กล้าหรือไม่?แน่นอนว่าคือการกบฏ!องค์ชายเว่ยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ มององค์ชายหนิงด้วยความมิเชื่อพี่น้องคู่นี้กำลังชักชวนให้เขาก่อกบฏ และชิงบัลลังก์จากเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ?จิตใจขององค์ชายเว่ยเต้นระรัว เขา… ทำได้ด้วยหรือ?“องค์ชายเว่ย เจ้าอายุเท่าใดแล้ว?”องค์ชายหนิงคลี่ยิ้ม “ในงานประลองครั้งนี้ เจ้าคงเห็นแล้วว่า ตนเองมิสามารถเทียบเคียงกับอ๋องอี้ได้เลย”“แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะมองเห็นความดีของเจ้า และแต่งตั้งให้เจ้าเป็นรัชทายาท แต่เสด็จพ่อของเจ้ายังมีพระพลานามัยแข็งแรง เจ้าจะต้องรออีกนานเท่าใดกว่าจะได้ขึ้นครองราชย์กัน!”“เจ้ายินยอมให้ตระกูลเว่ย ตระกูลเฮ่อ และอำนาจในมือถูกองค์จักรพรรดิลิดรอนไปทีละน้อย จนในที่สุดก็กลายเป็นจักรพรรดิที่ไร้ความสามารถน่ะหรือ?”เซี่ยโฮ่วตานรั่วกล่าวเยาะหยัน “ข้าเป็นเพียงสตรี แต่ยังมิสามารถทนได้หากต้องอยู่ภายใต้อำนาจของผู้อื่น และถูกผู้อื่นเฆี่ยนตีได้ตามใจชอบ แต่ท่านเป็นถึงองค์ชาย จะยินยอมให้ชะตากรรมของตนตกอยู่ในมือของผู้อื่นได้เยี่ยงไร?”“องค์ชายเว่ย ผู้ที่ทำการใหญ่มิควรลังเล เมื่อโอกาสมาถึงก็ควรรีบคว้าไว้ จงจำเอาไว้ว่า โอกาสมีเพียงครั้งเดียว หากพลา
หากถ้อยคำก่อนหน้านี้ขององค์ชายหนิงทำให้องค์ชายเว่ยหวั่นไหวไปห้าส่วน ถ้อยคำในตอนนี้ก็ทำให้ความหวั่นไหวในใจขององค์ชายเว่ยพุ่งสูงขึ้นไปถึงแปดส่วนแล้วหัวใจของเขาเต้นแรงอย่างควบคุมมิได้อีกครั้งนี่คือโอกาสที่ดีที่สุดอย่างแท้จริง!หากโอกาสนี้ตกไปอยู่ที่องค์ชายคัง องค์ชายคังจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!แต่หากตกมาอยู่ที่ตัวเขาเองเล่า?เมื่อนึกถึงความสามารถของตนในตอนนี้ องค์ชายเว่ยก็อดตั้งคำถามด้วยความมิมั่นใจมิได้ว่า “เหตุใดเจ้าถึงเลือกให้ข้าร่วมมือด้วยเล่า? หากเจ้าสามารถช่วยหนุนหลังองค์ชายคังขึ้นสู่ตำแหน่งดังกล่าวได้จริง และให้เขาหย่าขาดจากจ้าวเจินเจิน เขาก็อาจยินดีจะทำเช่นนั้น!”องค์ชายหนิงหัวเราะเบา ๆ กล่าวว่า “องค์ชายคังไม่มีค่ายกองทหารเสือ... หากต้องการยึดตำแหน่งนี้ไว้ให้ได้อย่างราบรื่น ก็จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากค่ายกองทหารเสือ!”“ดังนั้น ข้าจึงคิดทบทวนมาดีแล้วว่า องค์ชายเว่ยเหมาะสมที่สุด!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความมั่นใจขององค์ชายเว่ยก็เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยองค์ชายหนิงพูดถูก ค่ายกองทหารเสือของจักรพรรดิอู่อันคืออุปสรรคที่ใหญ่หลวงที่สุดในการก่อกบฏหากองค์ชายคังก่อกบฏ ค่ายกอ
