก่อนที่เผยอวี้เดินทางไปยังเมืองเว่ยโจวก็ได้พบกับฉินรั่วซือ เขามิพึงใจสตรีที่เห็นแก่ลาภยศสรรเสริญเป็นใหญ่เช่นนี้เป็นอย่างมากเขามิเชื่อว่าเซียวหลินเทียนจะหลงใหลได้ปลื้มในตัวฉินรั่วซืออันเจ๋อก็มิเชื่อเช่นกัน ทั้งสองจึงนัดหมายกันไปยังตำหนักอ๋องอี้เพื่อสืบหาความจริงแต่เมื่อไปถึงตำหนักอ๋องอี้กลับมิพบเซียวหลินเทียน องครักษ์เฝ้าประตูแจ้งว่า เซียวหลินเทียนได้พาฉินรั่วซือออกไปซื้อเครื่องประดับสำหรับงานอภิเษกสมรสแล้วองครักษ์เฝ้าประตูยืนอยู่ฝั่งเดียวกับหลิงอวี๋ เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “แม่ทัพเผย รัฐทายาทอัน ท่านทั้งสองอย่าได้ตามหาท่านอ๋องเลย เรื่องนี้เห็นทีคงเปลี่ยนแปลงใด ๆ มิได้แล้ว!”“แม้แต่พระชายาอ๋องอี้ก็โกรธมาก เข้าวังไปฟ้องร้องต่อไทเฮา แต่ก็มิอาจทำให้ท่านอ๋องเปลี่ยนพระทัยได้!”“เมื่อคืนนี้ พระชายาอ๋องอี้ก็มิได้กลับมาที่ตำหนัก คาดว่าครั้งนี้คงตั้งใจแน่วแน่ที่จะหย่ากับท่านอ๋องแล้วขอรับ!”อันเจ๋อแล
ใช้คุณไสย?อันเจ๋อและเผยอวี้เบิกตากว้างด้วยความตกใจจ้าวซวนกล่าวอย่างรีบร้อนว่า “ฉินรั่วซือพาบ่าวรับใช้ที่รู้วรยุทธสิบกว่าคนเข้ามาในตำหนักอ๋องอี้ พระชายาอ๋องอี้ทราบเรื่องนี้แล้วเช่นกัน!”“รัฐทายาทอัน แม่ทัพเผย ข้าถูกคนของพวกเขาลอบสังเกตอยู่ เกรงว่าคงช่วยเหลือพระชายาอ๋องอี้ได้เพียงเท่านี้!”“ข้ามิรู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกับท่านทั้งสองอีกหรือไม่ หากมีเรื่องใดให้ปรึกษา ก็โปรดไปหารือกับพระชายาอ๋องอี้โดยตรงเถิดขอรับ!”“ส่วนท่านอ๋องอี้ ข้าจะพยายามปกป้องความปลอดภัยของเขาให้ดีที่สุดขอรับ!”อันเจ๋อรู้สึกเป็นห่วงเซียวหลินเทียนอย่างมาก สถานการณ์ของจ้าวซวนก็มิปลอดภัยเช่นกัน ใครจะรู้ว่าเซียวหลินเทียนจะลงมือกับจ้าวซวนภายใต้อิทธิพลของฉินรั่วซือหรือไม่?“ท่านทั้งสองก็ต้องระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองด้วย หากสถานการณ์มิสู้ดี ก็อย่าได้พะวงต่อเซียวหลินเทียน รีบหนีออกมาเสีย!”เผยอวี้สั่ง “หากเซียวหลินเทียนฟื้นคืนสติ ก็คงจะเห็นด้วยกับข้า!”จ้าวซวนยิ้มอย่างขมขื่น “จะหนีไปได้อย่างไรเล่า นั่นมิเท่ากับปล่อยให้ท่านอ๋องอี้เผชิญกับอันตรายเพียงลำพังหรือขอรับ? เมื่อเราเลือกจะติดตามท่านอ๋องอี้แล้วก็ต้องร่วมทุกข
