“เซียวหลินเทียน!”หลิงอวี๋ทนมิไหวอีกต่อไปแล้วจึงตะโกนขึ้นมา “หม่อมฉันมีเรื่องจะคุยกับท่าน!”“พระชายามาแล้วหรือเจ้าคะ!”ฉินรั่วซือรีบลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีมิสบายใจ “ข้า...ข้าขัดขวางเรื่องของพวกท่านหรือไม่? ท่านอ๋อง เช่นนั้นหม่อมฉันขอกลับก่อนเพคะ!”“ซือซือ!”เซียวหลินเทียนดึงแขนฉินรั่วซือเอาไว้ แล้วมองไปทางหลิงอวี๋อย่างมิพอใจ“หลิงอวี๋ มีเรื่องอะไรเจ้าก็พูดมาต่อหน้าซือซือเถอะ ข้ากับนางไม่มีความลับต่อกัน!”ว่ากระไรนะ?ความประหลาดใจของหลิงอวี๋เพิ่มขึ้นจนน่ากลัว นางมองไปทางเซียวหลินเทียนอย่างมิอยากจะเชื่อนางอยากแน่ใจว่าสิ่งที่เซียวหลินเทียนพูดนั้นเป็นคำพูดจากใจจริงหรือไม่?ทว่าต่อให้ดวงตาของนางจ้องมองเขาและเบิกโตขึ้นแค่ไหน มองอย่างละเอียดเพียงใด ก็มิเห็นคำใบ้ที่เซียวหลินเทียนส่งให้ตนเลยแม้แต่น้อยหลิงอวี๋ลองคิดดูอีกที บางทีอาจจะเพราะมีฉินรั่วซือยู่ด้วย เซียวหลินเทียนจึงมิสะดวกที่จะพูด จึงเอ่ย “หม่อมฉันแค่อยากจะมาบอกท่านอ๋องว่า หม่อมฉันกับพวกเยวี่ยเยวี่ยจะไปเดินถนนกัน ท่านอยากจะไปด้วยกันหรือไม่?”“มิไป ข้ามีเรื่องต้องทำอีกมากมาย จะมีเวลาไปกับพวกเจ้าได้เยี่ยงไร! ต่อไปเรื่องเล็ก ๆ เช
นี่… นี่มันรังแกกันเกินไปแล้วจริง ๆ!เหตุผลของหลิงอวี๋หายไปในทันที ต่อให้เซียวหลินเทียนจะมีแผนการหรือว่ายากลำบากแค่ไหน ก็มิสามารถให้ฉืนรั่วซือหยาบคายไร้เหตุผลได้เช่นนี้กระมัง!“ไป เราไปหาเซียวหลินเทียนกัน!”หลิงอวี๋เรียกหานเหมย เถาจื่อและนางรับใช้อีกหลายคนไปด้วยกันหลิงซวนก็รู้สึกว่าเหลือเชื่อ ช่วงนี้ท่านอ๋องอี้มีความรู้สึกที่ดีกับหลิงอวี๋มากขึ้นเรื่อย ๆ มิใช่หรอกหรือ?เหตุใดจู่ ๆ จึงเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้?นางตามหลิงอวี๋ไปที่เรือนริมวารีหลิงอวี๋พุ่งเข้าไปก็เห็นว่าเซียวหลินเทียนกับฉินรั่วซือกำลังชมภาพวาดกันอยู่“เซียวหลินเทียน ท่านมีสิทธิ์อะไรย้ายเครื่องใช้ของเรือนบุหงาของหม่อมฉันไป?”หลิงอวี๋ตะคอกด้วยความโกรธอย่างมิสนใจ “ของเหล่านั้นเป็นของที่ใช้เงินของหม่อมฉันซื้อมา มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับตำหนักอ๋องอี้เลย ท่านมิถามแต่กลับมาเอาไป ต่างอะไรกับโจรเล่า?”เซียวหลินเทียนถูกรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ก็หันไปมองทางหลิงอวี๋อย่ามิพอใจ พลางเอ่ยเสียงเย็นชา “เรือนบุหงาเป็นทรัพย์สินของข้า ข้าแค่เอาของของข้ามานิดหน่อย เจ้ามีสิทธิ์อะไรมามิพอใจ?”“ของของท่านอะไรกัน? หม่อมฉันจะบอกท่านอีกครั้งเพคะ ของเ