เมื่อได้รับการปูทางจากองค์ชายหนิงแล้ว องค์หญิงใหญ่ก็สามารถโน้มน้าวให้องค์ชายเว่ยก่อกบฏได้ง่ายขึ้นมากแต่ว่าองค์ชายเว่ยมิได้แสดงให้เห็นว่าตนถูกโน้มน้าวได้อย่างง่ายดาย กลับทำทีครุ่นคิดอยู่นานราวกับกำลังตัดสินใจอย่างยากลำบากในที่สุด องค์ชายเว่ยก็แสดงท่าทีราวกับตัดสินใจได้แล้ว และตกลงทำตามข้อเสนอขององค์หญิงใหญ่ในแผนการจัดการกับเซียวหลินเทียน องค์หญิงใหญ่และองค์ชายหนิงมีแผนการที่เหมือนกัน นั่นคือยึดวังหลวง แล้วปลอมพระราชโองการเรียกตัวเซียวหลินเทียนเข้าวัง ก่อนจะจับกุมตัวเซียวหลินเทียน“องค์ชายเว่ย เจ้าวางใจได้ ค่ายกองทหารเสือล้วนอยู่ในกำมือของหงเลี่ยง ตราบใดที่เราสามารถช่วยหงเลี่ยงออกมาได้ แม้ว่าเซียวหลินเทียนจะมีวรยุทธสูงส่งเพียงใด ลำพังเขาเองก็ยากที่จะต่อกรกับหมัดหนัก ๆ จำนวนนับมิถ้วน!”“เมื่อถึงเวลานั้น เราจะยกย่องให้เจ้าเป็นจักรพรรดิ! ส่วนป้ามิขออะไรมาก ขอเพียงให้หรงเอ๋อร์ได้กลับมาเป็นองค์ชายอีกครั้งหนึ่ง ได้รับความรุ่งโรจน์และความสงบสุขตลอดชีวิตก็เพียงพอแล้ว!”องค์หญิงใหญ่แสดงท่าทีราวกับกำลังคิดถึงชีวิตในภายหน้าของบุตรชายตนหากไม่มีเรื่องมือขวาของหอเหยี่ยวราตรี องค์ชายเว่ยอาจจ
ฉินรั่วซือตกใจจนชะงักค้าง จากนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านพี่ ท่านหมายความว่าท่านแม่มิตำหนิข้า มิรังเกียจที่ข้าทำให้ตระกูลฉินเสื่อมเสียเกียรติ และยินดีให้ข้าออกเรือนจากบ้านของครอบครัวอย่างนั้นหรือ?”ฉินซานพยักหน้าอย่างเฉยเมย “ท่านแม่ต่อว่าและตำหนิเจ้าก็เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง! แต่บัดนี้ในเมื่อเจ้าได้รับความโปรดปรานจากอ๋องอี้แล้ว ท่านแม่จะขัดขวางเจ้าได้อย่างไร?”“ท่านแม่สั่งให้ข้ามาเพื่อพาเจ้ากลับไป! หากเจ้ายังคิดว่าเราเป็นญาติกัน ก็จงกลับไปกับข้าเถิด!”ฉินรั่วซือรีบพูด “ข้าคิด ข้าคิดสิ จะมิคิดเช่นนั้นได้อย่างไร พวกท่านคือญาติเพียงหนึ่งเดียวของข้าในใต้หล้านี้!”ขณะที่ฉินรั่วซือพูด น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจก็ไหลรินนางพูดเช่นนี้ออกมาด้วยใจจริงแม้ว่าเซียวหลินเทียนจะรักใคร่ปรนเปรอตนอย่างยิ่งยวดในเวลานี้ แต่ฉินรั่วซือกลับรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตานางกลัวว่า ความสุขนี้จะเหมือนกับภาพลวงตาในทะเลทราย หากวันใดพิษของชิวเหวินอิงหมดฤทธิ์ สิ่งที่นางมีอยู่นี้ก็จะไร้ค่าก่อนหน้านี้ นางคิดว่าเมื่อตนได้แต่งงานกับเซียวหลินเทียนแล้ว นางจะต้อง