ฉินซานไม่มีความรู้สึกยินดีใด ๆ กับเรื่องมงคลในบ้านเลย เมื่อเห็นของหมั้นมากมายที่อ๋องอี้ส่งมา ก็มีเพียงความรู้สึกอึดอัดใจเท่านั้นเกี่ยวกับเรื่องที่ฉินรั่วซือได้เข้าไปในตำหนักอ๋องอี้ เขาก็ได้เล่าให้มารดาฟังแล้วเมื่อฮูหยินฉินฟังจบก็ตกใจมาก นางเองก็มิสามารถจินตนาการได้ว่า เพราะเหตุใดฉินรั่วซือถึงสามารถครอบครองหัวใจของเซียวหลินเทียนได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้เมื่อได้ยินฉินซานกล่าวว่า หลิงอวี๋สงสัยว่าฉินรั่วซือลอบติดต่อกับสายลับของฉีตะวันออก และได้วางยาเซียวหลินเทียน ใบหน้าของฮูหยินฉินก็ซีดเผือด“หญิงชั่วช้าคนนี้...”ฮูหยินฉินโกรธจนตัวสั่น ความกลัว ความเจ็บปวด และความกังวล หลากหลายอารมณ์ถาโถมเข้ามา นางถามด้วยเสียงสั่นเครือ“ซานเอ๋อร์ นี่มีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นหรือไม่ รั่วซือจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”“นางมักจะหลงใหลในความร่ำรวยและเกียรติยศอยู่เสมอก็จริง แต่จะอาจหาญถึงขั้นลอบติดต่อกับศัตรูเลยเชียวหรือ?”ฉินซานกล่าวด้วยความเจ็บปวด “ท่านแม่ หลิงอวี๋มิใช่ผู้ที่ชอบกล่าวหาลอย ๆ ในเมื่อนางกล้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงถึงแปดส่วน”“ยิ่งไปกว่านั้น ข้ารู้จักอ๋องอี้ดี เขาไม่มีวัน
เวลาผ่านไปทีละวัน...ตำหนักอ๋องอี้ประดับประดาไปด้วยโคมไฟและผ้าสีสันสดใส เพื่อเตรียมการให้พร้อมสำหรับห้องหอส่วนเรือนบุหงานั้นแทบไม่มีผู้คนอยู่แล้ว หลิงซวน เถาจื่อ และหลิงอวี๋ต่างก็ย้ายไปอาศัยอยู่ในวังหลวงแม่นมหลี่และฉีเต๋อก็ย้ายไปอาศัยอยู่ในจวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนพร้อมกับขันทีเซี่ยตั้งแต่วันนั้นหานเหมยและหานอวี้ที่อยู่เฝ้าเรือนถูกฉินรั่วซือกลั่นแกล้งไปครั้งหนึ่ง จึงอาศัยความมืดหลบหนีออกมาจากตำหนักอ๋องอี้ตามคำสั่งของหลิงอวี๋เรือนบุหงาที่เคยคึกคักแต่เดิมกลับกลายเป็นเรือนที่เงียบเหงาว่างเปล่าก่อนที่ฉินรั่วซือจะยุยงให้เซียวหลินเทียนจัดสรรให้บ่าวรับใช้ที่นางพาเข้ามาไปอาศัยอยู่ในเรือนบุหงาแทน จ้าวซวนก็ขออนุญาตจากเซียวหลินเทียน พาองครักษ์กลุ่มหนึ่งเข้าไปอยู่จ้าวซวนกลัวว่า ฉินรั่วซือจะทำลายเรือนบุหงาทิ้งเสีย จึงจงใจทำเช่นนี้ฉินรั่วซือคิดทบทวนอยู่หลายครั้ง นางมิสามารถเปลี่ยนองครักษ์ทั้งหมดที่อยู่ข้างกายเซียวหลินเทียนได้ในทันที จึงต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปขุนนางหลายคนในเมืองหลวงได้รับจดหมายเชิญจากอ๋องอี้ หลายคนรอคอยวันอภิเษกสมรสเพื่อไปชมความคึกคักในตำหนักอ๋องอี้ส่วนจักรพรรดิอู่อันได
ครั้งหนึ่งเมื่อองค์หญิงใหญ่ออกจากเมืองหลวง นางเคยปฏิญาณว่าในชีวิตนี้นางจะกลับเข้าสู่ตำหนักกระดิ่งทองอีกครั้ง และจะขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์นั้นให้ได้!คราวนี้ นางจะทำให้ความฝันของตนเป็นจริง!องค์หญิงใหญ่เดินทางไปยังสุสานหลวงพร้อมด้วยเฮ่อหรงองค์ชายเว่ยรั้งอยู่เพื่อเฝ้ายาม ณ สุสานหลวง ทั้งยังถูกจักรพรรดิอู่อันลงอาญาเฆี่ยนตีสามสิบครั้งต่อหน้าธารกำนัล นับตั้งแต่วันที่ฮองเฮาเว่ยวางแผนใส่ร้ายองค์ชายจิ้นในงานอภิเษกสมรสของเฮ่อหรงการเฆี่ยนตีสามสิบครั้งนี้มิได้ทำให้องค์ชายเว่ยสำนึกผิด หากแต่ยิ่งกระตุ้นให้เขาทวีความโกรธเกรี้ยวชายาเอกของเขาถูกคนของจักรพรรดิอู่อันส่งกลับไปยังตำหนักองค์ชายเว่ยเมื่อไม่มีผู้ใดคอยปรนนิบัติ ซ้ำร้ายแผลจากการถูกเฆี่ยนยังเจ็บปวดเสียจนมิอาจนอนได้ องค์ชายเว่ยก็ยิ่งโกรธเกรี้ยวมากขึ้นทุกวันวันหนึ่ง ข้ารับใช้เข้ามารายงานว่า องค์ชายหนิงมาเยี่ยมพร้อมกับเซี่ยโฮ่วตานรั่วองค์ชายเว่ยตกใจ เขาสูญเสียอำนาจไปแล้ว ทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ถูกจักรพรรดิอู่อันยึดไป หากองค์ชายหนิงประสงค์จะผูกสัมพันธ์ ควรจะไปสวามิภักดิ์ต่อเซียวหลินเทียนและองค์ชายคังที่ยังมีอำนาจดีกว่า แต่เหตุใดจึงมาสวามิภั
กล้าหรือไม่?แน่นอนว่าคือการกบฏ!องค์ชายเว่ยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ มององค์ชายหนิงด้วยความมิเชื่อพี่น้องคู่นี้กำลังชักชวนให้เขาก่อกบฏ และชิงบัลลังก์จากเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ?จิตใจขององค์ชายเว่ยเต้นระรัว เขา… ทำได้ด้วยหรือ?“องค์ชายเว่ย เจ้าอายุเท่าใดแล้ว?”องค์ชายหนิงคลี่ยิ้ม “ในงานประลองครั้งนี้ เจ้าคงเห็นแล้วว่า ตนเองมิสามารถเทียบเคียงกับอ๋องอี้ได้เลย”“แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะมองเห็นความดีของเจ้า และแต่งตั้งให้เจ้าเป็นรัชทายาท แต่เสด็จพ่อของเจ้ายังมีพระพลานามัยแข็งแรง เจ้าจะต้องรออีกนานเท่าใดกว่าจะได้ขึ้นครองราชย์กัน!”“เจ้ายินยอมให้ตระกูลเว่ย ตระกูลเฮ่อ และอำนาจในมือถูกองค์จักรพรรดิลิดรอนไปทีละน้อย จนในที่สุดก็กลายเป็นจักรพรรดิที่ไร้ความสามารถน่ะหรือ?”เซี่ยโฮ่วตานรั่วกล่าวเยาะหยัน “ข้าเป็นเพียงสตรี แต่ยังมิสามารถทนได้หากต้องอยู่ภายใต้อำนาจของผู้อื่น และถูกผู้อื่นเฆี่ยนตีได้ตามใจชอบ แต่ท่านเป็นถึงองค์ชาย จะยินยอมให้ชะตากรรมของตนตกอยู่ในมือของผู้อื่นได้เยี่ยงไร?”“องค์ชายเว่ย ผู้ที่ทำการใหญ่มิควรลังเล เมื่อโอกาสมาถึงก็ควรรีบคว้าไว้ จงจำเอาไว้ว่า โอกาสมีเพียงครั้งเดียว หากพลา
เซียวหลินเทียนฟังแล้วก็ทั้งโกรธทั้งโมโห ก่อนหน้านี้ที่หานเหมยบอกมิได้ละเอียดถึงเพียงนี้ และหานเหมยก็มิเคยบอกด้วยว่าใบหน้าของหลิงอวี๋ถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยกรีดจนเป็นแผลความทรงจำของหานเหมยสูญหายไปบางส่วน ซึ่งนี่ก็คือผลกระทบที่ได้มาจากการถูกผนึก ดังนั้นจะโทษหานเหมยก็มิได้เมื่อได้ยินว่าหลิงอวี๋สูญเสียวรยุทธ์ไป ทั้งยังถูกเสวี่ยเหมยกลั่นแกล้งอีก เซียวหลินเทียนก็คิดเพียงอยากจะแทงเสวี่ยเหมยและลิ่งหูหลินผู้นั้นให้ตายไปเสียส่วนเรื่องที่หวงฝู่หลินรับหลิงอวี๋เป็นน้องสาวบุญธรรมนั้น เซียวหลินเทียนมิได้คิดเป็นจริงเป็นจังอะไร เขาหรือจะมิรู้ว่าหวงฝู่หลินไม่มีทางรับหลิงอวี๋เป็นน้องสาวบุญธรรมจริง ๆ หรอก“ท่านเจ้าวังของเราให้ป้าวเฉิงไปตามหาหลิงอวี๋ เพราะต้องการจะขอตำรับยาที่นางมีอยู่ในมือ มิใช่เพราะต้องการจะทำให้นางลำบาก!”ปี้ซงอธิบายทุกสิ่งออกมาอย่างชัดเจนแม้ว่าเซียวหลินเทียนจะรู้สึกว่าเขาไม่มีทางพูดความจริงออกมาทั้งหมด แต่ก็ยังเชื่อไปกว่าครึ่งอยู่ดีหลังจากครุ่นคิดดูแล้ว เซียวหลินเทียนก็รู้สึกว่า ในเมื่อหวงฝู่หมิงจูถูกเสวี่ยเหมยจับตัวไป และเสวี่ยเหมยก็เป็นผู้ร้ายที่ลักพาตัวหลิงอวี๋ไปด้วย เช่นนั้นก
ใบหน้าหล่อเหลาของเซียวหลินเทียนมีความเศร้าอยู่จาง ๆ เขายืนอยู่บนบันได ซากปรักหักพังด้านหลังเหล่านั้น เมื่ออยู่ภายใต้แสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ยามเย็นก็ทำให้เห็นความหดหู่และโดดเดี่ยวอย่างชัดเจนแต่แสงของดวงอาทิตย์ยามเย็นที่ส่องลงมาบนตัวของเซียวหลินเทียนนั้น ทำให้เขาดูเหมือนมีแสงสีทองระยิบระยับอยู่ทั้งที่เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาก็ยังเป็นคนเดิม แต่กลับดูราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทำให้มิอาจมองเขาตรง ๆ ได้!ทันใดนั้นหวงฝู่หลินก็รู้สึกถึงความรู้สึกกดดันที่มิเคยมีมาก่อนจู่ ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ว่า ในภายภาคหน้าพลังของเซียวหลินเทียนจะประสบความสำเร็จ จะต้องอยู่เหนือไปกว่าของตนมาก และอยู่เหนือกว่าบรรดายอดฝีมือในแดนเทพอย่างแน่นอน!เหนือกว่าแม้กระทั่งหลงอี้ด้วย...