บุตรสาวย่อมเป็นผู้ที่เข้าใจมารดามากที่สุด ถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายนางหวังมาสิบกว่าปี ชีจิ่นเข้าใจอย่างถ่องแท้ทุกการกระทำของนางหวังตั้งแต่แรกแล้วเมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางหวัง นางแทบจะไม่มีการชะงักแม้เพียงเสี้ยววินาที รีบปิดหน้าพลางคุกเข่าลงกับพื้นแล้วร่ำไห้อย่างเจ็บปวด “ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ!หากว่ากระทำผิดแล้วยังใช้ไม้แข็งกับนางหวัง โทสะของนางหวัง ก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนแรกอาจจะคิดแค่เพียงว่าอยากตบเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดก็จะเกิดความวุ่นวายจนถึงขนาดไม่อาจควบคุมได้ทว่าหากยอมรับผิดด้วยท่าทีจริงใจตั้งแต่ต้น แสดงออกว่าจะไม่ทำผิดอีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางหวังกะจะให้โอกาสอีกครั้งหนึ่ง เดิมทีชีจิ่นก็ไม่ได้มีเวลามาคิดใคร่ครวญเรื่องพวกนี้ สิ่งที่ทำทั้งหมดต่างก็อาศัยสัญชาตญาณในช่วงหลายปีที่ผ่านมานางคุกเข่าไถลไปข้างหน้าพลางกอดต้นขาของนางหวังเอาไว้ ร้องไห้ออกมาอย่างปวดใจ “ท่านแม่ ข้ากลัวมากจริง ๆ นะเจ้าคะ! ข้าถูกไล่ออกจากจวน กลัวว่าท่านจะไม่ต้องการข้าแล้วจริง ๆ …”หัวใจคือก้อนเนื้อย่อมมีความรู้สึก นางหวังเห็นนางร่ำไห้อย่างเศร้าโศกเช่นนี้ ภายในใจทั้งเจ็บแค้น
สุดท้ายในช่วงเวลาที่ชี้เป็นชี้ตาย นางหวังก็บีบข้อมือของชีจิ่นเอาไว้แน่น พลางตบปิ่นปักผมทองชิ้นนั้นลงสู่พื้นทุกคนต่างก็ตกตะลึงอวิ๋นเยี่ยนแข้งขาอ่อน ล้มลงกับพื้นดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว พลางกลืนน้ำลายเข้าไปอย่างตึงเครียดสวรรค์ นางเกือบจะคิดว่าคุณหนูของนางจะต้องตายเช่นนี้เสียแล้วเกาเจียหันไปมองนางหวังพลางขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกเป็นกังวลท่านโหวได้ตัดสินความตายไปแล้ว จะต้องกำจัดชีจิ่นทิ้งให้ได้ คิดว่าชีจิ่นอกตัญญู เจ้าแผนการยากจะคาดเดาฮูหญิงกลับมาเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายหากกลับไปในครานี้จะอธิบายกับท่านโหวเช่นไรดี?!ชีจิ่นดวงตาพร่ามัวไปด้วยน้ำตา กระโจนเข้าไปกอดขาของนางหวัง “ท่านแม่!”ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความโล่งอกโชคดี โชคดีที่นางเดิมพันชนะ!หากว่าวันนี้คนที่มาเป็นชีเจิ้น ท่าทางเสแสร้งของนางในครั้งนี้คงจะต้องไม่มีประโยชน์อันใดเป็นแน่ทว่าคนที่มาคือนางหวัง ถึงอย่างไรสตรีก็มีความใจอ่อนมากกว่า แผนการทรมานตนเองของนางเป็นการล่าถอยเพื่อที่จะได้ก้าวไปข้างหน้า ทำตรงกันข้ามเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการนางหวังลูบผมของชีจิ่น พลางยื่นมือไปประคองนางลุกขึ้น “เจ้าไปเถิด!”ชีจิ่นม