ต่อมา องครักษ์ลับที่แต่งกายเหมือนเซียวหลินเทียนและสวมหน้ากากก็เดินเข้ามาในห้องส่วนตัวจากประตูลับทั้งสามคนพาเซียวหลินเทียนไปที่ประตูลับอย่างเงียบ ๆ ด้านอิ๋นฮู๋ก็แบกเซียวหลินเทียนลงไปที่ห้องลับใต้ดินของหอริมธาราเมื่อประตูห้องปิดลง สิ่งที่เกิดขึ้นข้างในก็ไม่มีใครได้ยินทั้งสิ้น แม้แต่เสียงที่ดังจากด้านบนก็ยังถูกกลบด้วยเสียงขององครักษ์ลับที่พูดคุยเลียนแบบท่าทางของเซียวหลินเทียนหลิงอวี๋และหลิงซวนลอบออกจากวังมาสักพักหนึ่งแล้ว ไทเฮาทราบเรื่องนี้แล้วเช่นกัน และยินดีช่วยปกปิดให้กับพวกนางด้วยความช่วยเหลือของขันทีโม่ พลังวิญญาณของหลิงอวี๋เพิ่มพูนขึ้นอย่างมากทีเดียว วิธีแก้พิษกู่ก็เป็นสิ่งที่ขันทีโม่แนะนำนางให้หลิงซวนช่วยพยุงเซียวหลินเทียน จัดท่าทางให้นั่งพิงกำแพง แล้วก็เอ่ยว่า “หลิงซวน เจ้าคอยดูข้าอยู่ข้าง ๆ หากเจ้าพบว่าข้ามีอาการคล้ายจะหมดสติ จงใช้เข็มเงินแทงข้าเสีย!”“ข้าจะล่อหนอนกู่ออกมา ระหว่างนี้จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาด มิเช่นนั้นเซียวหลินเทียนต้องถึงแก่ชีวิตเพราะเลือดคั่งในสมองมากเกินไป!”หลิงซวนรู้ว่าเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง จึงพยักหน้าหนักแน่น รับเข็มเงิน แล้วก็คอยเฝ้าอยู่ข้
“ให้ข้าพักสักครู่!”หลิงอวี๋หายใจเข้าออกเพื่อปรับอารมณ์ และสังเกตอาการของเซียวหลินเทียนไปพลางนางล่อหนอนกู่ตัวแรกออกมาแล้ว ฉินรั่วซือคงจะรับรู้ได้เช่นกันก่อนหน้านี้นางได้ให้ฉินซานพาฉินรั่วซือกลับบ้าน และให้ฉินซานวางยาสลบฉินรั่วซือก่อนที่นางจะถอนพิษให้เซียวหลินเทียน เพื่อให้แน่ใจว่าฉินรั่วซือจะมิพบความผิดปกติใด ๆนางสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าเซียวหลินเทียนไม่มีอาการใด ๆ แปลว่าฉินซานได้วางยาสลบฉินรั่วซือตามแผนของนางแล้วหลิงอวี๋ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เตรียมล่อหนอนกู่ตัวที่สองออกมาจากร่างของเซียวหลินเทียนทันทีที่หลิงอวี๋เพิ่งนั่งลงและเตรียมลงมือเซียวหลินเทียนก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง โน้มตัวไปข้างหน้าและกระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมากหลิงอวี๋นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา หนำซ้ำยังอยู่ใกล้มากเลือดทั้งหมดจึงพุ่งไปทั่วใบหน้าและร่างกายของหลิงอวี๋“อาจารย์… เกิดอะไรขึ้น?”หลิงซวนตกใจ รีบก้มลงไปกดเซียวหลินเทียนไว้ร่างกายของเซียวหลินเทียนยังคงสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่ากำลังดิ้นรนที่จะลุกขึ้นดวงตาของเขายังคงหลับสนิท ทว่าร่างกายกลับสั่นสะท้านหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ หลิงซวนคนเดียวกดเขาไว