“เถาจื่อ ไปหาคนรับใช้สองสามคนมา พวกเราจะไปเรือนมารุตเพื่อขนของกลับ!”หลิงอวี๋ออกมาจากเรือนริมวารี แล้วสั่งด้วยความโกรธเถาจื่อโกรธอย่างที่สุด เมื่อนางและสุ่ยหลิงมาถึง ก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าหลิงอวี๋ได้จัดเรือนบุหงาทีละขั้นอย่างอุตสาหะเพื่อให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน!ในเรือนบุหงา พวกเขาเป็นดั่งครอบครัวเดียวกัน แล้วใครให้สิทธิ์คนพวกนั้นมาเอาของไปตามใจชอบกัน!เถาจื่อไปหาหมิ่นกูทันทีเพื่อเรียกกำลังคนเพิ่มหลิงซวนเห็นสถานการณ์และแนะนำว่า “อาจารย์ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ มีบางอย่างที่น่าสงสัย อย่าได้ทำสิ่งใดบุ่มบ่ามเลยเจ้าค่ะ หาโอกาสหารือกับท่านอ๋องในภายหลังและหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์แย่ลงดีกว่านะเจ้าคะ!”“เจ้าคิดว่า ท่านอ๋องจะให้โอกาสข้าได้หารือดี ๆ รึ?”หลิงอวี๋เต็มไปด้วยโทสะ นางหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “นาง ฉินรั่วซือยังมิได้เข้าทางประตูด้วยซ้ำ กล้ามาทำให้ข้าอับอายเช่นนี้ หากข้ามิสอนบทเรียนให้นางวันนี้ นางคงได้คิดว่าตัวเองเป็นเจ้านายของตำหนักอ๋องอี้ไปแล้วจริง ๆ กระมัง”“เถาจื่อ ไปเรียกคนมา”เถือจื่อรีบไปอย่างเชื่อฟังหลิงซวนมองหลิงอวี๋ด้วยความกังวลแล้วพูดเบา ๆ ว่า “อาจารย์ ท่านมิกล
หลิงอวี๋รอจนกระทั่งเถาจื่อและคนอื่น ๆ ย้ายและจัดเครื่องเรือนเครื่องใช้ในเรือนบุหงาเสร็จเรียบร้อย แต่ทั้งเซียวหลินเทียนและฉินรั่วซือก็มิสามารถหยุดยั้งพวกเขาได้ในตอนแรก นางรู้สึกว่ามันแปลกนิดหน่อย ทำให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่เช่นนี้เซียวหลินเทียนจะมิรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรเมื่อหลิงอวี๋เห็นสาวใช้ซ่อนตัวและแอบย่องไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นว่าตอนที่นางออกมาไม่มีองครักษ์เลยสักคน นางก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับชิวเหวินซวง ตำหนักอ๋องอี้ตนเป็นคนจัดระเบียบใหม่เอง และบุคคลที่น่าสงสัยทั้งหมดที่มิสามารถไว้วางใจได้ก็ถูกขับออกไปหมิ่นกูที่ตนพาเข้ามาก็จัดการพวกที่ขี้เกียจมากเล่ห์ตั้งแต่เข้ามายิ่งกว่านั้น หลิงอวี๋และหมื่นกูได้เพิ่มเบี้ยหวัดของสาวใช้และคนรับใช้ในตำหนักด้วย ตอนนี้ คนรับใช้ทุกคนในตำหนักก็ฟังพวกเขานางในเมื่อนางยังมิได้ตกต่ำ แล้วคนรับใช้กล้าดีใช้เงินเบี้ยหวัดมาประจบประแจงฉินรั่วซือได้อย่างไร!องครักษ์ที่บาดเจ็บยิ่งกว่านั้นก็ปวดหัวและเป็นไข้จึงขอให้คนจากเรือนบุหงาไปเอายามาให้ ด้วยบุญกุศลที่สั่งสมมา วันธรรมดาพวกเขายังไม่มีโอกาสที่จะ