ชีหยวนยิ้มโดยไม่พูดอันใด พลางถือกล่องอาหารกลับไปที่หอหมิงเยว่ด้วยตนเอง แม่ครัวหลายคนที่ทำหน้าที่อยู่ในครัวรอจนนางออกไปแล้ว จึงสบตากัน พลางเบะปากหนึ่งในนั้นพลิกหม้อไปมาหลายครั้งด้วยท่าทีประชดประชัน “ที่เหนียวเหนียวนี่มันคืออันใดกัน? คุณหนูใหญ่ผู้นี้…ของดี ๆ มีให้กินไม่กินชอบเอานิสัยเดิมมาใช้เสียจริง!”กลับมาที่จวนแล้ว อาหารที่กินล้วนเป็นอาหารหายาก ทว่าสุดท้ายก็ยังคิดถึงอาหารเลี้ยงหมูที่กินในชนบทพวกนั้นอยู่ตลอดเวลาไม่รู้สึกอับอายบ้างหรือไร?สาวใช้ในห้องครัวอีกคนเปิดเข่งสำหรับนึ่งอาหาร พบว่ายังมีของที่คล้ายกับซาลาเปาสีน้ำตาลอมเทาชิ้นเล็ก ๆ อยู่หลายชิ้น จึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงจิ๊ออกมาเดิมทีนางคิดจะพูดจาแดกดันสักสองสามประโยค ทว่าเมื่อมองเห็นของสิ่งนี้สว่างโปร่งใส ถึงแม้จะเป็นสีน้ำตาลอมเทา แต่ดูไปแล้วกลับเหมือนจะโปร่งใสจนมองเห็นเนื้อที่อยู่ข้างใน จึงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างนางหยิบขึ้นมากัดหนึ่งคำโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทว่าหลังจากนั้นก็อดจะส่งเสียงออกมาอย่างประหลาดใจไม่ได้“รสชาตินี้มัน…” นางพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ “ช่างมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก!”ชีหยวนกลับถึงหอหมิงเยว่เรียบร้อยแล้วในเ
นางชี้ไปที่โต๊ะเล็กข้างหน้าต่าง ก่อนจะถือกล่องอาหารเดินไปนั่งบนเบาะผ้า เซียวอวิ๋นถิงมองนางด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง ก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามเขานิ่งสงบ ราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังอดทนรอเวลา เขาเกร็งไปทั้งตัวราวกับเสือร้ายที่พร้อมจะกระโจนใส่เหยื่อได้ทุกเมื่อคนอย่างเขา หากต้องการจะเอาชีวิตของชีหยวนแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ทันทีแต่เมื่อชีหยวนหยิบอาหารที่คล้ายกับซาลาเปาออกมาจากกล่องอาหาร และวางลงบนโต๊ะ สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปทันที เขาเอื้อมมือไปบีบคอชีหยวนอย่างแรงฝ่ามือขนาดใหญ่สามารถหักคอชีหยวนได้ด้วยมือเดียวแววตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น เขาถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “เจ้าสืบเรื่องของข้างั้นหรือ?!”เซียวอวิ๋นถิงถูกองค์รัชทายาทส่งไปเลี้ยงดูที่ภูเขาหมิงซานในเมืองจูหรง เพราะร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เยาว์วัย เขาเพิ่งจะกลับมาอยู่ที่เมืองหลวงได้ไม่ถึงสามปีแต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ความจริงแล้วเขาอยู่ที่จูหรงได้ไม่กี่วัน ก็ต้องย้ายตามท่านอาจารย์ของเขาโไปยังเมืองเจียงซี และอยู่ที่นั่นจนเติบใหญ่ส่วนสิ่งที่ชีหยวนหยิบออกมานั้น คนทั่วไปอาจไม่รู้จัก แต่เซียวอวิ๋นถิงกลับ