เซียวหลินเทียนมองไปไกล ๆ แล้วนึกฉากเมื่อครู่เหวินเหรินจิ้นพาเขาเข้าไป และมิเพียงแต่มอบรายชื่อบรรดาศิษย์ของตำหนักปีกเงินให้ตนเท่านั้น แต่ยังมอบเงินทั้งหมดที่ตำหนักปีกเงินเก็บไว้หลายปีให้ตนด้วยนอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มหาปราชญ์ต้องการอย่างหม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์อีกด้วยสุดท้ายเหวินเหรินจิ้นก็ยังพยายามถ่ายพ
หวงฝู่หลินมองเหวินเหรินจิ้นด้วยความสงสาร จากนั้นก็ประคองเขานั่งขึ้นมา แล้วเอ่ยไปอย่างเรียบ ๆ “เจ้าคงมิอยากจากไปโดยที่มิได้ทิ้งคำพูดอะไรไว้แน่!”“ต่อให้ยานั้นจะล้ำค่ามากเพียงใด ก็มิล้ำค่าเท่ากับเจ้า...พูดมาเถิด ยังมีความปรารถนาใดอีกที่เจ้ายังมิสมหวัง ขอเพียงข้าสามารถทำได้ ข้าก็จะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน!”หวงฝู่หลินคิดเช่นนั้นจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงป้อนโอสถช่วยชีวิตอันล้ำค่าที่ตนสกัดอย่างพิถีพิถันให้กับเหวินเหรินจิ้น เขามิอยากให้สหายผู้นี้ตายตามิหลับเหวินเหรินจิ้นมองหลานชายที่กำลังร้องไห้อยู่ข้าง ๆ แล้วหวงฝู่หลินก็เข้าใจทันที “ข้าจะให้คนดูแลเขาเอง!”เหวินเหรินจิ้นจึงฝืนยิ้มออกมา “ให้เขาเติบโตอย่างเรียบง่าย ลืมตระกูลนี้ไปเสีย และลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ประสบไปให้หมด!”“ได้!”หวงฝู่หลินมิได้พูดอะไรมาก แต่เหวินเหรินจิ้นรู้ว่า เขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ“ข้าขอฝากตำหนักปีกเงินไว้กับเจ้า...ข้าได้คำนวณชะตาไว้แล้วว่าจะมีภัยพิบัติเช่นนี้ ข้าจึงแสร้งป่วยแล้วให้ลูกศิษย์ของตำหนักทั้งหมดกระจายกันออกไป...”“แต่ข้ามิวางใจ ข้ากังวลว่า หากมหาปราชญ์หาหม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์มิเจอ แล้วจะ
เผยอวี้เห็นว่าหวงฝู่หลินหน้าซีดเซียว ดูท่าทางเหมือนจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเขาจึงมิรีรอแล้วคุกเข่าลงไป จากนั้นก็ยัดลำไส้ของเสือดาวหิมะกลับตามคำชี้แนะของหวงฝู่หลินแล้วหวงฝู่หลินก็นำเครื่องยาสมุนไพรและเข็มกับด้ายออกมาจากแหวนพระสุเมรุ จากนั้นเขาก็ส่งเข็มกับด้ายให้เผยอวี้ “ช่วยเย็บแผลให้มันที!”เผยอวี้ตะลึงไปทันที เขาจับมีดจับกระบี่ได้ แต่เขาใช้เข็มกับด้ายมิเป็น!เมื่อเซียวหลินเทียนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนที่ตนพิชิตกระบี่คุนอู๋ ก็เคยบาดมือมาก่อน แต่เมื่อฝ่ามือของเขาจับที่กระบี่คุนอู๋ ก็รักษาตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะใช้กระบี่คุนอู๋รักษาเสือดาวหิมะหรือไม่!เขาเข้าใจหลักการที่ว่า ทรัพย์สมบัติมิควรเปิดเผยออกมา หากว่าในวันนี้มิใช่สถานการณ์วิกฤต เขาก็ไม่มีทางนำกระบี่คุนอู๋ออกมาแน่แต่ตอนนี้มหาปราชญ์รู้แล้วว่า กระบี่คุนอู๋อยู่ในมือของตน มันจะต้องนำความยุ่งยากมาหาตนมิจบสิ้น เช่นเดียวกับหยกหล้าสุขาวดีของหลิงอวี๋อย่างแน่นอน!หากเปิดเผยเรื่องที่กระบี่คุนอู๋สามารถรักษาบาดแผลได้ไปอีก เช่นนั้นจะมิยิ่งทำให้คนสนใจมากขึ้นหรือ?แต่เมื่อเซียวหลินเที
“ท่านเจ้าวัง!”ปี้ซงเห็นว่าหวงฝู่หลินไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะสู้กลับแล้ว เขาจึงร้องเรียกออกมาอย่างเจ็บปวดจากนั้นเขาก็เหาะเข้าไปหาโดยมิสนใจภัยคุกคามของมือสังหาร แต่เซียวหลินเทียนที่อยู่ข้างกายเขาเร็วกว่า เหาะพุ่งเข้าไปแล้วในช่วงเวลานี้ เซียวหลินเทียนก็มิกลัวที่จะเปิดเผยสมบัติของตนอีกต่อไปแล้ว เขานำกระบี่คุนอู๋ออกมาจากแหวนพระสุเมรุแล้วฟาดไปในอากาศเป็นวงโค้ง...แสงสีขาวลงมาจากท้องฟ้า มหาปราชญ์หันหลังให้เซียวหลินเทียนอยู่จึงมิเห็นแสงนั้น ทว่าหวงฝู่หลินกลับมองเห็นเห็นแสงสีขาวนั้นพุ่งลงมาใส่แขนของมหาปราชญ์ราวกับสายฟ้า ด้วยพลังที่มิอาจต้านทานได้ในตอนที่มหาปราชญ์รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นนั้น เขาก็ได้เห็นแขนครึ่งหนึ่งของตนลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างน่าตกใจ หลังจากนั้นเลือดจากบาดแผลที่แขนขาดไปก็ไหลออกมา“กระบี่คุนอู๋… เจ้าเป็นใคร?”มหาปราชญ์เซถอยหลังไป และในแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจและยากที่จะเชื่อ“คนที่จะเอาชีวิตเจ้า!”นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวหลินเทียนใช้กระบี่คุนอู๋ เขามิคาดคิดเลยว่า กระบี่คุนอู๋จะทรงพลังเช่นนี้ ปราณแห่งกระบี่ที่ฟาดออกมาสามารถตัดแขนของมหาปราชญ์ได้ความมั่
ครั้งนี้แม้หวงฝู่หลินอยากจะฝืนก็ฝืนมิอยู่ เลือดสด ๆ พุ่งออกมาจากปากของเขา“หวงฝู่หลิน สวรรค์มีเส้นทางให้เจ้าไปแต่เจ้ามิไป นรกไม่มีประตูแต่เจ้าก็ยังจะบุกเข้ามา!”“ข้ากำลังคิดจะไปยึดวังเทพของเจ้าด้วยตัวข้าเองอยู่แล้วเชียว แต่เจ้าก็มาหาถึงที่ พอดีเสียจริง ข้าก็มิต้องลำบากไปที่นั่น เอาชีวิตเข้ามาเสีย!”มหาปราชญ์เหาะลงมา และยกมือขึ้นโจมตีไปที่หน้าอกของหวงฝู่หลินทางด้านเซียวหลินเทียนก็กำลังต่อสู้กับพวกมือสังหารอยู่ เมื่อเห็นภาพนี้ก็มิอาจแยกตัวออกไปได้ จึงมิสามารถช่วยเหลือได้ทันเวลาส่วนปี้ซงที่ได้รับบาดเจ็บไปแล้วก็ถูกพวกมือสังหารขวางทางอยู่เช่นกันเสือดาวหิมะและหวงฝู่หลินสื่อสารกันด้วยพลังจิต เมื่อมันรู้สึกได้ว่าเจ้านายกำลังเดือดร้อน มันก็คำรามออกมา จากนั้นก็บินเข้าไป และพุ่งเข้าใส่มหาปราชญ์ทันทีเสือดำที่ตามมาติด ๆ ก็ใช้โอกาสนี้กระโจนเข้าใส่หลังของเสือดาวหิมะ แล้วกัดเนื้อของเสือดาวหิมะเข้าไปคำใหญ่เสือดาวหิมะมิสนใจความเจ็บปวดแล้วกระโจมเข้าไป มหาปราชญ์จึงมิทันได้จัดการกับหวงฝู่หลิน แล้วต้องหันไปจัดการกับเสือดาวหิมะแทนแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เสือดาวหิมะกระชากเสื้อคลุมของมหาปราชญ์ออก
เซียวหลินเทียน ปี้ซงและเผยอวี้กำลังต่อสู้อยู่กับพวกบุรุษชุดดำ ก็พลันรู้สึกว่ารอบ ๆ ตัวมีลมพัดอย่างแรง และใบไม้เหล่านั้นก็พัดมาทางหัวพวกเขาสนามแม่เหล็กที่มีพลังมหาศาลนั้นสั่นสะเทือนไปจนทั่วบริเวณเซียวหลินเทียนรีบมองไปทันที แล้วก็เห็นว่าพลังลมแห่งการปะทะกันของหวงฝู่หลินกับฝูหยางกลางอากาศนั้น เป็นแสงสีเขียวและสีน้ำเงินเกี่ยวพันกันไปมา แยกมิออกว่าใครเป็นใครเมื่อครู่ฝูหยางเรียกชื่อของหวงฝู่หลินออกมา เมื่อเซียวหลินเทียนได้ยินดังนั้น เขาก็เข้าใจขึ้นมาในทันที ที่แท้บุรุษชุดขาวที่ดูราวกับเซียนผู้นี้ก็คือ เจ้าวังหวงฝู่แห่งวังเทพบนภูเขาหิมะนี่เองก่อนหน้านี้หลิงอวี๋เคยถูกเขาขังอยู่ที่วังเทพเซียวหลินเทียนไม่มีเวลาที่จะตำหนิหวงฝู่หลินแล้ว การโจมตีรุนแรงของพวกบุรุษชุดดำทำให้เขามิสามารถรับมือได้เซียวหลินเทียนยังต้องดูแลเผยอวี้ที่มีพลังมิสูงด้วย เขาจึงเหลือบมองไปแล้วพยายามจัดการกับพวกมือสังหารอย่างเต็มที่นับตั้งแต่ที่เซียวหลินเทียนได้กระบี่คุนอู๋มา และได้เรียนรู้วิชากระบี่จากลวดลายบนกระบี่มาระยะหนึ่งแล้ว วรยุทธ์ของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างมากเขายกกระบี่ขึ้นมาพร้อมใช้วิชากระบี่คุนอู๋ เขาได้เปร
เมื่อเซียวหลินเทียนเห็นว่า เด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเซียวเยวี่ยผู้นั้นร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจในชั่วขณะนี้เซียวหลินเทียนก็คิดถึงเซียวเยวี่ยมาก เขาออกมานานมากจนแทบจะจำมิได้แล้วว่าเซียวเยวี่ยหน้าตาเป็นอย่างไรเมื่อเขาเห็นเด็กผู้นั้น เซียวหลินเทียนก็เกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาทันที“ท่าน พวกเราเข้าไปช่วยเขาเถิด!”เซียวหลินเทียนพูดยังมิทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมา “ใคร?”จากนั้นก็มีบุรุษชุดดำหลายคนวิ่งกรูกันออกมา พร้อมกับเล็งดาบมาที่เซียวหลินเทียนกับหวงฝู่หลิน“พวกเจ้าเป็นใคร?”บุรุษชุดดำที่เป็นผู้นำตะโกนออกมาด้วยความโกรธหวงฝู่หลินจึงยิ้มเยาะ “พวกเจ้าหรือที่ทำลายตำหนักปีกเงินของสหายข้า? ใครเป็นคนวางเพลิง?”“ฮ่าฮ่าฮ่า!”บุรุษชุดดำที่เป็นผู้นำคนนั้นตะลึงไปทันที จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับรู้สึกว่า คำถามของหวงฝู่หลินนั้นแปลกมากความตายจะมาเยือนอยู่แล้ว ยังจะเป็นห่วงอีกว่าใครเป็นคนวางเพลิง คนผู้นี้สมองมีปัญหาหรือไร!“อย่าไปคุยกับเขาให้มากความ สังหารไปเสีย!”ฝูหยางที่อยู่ข้างในตะคอกออกมาอย่างรำคาญ “ตาเฒ่าน่ารังเกียจ เจ้าจะนำออกมาให้หรือไม่ หนึ่ง… สอง…”พวกบุร
หวงฝู่หลินก็มิได้ใส่ใจ เขาค่อนข้างมิพอใจที่เซียวหลินเทียนตามติดตนมาราวกับกอเอี๊ยะที่เหนียวแน่นเช่นนี้ เขาจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีก แต่พลังของปี้ซงมิเท่าพลังของเขา ดังนั้นในเวลามินานเซียวหลินเทียนก็ตามมาทันแล้วใบหน้าของหวงฝู่หลินดูหม่นหมองลง และกำลังคิดว่าจะสังหารเซียวหลินเทียนดีหรือไม่ แต่แล้วเขาได้ยินเสียงแปลก ๆ… มันคือเสียงการต่อสู้ด้วยอาวุธนั่นเองดวงตาของหวงฝู่หลินดุร้ายขึ้นมาทันที และรีบขึ้นไปบนภูเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาขึ้นไปถึงครึ่งทางภูเขา เขาก็เห็นควันหนา ๆ พวยพุ่งออกมาจากตำหนักปีกเงินที่อยู่บนยอดเขานั้นเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!หวงฝู่หลินก็ยิ่งร้อนใจ เหตุผลหลักที่เขาเลือกที่จะมาขอความช่วยเหลือจากตำหนักปีกเงินนั้น ก็เพราะว่าเหวินเหรินจิ้นเจ้าตำหนักปีกเงิน คือหนึ่งในสหายสนิทที่มีเพียงมิกี่คนของเขาและเช่นเดียวกับหวงฝู่หลิน ตำหนักปีกเงินแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ตระกูลเหวินเหรินอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคนแล้ว หวงฝู่หลินมิอนุญาตให้ผู้ใดทำลายวังเทพของตน แล้วเหวินเหรินจิ้นจะยอมให้ใครมาทำลายตำหนักปีกเงินของเขาได้อย่างไรกัน!หรือว่าเหวินเหรินจิ้นจะตกอยู่ในอันตราย?หวงฝู่หลินเร่งฝีเท้า แล้วเดิ