ริมฝีปากสัมผัสริมฝีปาก ลิ้นเกี่ยวกระหวัดพันกันมันควรเป็นจูบที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก แต่กลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายในทุกวินาทีหลิงซวนมิกล้าแม้แต่จะกะพริบตา จ้องมองทั้งสองคนอย่างมิละสายตา กลัวว่าในวินาทีถัดไปหลิงอวี๋จะถูกพิษทำร้ายจนตาย!หรือไม่เซียวหลินเทียนก็อาจจะกระอักเลือดตายเสียก่อน!ร่างกายของหลิงอวี๋แนบชิดกับเซียวหลินเทียน ใช้ร่างกายของตนช่วยกดการดิ้นรนของเซียวหลินเทียนตอนนี้โลกของนางมีเพียงหนอนกู่ตัวนั้นที่อยู่ในสมองของเซียวหลินเทียน!พลังวิญญาณทั้งหมดของนางจดจ่ออยู่กับหนอนกู่ตัวนั้นนางรู้สึกได้ว่า มันกำลังถูกบางสิ่งดึงรั้งไว้ในหัวของเซียวหลินเทียน ดูเหมือนดิ้นรนอยู่เป็นเวลานานทีเดียวกว่าจะค่อย ๆ ไหลลงมาหลิงอวี๋พบความผิดปกติ การดิ้นรนของเซียวหลินเทียนจะสงบลงก็ต่อเมื่อหนอนกู่ตัวนั้นเลือกทิศทางการเคลื่อนที่ของมันเองได้นางไม่มีเวลาคิดอะไรมาก เพ่งพลังจิตทั้งหมดไปที่หนอนตัวนั้นกลิ่นหอมเอียนของเห็ดสีม่วงแผ่ซ่านไปทั่วทั้งโพรงปาก ชวนให้รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งกลิ่นหอมนี้ยังเป็นเครื่องมือชั้นดีสำหรับดึงดูดหนอนกู่อีกด้วยเพียงดื่มเลือดที่ผสมผสานกับเห็ดสีม่ว
ขณะที่หลิงอวี๋ยังกล่าวมิจบ นางก็รู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่แผ่ซ่านขึ้นมาจากภายในราวกับไฟที่ลุกโชนนางทรุดตัวนั่งลงกับพื้นโดยพลัน แล้วรีบกล่าวว่า “ไปช่วยเซียวหลินเทียนจัดการบาดแผลก่อน ข้าต้องรวบรวมสมาธิเพื่อดูดซับพลังของมัน...”หลิงอวี๋หลับตาลงหลิงซวนตกใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าของหลิงอวี๋แดงก่ำขึ้นมาในชั่วพริบตาเห็ดสีม่วงนี้มีฤทธิ์แรงเช่นนี้เชียวหรือ?หลิงซวนมิกล้ารบกวนหลิงอวี๋ จึงย่องเบา ๆ ไปดูเซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนนั่งก้มหน้าอยู่ ยังคงสลบไสล หลิงซวนตั้งใจจะคลายเชือกให้เขา แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว นางคิดว่ามัดเขาไว้เช่นนี้ต่อไปคงปลอดภัยที่สุดใครจะรู้ว่าเขาอาจคลุ้มคลั่งอีกครั้งแล้วรบกวนการบำเพ็ญเพียรของอาจารย์หรือไม่หลิงซวนย่อตัวลง ใช้ผ้าพันแผลและยารักษาบาดแผลจัดการกับบาดแผลที่ข้อมือของเซียวหลินเทียน จากนั้นนางก็มานั่งรอจนกว่าหลิงอวี๋จะเสร็จสิ้นจากการนั่งฝึกตนในขณะเดียวกันนั้น ที่จวนตระกูลฉินเหตุการณ์ก็มิได้สงบนักเรื่องนี้ต้องกล่าวถึงตั้งแต่ก่อนที่หลิงอวี๋จะทำการถอนพิษกู่ให้กับเซียวหลินเทียนฉินรั่วซือถูกฉินซานพากลับมายังจวนตระกูลฉิน ฮูหยินฉินทำอาหารที่ฉินรั่วซือชอบยกขึ