ชีหยวนตื่นตระหนกเพียงชั่วขณะเท่านั้นก่อนที่จะเข้ามาหาเซียวอวิ๋นถิง นางรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่สามารถมีความลับอะไรต่อเซียวอวิ๋นถิงได้ในชาติที่แล้ว นางเคยตามดูเซียวอวิ๋นถิง และได้เห็นฝีมือของเขามาแล้ว บุรุษผู้นี้ถูกขนานนามว่าเป็น “จอมพิพากษาหน้าหยก” สมญานามนี้ไม่ใช่ได้มาเล่น ๆ เพราะเหตุนี้ นางจึงตอบกลับด้วยการยกมือเท้าคาง พรางยิ้มหวานมองเซียวอวิ๋นถิง “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับการที่เราร่วมมือกันเล่า? หรือเพราะว่าข้าน้อยฆ่าคน ท่านอ๋องจึงคิดที่จะผดุงความยุติธรรม ด้วยการส่งตัวข้าน้อยไปให้เหล่าขุนนางตัดสิน?”แม้นางจะรู้ว่า ตอนนี้อำนาจของนางกับเซียวอวิ๋นถิงยังห่างชั้นกันมาก นางควรจะถ่อมตัว และแสดงด้านดีของตนเองออกมาให้มากที่สุดเพื่อโน้มน้าวให้เซียวอวิ๋นถิงช่วยเหลือนางแต่ทว่าทุกครั้งที่นางนึกถึงเรื่องในชาติที่แล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บใจแม้กระทั่งตอนที่นั่งอยู่ เซียวอวิ๋นถิงก็ยังสูงกว่าชีหยวน เขามองนางจากมุมสูง ภายใต้แสงไฟส่องลงมา ใบหน้าของนางดูเด็กและอ่อนเยาว์เป็นอย่างมากแต่ใครจะไปคิดว่าเด็กสาวที่มีใบหน้าอ่อนแอและน่าสงสารเช่นนี้ จะฆ่าคนได้อย่างชำนาญและว่องไวยิ่งกว่า
หลังจากที่ได้คิดทบทวนแล้ว นางก็รู้ว่าตัวเองแค่คนเดียว คงทำให้องค์หญิงใหญ่เชื่อใจได้ยากเพราะเหตุนี้นางจึงตัดสินใจเลือกที่จะให้เซียวอวิ๋นถิงช่วยยังไงเสีย นี่ก็ไม่นับว่านางเอาเปรียบเขา เพราะนางก็มีสิ่งตอบแทนให้แก่เซียวอวิ๋นถิงเช่นกันเมื่อได้ยินชีหยวนเอ่ยถึงองค์หญิงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาของเซียวอวิ๋นถิงก็นิ่งขรึมขึ้นมาทันที “นี่เจ้ากล้าคิดร้ายกับองค์หญิงใหญ่หรือ? ช่างกล้าหาญจริง ๆ !”พูดจบ เขาก็เกิดความสงสัยอีกครั้ง “ชีหยวน ข้าสืบเรื่องของเจ้า สิบกว่าปีก่อนเจ้าเคยอยู่ที่หมู่บ้านสวีเจียมาตลอด ไม่เคยออกไปไหนเลย เจ้าไม่เคยเข้าเมืองด้วยซ้ำ…”เขามองชีหยวนด้วยสายตาเย็นชาในระยะที่มีเพียงโต๊ะคั่นตรงกลาง “เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าองค์หญิงใหญ่พักผ่อนอยู่บนภูเขา แล้วทำไมเจ้าถึงรู้จักข้า ที่สำคัญ เจ้าได้รู้ได้อย่างไรว่าข้าเคยอยู่ที่เจียงซี อีกทั้งยังรู้รหัสลับของพวกมือสังหารกำลังตามล่าข้า?”คำถามเหล่านี้ยิ่งถามก็ยิ่งเร่งเร้า และน้ำเสียงของเขาก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆเมื่อพูดจบ สายตาของเขาได้จ้องเขม็งไปที่ชีหยวนอย่างอาฆาต “ถ้าเจ้าอธิบายไม่ได้ ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้! คิดว่าข้ายังจะต้องพูดเงื่อนไขอ
ชีหยวนอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ท่านพ่อ ข้าจะกล้าแทนที่น้องสาวได้อย่างไร! การที่ได้กลับมานั้น ข้าก็ดีใจมากแล้ว…”นางดูเหมือนกระต่ายตัวน้อยที่กำลังหวาดกลัว สามารถควบคุมและจัดการได้ง่ายดายเมื่อเห็นนางมีท่าทีเช่นนี้ ความเสียใจที่ต้องสูญเสียบุตรีที่เลี้ยงดูมานานกว่าสิบปีของชีเจิ้นก็พลันมลายหายไปไม่น้อย เขาผายมือให้ชีหยวนไปนั่งจากนั้นเขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่เพราะนางเย่อหยิ่งอวดดี ไม่ควรที่จะอยู่ในจวนนี้อีกต่อไป”ชีเจิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตบโต๊ะดังลั่น เมื่อเห็นชีหยวนเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตากลมโต เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าคือบุตรีที่สูงศักดิ์ของตระกูลชี เจ้าคือหน้าตาแห่งตระกูล เข้าใจหรือไม่!”ชีหยวนเข้าใจความรู้สึกของชีเจิ้นในตอนนี้ดีเขาเลี้ยงดูชีจิ่นมาสิบกว่าปี หากชีจิ่นเป็นเพียงเด็กหญิงธรรมดา ก็คงไม่รู้สึกเสียดายหากสูญเสียไปแต่ชีจิ่นเป็นถึงหญิงสาวผู้เพียบพร้อมที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ชีเจิ้นจึงฝากความหวังไว้กับนางมากมายอย่างน้อย ชีเจิ้นก็ตั้งใจจะให้นางแต่งงานกับเหล่าขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์ชีจิ่นเป็นดั่งสิ่งของม
ชีเจิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อยชีหยวนก้มหน้าลงอย่างเศร้าใจ “ข้าเคยได้ยินพี่ใหญ่เล่าให้ฟังว่า ตอนเด็ก ๆ อาจิ่นป่วยบ่อย ท่านแม่ต้องตระเวนไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทุกสารทิศ เพื่อขอพรให้ท่านช่วยปกปักรักษาและเลี้ยงดูอาจิ่นจนเติบใหญ่ ท่านแม่ย่อมรักและอาลัยอาวรณ์นาง”ชีเจิ้นนึกถึงท่าทีของนางหวังก่อนจะจากไปแม้นางหวังจะรับปากอย่างหนักแน่นว่าจะจัดการขั้นเด็ดขาด แต่นางก็รักและหวงแหนชีจิ่นยิ่งกว่าสิ่งใด!ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางหวังทำได้ทุกอย่างเพื่อชีจิ่นช่างน่าหนักใจนัก บางทีนางหวังอาจไม่กล้าลงมือจริง ๆ ก็เป็นได้ชีเจิ้นรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียดายอยู่ลึก ๆ ที่ตนเองปล่อยให้นางหวังจัดการเรื่องนี้แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกให้ชีหยวนเห็น เขาเพียงแต่ยิ้มพลางตบไหล่ชีหยวน “ไม่ต้องกังวลไป นางทำผิดมหันต์ ท่านแม่ของเจ้าเป็นคนที่รู้ผิดชอบชั่วดี นางจะไม่ลำเอียงหรอก เจ้ากลับไปก่อนเถิด ไม่ต้องส่งข้าหรอก”ชีหยวนยิ้มตอบ แต่ทันทีที่หันหลังไป รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันหายไปจนหมดสิ้นนางหวังไม่ได้กลับมาพร้อมกัน นางพอจะเดาได้ว่าชีเจิ้นคงจะมอบหมายให้นางหวังไปจัดการเรื่องของชีจิ่นนางรู้จักนางหวัง
ชีจิ่นตะลึงงันไปโดยพลัน ครานี้จึงเพิ่งตระหนักว่าขาของอ๋องฉีดูเหมือนจะบาดเจ็บ เขาถึงกับไม่อาจลุกขึ้นได้ในฉับพลัน!เกิดอะไรขึ้นกันแน่?!ในความทรงจำของนาง อ๋องฉีเองก็เชี่ยวชาญวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ มีองครักษ์ล้อมหน้าล้อมหลังไม่น้อย ไฉนถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้?ทว่าเมื่อเห็นอ๋องฉีในสภาพนี้ นางก็ไม่กล้าซักถามสักคำ รีบรับคำก่อนวิ่งออกจากห้องไปทันทีอ๋องฉีตะโกนจากด้านในว่า “จินเป่า ยังไม่รีบเข้ามาอีก?!”จินเป่าก้าวเข้าห้องไปด้วยท่าทีหวาดหวั่น ไม่นานนักภายในห้องก็มีเสียงข้าวของแตกกระจายขันทีสวีก็เดินเข้าไป แล้วกลับออกมา พลางขมวดคิ้วแน่น ครั้นเห็นชีจิ่นก็ได้แต่ข่มความหวาดหวั่นในใจ ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าตามข้ามา”ชีจิ่นนึกถึงท่าทางของอ๋องฉีเมื่อครู่ ในใจพลันปั่นป่วนไม่อาจสงบลงได้ผู้ใดกันที่ทำให้อ๋องฉีได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้?นางเติบโตอยู่ในเมืองหลวงมาแต่เยาว์วัย ชีวิตสิบกว่าปีแรกล้วนถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี อีกทั้งเคยเข้าวังหลวงเพื่อเป็นสหายร่วมศึกษาขององค์หญิงมาก่อน ย่อมรู้จักอ๋องฉีอยู่บ้างสาวน้อยคนใดเล่าไม่ใฝ่ฝันจะได้แต่งกับคนมีฐานะสูงศักดิ์ ได้เ
ปลายนิ้วของเขาที่ลูบไล้ผ่านใบหน้า ทั้งร่างของชีจิ่นคล้ายถูกฟ้าผ่า สั่นเทาอย่างไม่อาจห้ามได้นางไม่มีวันลืมท่าทางตอนที่อ๋องฉีจ่อคมกริชเข้าที่ลำคอของนางและรู้ดีว่าคนตรงหน้าผู้นี้สามารถปลิดชีพคนได้ทุกเมื่อเมื่อเกือบผ่านความเป็นความตายมาแล้ว ก็ยิ่งรู้ถึงคุณค่าของชีวิตนางไม่อยากตายนางยังมีเรื่องมากมายต้องทำ ยังมีความแค้นอีกมากที่ต้องสะสางดังนั้นนางจึงโขกศีรษะกระแทกพื้นเสียงดังต่อหน้าอ๋องฉีเพื่อร้องขอชีวิตมือข้างหนึ่งของอ๋องฉีกลับบีบปลายคางของนางเพื่อหยุดการเคลื่อนไหว ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเย็นชาอำมหิต “ข้าให้เจ้าก้มหัวแล้วหรือ? ไร้ประโยชน์สิ้นดี เทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บของนาง ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะพ่ายแพ้ต่อนาง!”เขามองสภาพของชีจิ่นในเวลานี้ ในใจยิ่งคุกรุ่นไปด้วยโทสะต่างก็คลานออกมาจากกองซากศพเหมือนกัน แต่ชีหยวนไม่ว่ายามใดนางก็ยังมีความดุดันแม้ว่าจะยอมค้อมกายหมอบกราบเยี่ยงข้าทาส นั่นก็เป็นเพียงวิธีการของนางเท่านั้น นางยังเต็มไปด้วยไอสังหารพร้อมฆ่าคนอยู่เสมอ บนร่างหาได้มีความเป็นทาสไม่แต่ชีจิ่นต่างออกไป ฝึกมาหลายเดือนแล้ว กลับยังไม่ได้เรื่องเช่นนี้!‘นาง’ ที่เขาหมายถึงเป็น
อ๋องฉีนิ่งเงียบไม่กล่าวคำ ดวงตาฉายอารมณ์ซับซ้อนฉู่กั๋วกงยกมือวางลงบนบ่าของเขา “ท่านอ๋อง ผู้สำเร็จการใหญ่ มิอาจติดอยู่กับความลังเล สตรีผู้นี้อัปมงคลแปลกประหลาดนัก มิควรค่าให้ฝ่าบาทเมตตาปล่อยผ่านไปอีกครั้ง!”เมื่อตัดสินใจไม่เด็ดขาด ย่อมได้รับเคราะห์ในภายหลังอ๋องฉีสูดหายใจเข้าลึก เมื่อนึกถึงตอนที่ชีหยวนปล่อยศรหมายสังหารเขาโดยไร้ซึ่งความปรานี นึกถึงยามนางกระโดดขึ้นหลังม้า คมกริชเกือบปาดผ่านลำคอเขาไป ก็ตัดสินใจแน่วแน่ใช่แล้ว ชีหยวนไม่เคยเมตตาต่อเขา แล้วเขาจะปรานีไปเพื่ออันใด!เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบรับ “ท่านตาคิดจะทำอย่างไรเล่า?”ฉู่กั๋วกงได้ยินก็รู้ว่าเขาตอบตกลงแล้ว จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อีกไม่กี่วันก็เป็นวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลหวัง”ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลหวัง...อ๋องฉีนึกไม่ออกว่าเป็นใคร จนกระทั่งฉู่กั๋วกงเอ่ยบอก เขาถึงเพิ่งนึกได้ว่านางเป็นยายแท้ ๆ ของชีหยวนเขาหัวเราะขึ้นเบา ๆ “นางเป็นคนไร้หัวใจเช่นนั้น วันเกิดของยายแล้วอย่างไร? นางไม่มีทางไป”ชีหยวนไม่เป็นที่ชื่นชอบของมารดาแท้ ๆ อีกทั้งตัวนางเองก็เป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ ไม่เห
ลิ่วจินเกาหัวแล้วเดินจากไปเหลียนเฉียวที่คอยรับใช้ข้างกาย มองชีหยวนด้วยสีหน้าเป็นกังวล “คุณหนูใหญ่ นี่ท่าน...”พูดจาแข็งกระด้างเกินไปแล้วกระมัง?แท้จริงแล้วพระราชนัดดาองค์โตเป็นผู้มีอุปนิสัยดีนัก อีกทั้งยังคอยช่วยเหลือคุณหนูใหญ่ทุกทางแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่คุณหนูใหญ่ต้องเผชิญหน้ากับพระราชนัดดาองค์โต นางกลับคอยต่อต้านและป้องกันราวกับแผ่หนามทั่วร่างอยู่เสมอชีหยวนไม่ได้ตอบคำใดนางย่อมรู้ดีว่าเซียวอวิ๋นถิงไม่ได้มาด้วยตนเอง เป็นเพราะกำลังขุ่นเคืองแต่แล้วอย่างไรเล่า?การสูญเสียเป็นเรื่องปกติของชีวิตไม่คาดหวังเสียแต่แรก ก็ไม่มีทางผิดหวังยิ่งไปกว่านั้น หากคนผู้หนึ่งรู้ว่าตนมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด เช่นนั้นก็สามารถแบกรับความทุกข์ทุกรูปแบบได้นางทำได้ ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ นางก็ไม่ต้องการความสงสารใด ๆ จากใครทั้งสิ้น เดินไปให้ไกลที่สุดด้วยกำลังของตนเองอย่างองอาจคนที่ไม่กลัวการสูญเสีย ย่อมไม่มีสิ่งใดต้องหวาดหวั่นเมื่อลิ่วจินกลับถึงตำหนักตะวันออก เซียวอวิ๋นถิงเสด็จกลับจากการเยี่ยมเยียนองค์รัชทายาทที่ประชวร เพิ่งกลับถึงตำหนักบรรทมทุกครั้งที่ไปเยือนตำหนักองค์รัชทายา
ไม่ได้หรอกดังนั้นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่หลังความตายเหล่านั้นจึงเป็นเพียงเครื่องปลอบประโลมคนเป็นเท่านั้นแต่เกี่ยวข้องอันใดกับนางเล่า?ท่านโหวผู้เฒ่ามองนางอย่างไม่เข้าใจ “หลิ่วจิงหงตายไปอย่างมีเกียรติเพียงนี้ เจ้ามิร้อนใจบ้างหรือ?”“ไยต้องร้อนใจเจ้าคะ?” ชีหยวนพลันแย้มยิ้ม “หากพวกเขาชอบเกียรติยศเช่นนี้นัก ข้าส่งให้พวกเขาได้อีกหลายครั้ง”......ท่านโหวผู้เฒ่าพูดไม่ออกก่อนหน้านี้เมื่อมองดูพิธีอันยิ่งใหญ่ เขายังรู้สึกกังวลกระวนกระวายใจแต่ตอนนี้ เมื่อได้ยินถ้อยคำของชีหยวน เขากลับรู้สึกว่าความเกรียงไกรเช่นนั้นอย่าได้มีเลย หากมีอีกหลายครั้ง บรรดาเจ้านายของจวนฉู่กั๋วกงคงสิ้นชีพเกือบหมดจวนเป็นแน่เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สงบสติอารมณ์ “เรื่องของบิดาเจ้า ไม่รู้ว่าราบรื่นหรือไม่”หากราบรื่นและสามารถพาตัวพระชายาหลิ่วกลับมาได้ เช่นนั้นย่อมเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ต่อตระกูลหลิ่วถึงเวลานั้น ตระกูลหลิ่วคงไม่มีเวลามาจับจ้องตระกูลชีและชีหยวนอีกต่อไปชีหยวนยังไม่ทันกล่าวต่อ หลิวจงก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนเสียก่อน “ท่านโหวผู้เฒ่า คุณหนูใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาเชิญท่านทั้งสอง บอกว่า... บอกว่าได้รับเทียบเช
ฉู่กั๋วกงลูบหลังมือของภรรยา แล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ยว่า “การแต่งงาน”แต่งงานหรือ?ฉู่กั๋วกงฮูหยินชะงักงัน มองสามีอย่างไม่อยากเชื่อสายตาสามีนางโกรธจนเสียสติไปแล้วหรือไร?หญิงสาวคนนั้นเพิ่งสังหารบุตรชายของพวกเขาไป ยังทำให้อ๋องฉีบาดเจ็บสาหัส แล้วบัดนี้ เขาจะไปสู่ขอชีหยวนหรือ?!พอเห็นสีหน้าของฮูหยิน ฉู่กั๋วกงก็รู้ว่านางคิดเลยเถิดไปเสียแล้ว อดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มบางเบา “ฮูหยิน บางครั้งการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป”เขากล่าว จากนั้นก็กระซิบสองสามประโยคข้างหูฉู่กั๋วกงฮูหยินสีหน้าของฮูหยินฉู่กั๋วกงเดี๋ยวแดงก่ำ เดี๋ยวเขียวคล้ำ สุดท้ายในดวงตาก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้น “ดี!”นางเอ่ยพูด ดวงตาก็ยังคงแดงก่ำ “แต่ว่าท่านกั๋วกง บุตรชายของเราเล่า... บุตรชายของเราจะทำเช่นไร?”จะล้างแค้นอย่างไร คนที่ตายไปแล้วก็มิอาจฟื้นคืนชีพต่อให้ชีหยวนตายหมื่นครั้ง ก็ไม่อาจทดแทนบุตรชายของนางได้แม้เพียงปลายเล็บเมื่อกล่าวถึงบุตรชาย ฉู่กั๋วกงเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กันหลายคืนที่ผ่านมา ยามเขาหลับตานอนก็หวาดหวั่นใจนัก ได้ยินเสียงร้องโหยหวนและฝันเห็นสภาพน่าเวทนาของของบุตรชายแต่ยิ่งเป็นเช่นนั้น เขากลับยิ่งต้องรั
จะจัดการเช่นใดเล่า?หลิ่วจิงหงเป็นทายาทแห่งจวนฉู่กั๋วกง อีกทั้งยังเป็นผู้สืบทอดที่โดดเด่นที่สุดของจวนบัดนี้ เขาสิ้นชีพแล้ว ส่วนอ๋องฉียังบาดเจ็บสาหัส จวนฉู่กั๋วกงย่อมบ้าคลั่งเป็นแน่ท่านโหวผู้เฒ่ากดมือฮูหยินผู้เฒ่าไว้ มองนางคราหนึ่งเป็นเชิงห้ามปรามไม่ให้กล่าวมากความแล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างมั่นคงว่า “การช่วงชิงอำนาจ ล้วนแย่งชิงกันด้วยชีวิตอยู่แล้ว”แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ชาในถ้วยของท่านโหวผู้เฒ่ากลับหมดแล้ว ทว่าเขายังคงยกขึ้นแตะริมฝีปากจิบราวกับยังมีอยู่ ก่อนจะวางลงด้วยสีหน้าราบเรียบจากนั้นจึงหันไปมองชีหยวน เอ่ยว่า “แต่ว่า สิ่งที่ย่าของเจ้าคิดก็ถูกแล้ว แม่หนูหยวน เจ้าทำให้ฟ้าทะลุเป็นโพรงแล้ว ต่อจากนี้คงมิพ้นภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่”ชีหยวนรับคำเสียงเบา ก่อนจะกล่าวว่า “ทุกสิ่งที่ข้ากระทำล้วนอยู่ในเงามืด หลิ่วจิงหงและอ๋องฉี พวกเขาทั้งสองล้วนเลี้ยงดูหน่วยกล้าตาย นั่นคือโทษทัณฑ์ประหารเก้าชั่วโคตร ชีวิตของข้าไร้ค่า ทว่าพวกเขากลับหวงแหนชีวิตนัก ดังนั้นไม่ต้องกลัวไปหรอกเจ้าค่ะ ในที่แจ้งพวกเขาย่อมมิกล้าทำอันใดข้า”กล่าวคือ การลงทัณฑ์ทางกฎหมายนั้น อย่าคิดเลยว่าจะใช้กับนางได้ผลหาไม่แล้ว ต่อให้
ท่านโหวผู้เฒ่ารออยู่ในเรือนหมิงเยว่ของชีหยวนมาโดยตลอดเมื่อครั้งชีหยวนออกไป ต้นไห่ถางกลางลานยังเปลือยเปล่าปราศจากใบเขียว แต่บัดนี้กลับผลิใบอ่อนออกมาแล้วเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเลื่อนลอยพริบตาเดียว ชีหยวนคืนมาได้เกือบสามเดือนแล้วในสามเดือนนี้ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกินเขาตั้งสติให้มั่น พอเห็นไป๋จื่อออกมา เขาก็สูดหายใจเข้าลึก เอ่ยถามว่า “คุณหนูใหญ่ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วหรือ?”ตอนที่ชีหยวนกลับมานั้นแลดูเหมือนคนเถื่อน ผู้ใดจะเชื่อว่านางคือบุตรสาวคนโตแห่งจวนโหว?คนที่ไม่รู้เห็นแล้วคงคิดว่าเพิ่งไปขุดถ่านจากซีเป่ยกลับมาฮูหยินผู้เฒ่าไอขึ้นมาคราหนึ่ง รีบตบแขนท่านโหวผู้เฒ่าเบา ๆ พลางถลึงตาใส่เขาไป๋จื่อแย้มยิ้มเปี่ยมสุขนับแต่ติดตามชีหยวนมา นางก็ได้ใช้ชีวิตอันสุขสบายเกินกว่าที่เคยนึกฝันสาวใช้ที่ออกจากเรือนหมิงเยว่ ยามอยู่ในจวนโหวก็ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกแต่ก่อนบรรดาเจ้านายที่ไม่คิดจะเสียเวลามองพวกนาง บัดนี้กลับมีท่าทีอ่อนโยนลงถนัดตาโชควาสนานั้นเลี้ยงบำรุงผู้คนได้จริง ๆ ยามนี้นางเปี่ยมล้นด้วยพลังชีวิต นางยิ้มเบิกบานพลางขานรับว่า “คุณหนูใหญ่เชิญท่านโหวผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่
หัวไหล่ของอ๋องฉีถูกเขย่าแบบนั้น โลหิตพลันไหลทะลักออกมาอีกครั้ง ฉู่กั๋วกงรีบปล่อยมือออก ประคองอ๋องฉีไปนั่งบนตั่ง เห็นสภาพอ๋องฉีแล้ว ภายในใจของฉู่กั๋วกงเองก็เจ็บปวดแทบขาดใจ เขาลูบไหล่อ๋องฉีเบา ๆ : “ท่านอ๋องไม่ต้องรีบร้อน กระหม่อมจะช่วยสะสางหนี้แค้นนี้ให้ท่านเดี๋ยวนี้” อ๋องฉีเงยหน้ามองเขา ในที่สุดก็พอจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง: “จะล้างแค้นอย่างไร?” ฉู่กั๋วกงกระตุกมุมปากขึ้นอย่างเยือกเย็น: “ประเดี๋ยวท่านก็จะได้ทราบเอง” บัดนี้แน่นอนว่าชีหยวนย่อมไม่ทราบเรื่องราวระหว่างอ๋องฉีและฉู่กั๋วกง แม้นางจะไม่รู้ แต่ก็พอจะเดาได้ไม่ยาก คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้ แต่ไม่ยอมให้คนอื่นมาแต่ต้องพวกตนอย่างเด็ดขาด บัดนี้พวกเขาเสียท่าไปตั้งขนาดนี้ ต้องกำลังรวมหัวกันคิดหาหนทางสังหารนางอยู่แน่ เซียวอวิ๋นถิงมาส่งนางถึงหน้าประตูจวนโหว เห็นนางดูไม่รู้จักตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ก็รู้สึกเหลืออดขึ้นมาหน่อย ๆ : “เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้าสักคำจริงหรือ?” ล่วงเกินคนไว้ตั้งมากมายเพียงนั้น ออกไปครั้งเดียว ก็ลวงหลิ่วจิงหงไปสังหาร ทำให้อ๋องฉีบาดเจ็บสาหัส มิหนำซ้ำยังกวาดล้าง