ข่าวดี ๆ มิเคยแพร่ออกไป ข่าวร้ายทีไรอย่างกับไฟลามทุ่งเพียงชั่วข้ามตืน ข่าวที่ว่าฉินรั่วซือย้ายมาอยู่ที่ตำหนักอ๋องอี้ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วแวดวงผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงบางคนที่ขุ่นเคืองกับหลิงอวี๋อย่างเช่นจ้าวเจิ้นเจินนั้น นางกำลังเพลิดเพลินกับความโชคร้ายของหลิงอวี๋ และรอดูว่าหลิงอวี๋จะกลายเป็นหมาหัวเน่าเมื่อใด“ก่อนที่ฉินซานจะได้รับข้อความจากหานเหมย เขาได้รับคำแสดงความยินดีจากสหายร่วมงานที่มีเจตนามิดีหลายคนแล้วใครบางคนพูดขึ้นว่า “ยินดีด้วย ยินดีด้วยจริง ๆ เจ้ากรมฉิน ท่านโชคดีจริง ๆ! เมื่อไหร่พวกเราจะได้ดื่มเหล้ามงคลในงานอภิเษกสมรสของน้องสาวท่านกับท่านอ๋องอี้เล่า?”มีคนพูดอย่างมิพอใจว่า “ทุกวันนี้ ท่านอ๋องอี้มีอิทธิพลมากนัก การเกาะท่านอ๋องอี้ไว้ให้แน่นจะทำให้ท่านประสบความสำเร็จในราชสำนัก ชีวิตภายหน้าของเจ้ากรมฉินต้องสดใสเป็นแน่!”“พวกเราไม่มีน้องสาวที่คู่ควร มิเช่นนั้น พวกเราจะยกนางให้ท่านอ๋องอี้บ้าง…”ฉินซานรู้สึกอับอายและละอายใจอย่างมาก เขาลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ทำได้เพียงเดินออกมาหานเหมยนำข้อความของหลิงอวี๋มาให้ฉินซาน เขาเก็บซ่อนความรู้สึกกังวลไว้แล้วออกไปทันทีหลิง
นี่มันเหลือเชื่อเกินไป!สำหรับ ฉินซานวิธีการใช้กู่เพื่อควบคุมคนเป็นเพียงตำนาน เขามิเคยเห็นใครถูกกู่ควบคุมมาก่อนแล้วฉินรั่วซือเชี่ยวชาญเรื่องนี้ได้อย่างไรเขารู้จักน้องสาวของเขาดี แม้ว่านางจะใจแคบนิดหน่อย แต่นางก็ขี้อายและเชื่อฟังมาโดยตลอดนางทำเช่นนั้นได้อย่างไร!“พระชายาอ๋องอี้ ท่านคิดมากไปหรือไม่?”แม้ว่าฉินซานจะรู้สึกว่าการกระทำของฉินรั่วซือนั้นไม่น่าเอ็นดูเลยสัดนิด แต่เขาก็รู้สึกละอายใจต่อหลิงอวี๋ด้วยเช่นกันแต่เขาก็มิอาจปล่อยให้หลิงอวี๋ใส่ร้ายน้องสาวของตนได้เช่นกันเขาพูดอย่างใจเย็น "ข้ารู้วเจ้ามิชอบที่รั่วซือคอยแต่แข่งขันกับเจ้าเพื่อแย่งอ๋องอี้ แต่เจ้าก็มิควรคิดเตลิดไปไกลแล้วยังคิดมิดีต่อรั่วซือเช่นนี้"“นางไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด”“นางรู้จักอิงเหนียง และนางก็ถูกอิงเหนียงบังคับ นางบอกเรื่องนี้กับข้าทั้งหมดแล้ว เช่นนั้นข้าเชื่อว่านางจะไม่มีทางทำร้ายท่านอ๋องอี้เป้นแน่!”หลิงอวี๋เข้าใจฉินซานและรู้ว่าเขาจะไม่ใช้ความสัมพันธ์ของน้องสาวเพื่อตำแหน่งที่สูงขึ้น ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดจึงมิทำให้หลิงอวี๋โกรธหลิงอวี๋พูดอย่างใจเย็น “อย่างที่ข้าบอกไปเมื่อกี้นี้ หากฉินรั่วซือและท่าน
หลิงอวี๋ยังมิทันได้กลับไปยังตำหนักอ๋องอี้ ก็ถูกสุ่ยหลิงตามมาพบระหว่างทางสีหน้าของสุ่ยหลิงดูมิสู้ดี หลิงอวี๋เห็นก็ใจหายวาบ ถามว่า “สุ่ยหลิง ฉินรั่วซือก่อเรื่องอีกแล้วหรือ?”“พระชายา ข้าอยู่ที่นี่มิได้แล้วเจ้าค่ะ ท่านควรจะหย่าขาดกับอ๋องอี้ พาเยวี่ยเยวี่ยและพวกเราออกจากตำหนักอ๋องอี้ไปเสียเถิดเจ้าค่ะ”สุ่ยหลิงพูดไปพลาง น้ำตาแห่งความคับข้องใจก็ไหลริน“หน้าเจ้าเป็นอะไร?”เถาจื่อสายตาแหลม เห็นสุ่ยหลิงพูดคุยกับหลิงอวี๋พร้อมกับเอียงศีรษะอย่างจงใจ จึงจ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วก็พบว่าข้างแก้มของสุ่ยหลิงบวมแดงเป็นจ้ำ ชัดเจนว่าถูกคนตบหลิงอวี๋ก็สังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน นางเอื้อมมือไปจับสุ่ยหลิง ตรวจดูอย่างละเอียด ก่อนจะเห็นใบหน้าที่บวมเป่งของสุ่ยหลิงหลิงอวี๋ยิ้มเยาะ “เหตุใดกัน? ปกติเห็นเจ้าเก่งกาจนักมิใช่รึ ไฉนจึงยอมให้ฉินรั่วซือตบตีได้เช่นนี้เล่า?”“ผู้ที่ตบมิใช่ฉินรั่วซือ แต่เป็นท่านอ๋องอี้เจ้าค่ะ”สุ่ยหลิงกล่าวอย่างน้อยใจ “หากเป็นฉินรั่วซือตบ บ่าวจะสู้กับนางจนตายไปข้าง”“เพราะเป็นท่านอ๋องอี้... บ่าวจึงมิกล้าสู้เจ้าค่ะ”หลิงอวี๋เข้าใจแล้ว เซียวหลินเทียนตบตีสุ่ยหลิง สุ่ยหลิงม
หลิงอวี๋ตกตะลึงเมื่อเห็นขันทีเซี่ยพาองครักษ์สองสามคนมาจากทิศทางของวังหลวง“ขันทีเซี่ย เจ้าจะไปที่ใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ขันทีเซี่ยมีสีหน้าเคร่งขรึม เดินเข้ามาใกล้หลิงอวี๋ แล้วกระซิบว่า “ไปเชิญอ๋องอี้เข้าวัง! ฝ่าบาททราบเรื่องที่ท่านอ๋องทรงกระทำแล้ว จึงมีรับสั่งให้เชิญท่านอ๋องเข้าวังเพื่อชี้แจงขอรับ”“ฝ่าบาทกริ้วมาก หากครั้งนี้ท่านอ๋องอี้ไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล เกรงว่าองค์จักรพรรดิจะมิทรงประทานโทษให้”ใจของหลิงอวี๋เต้นระรัวโดยสัญชาตญาณ นางสงสัย หรือว่าฉินรั่วซือจะสั่งให้เซียวหลินเทียนไปทำเรื่องโง่เขลาอะไรอีกแล้ว?“ขันทีเซี่ย ท่านอ๋องทำอะไร? เจ้าช่วยบอกข้าหน่อย!”หลิงอวี๋อาศัยความสนิทสนมกับขันทีเซี่ย ซักถามโดยตรง“ท่านมิรู้หรอกหรือ?”ขันทีเซี่ยแปลกใจช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างหลิงอวี๋และเซียวหลินเทียนแน่นแฟ้นดีมาก มิว่าจะทำอะไร หลิงอวี๋ก็มีส่วนร่วมเสมอ เขามิเชื่อว่าเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้หลิงอวี๋จะมิรู้“ขันทีเซี่ย ข้ามิรู้จริง ๆ ช่วงนี้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เจ้าช่วยบอกข้ามาก่อน แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง!”หลิงอวี๋กล่าวอย่างจริงใจหลิงซวนก็ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดจาประจบประแจ