“ฮูหยิน การตรวจสอบความจริงก็หาใช่เรื่องยากอันใด” ชีหยวนมองนางพลางยิ้มบาง ๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเรื่องโกหก ข้าก็ยืนอยู่ตรงนี้ ท่านอยากจะสังหารข้าก็ทำได้ทุกเมื่อ แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเรื่องจริง...”หากตรวจสอบแล้วว่าเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นสำหรับฮูหยินโจวแล้วคงไม่ผิดอะไรไปจากฟ้าถล่มลงมา!นางย่อมรู้จักเฉินฮ่าวฮุยดี เขาเป็นคนสนิทของสามีนางเขาก็เป็นเพียงสุนัขรับใช้ เชือกที่ใช้จูงเขาอยู่ในมือของโจวเสี่ยวเผิงร่างของฮูหยินโจวสั่นระริก สีหน้าสลับกันระหว่างซีดขาวและเขียวคล้ำชีหยวนเอนกายลงบนเก้าอี้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “ฮูหยินโจว ท่านเป็นภรรยาที่ดีจริง ๆ แต่เขาเป็นสามีที่ดี เป็นบุตรที่ดี เป็นบิดาที่ดีหรือไม่?”สามคำถามถูกเอ่ยออกมา สีหน้าของฮูหยินโจวพลันซีดขาวราวหิมะมีเพียงสตรีเท่านั้นที่รู้ว่าสตรีให้ความสำคัญกับสิ่งใดที่สุดนางแต่งงานกับโจวเสี่ยวเผิงมาหลายปี ผู้คนภายนอกต่างกล่าวว่าเขาเป็นบุรุษที่เอาใจใส่ ทั้งยังเคารพและปฏิบัติต่อภรรยาเช่นนางอย่างอ่อนโยน เป็นสามีที่ไร้ที่ติแต่ความจริงแล้ว โจวเสี่ยวเผิงไม่เคยใส่ใจเรื่องในบ้านเลยแม้แต่น้อยมารดาของเข
ชีหยวนยิ้มบาง ๆ “ฮูหยินโจว สมแล้วที่เป็นบุตรีแห่งตระกูลเซี่ย ช่างเด็ดขาดแน่วแน่โดยแท้”สตรีหลายนางเมื่อแต่งเข้าสกุลสามีแล้ว ก็มักถือว่าตนเป็นคนของตระกูลนั้นโดยสมบูรณ์ทว่าเห็นได้ชัดว่า ฮูหยินโจวหาใช่สตรีเช่นนั้นไม่ชีหยวนลอบถอนหายใจเบา ๆ อย่างแนบเนียนฮูหยินโจวถอนหายใจยาว รู้สึกว่าความอัดอั้นในอกพลันคลายลงบ้าง ก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าช่วยตระกูลเซี่ยได้จริงหรือ?”นี่เป็นข้อหากบฏที่โทษร้ายแรงเชียวนะ!ชีหยวนพลันยิ้ม นางลุกขึ้นปัดฝุ่นบนร่าง “ฮูหยินวางใจเถิด ข้ากล่าวว่าสามารถช่วยได้ เช่นนั้นย่อมต้องช่วยได้”กล่าวจบ นางก็หันไปถามฮูหยินโจวด้วยเสียงแผ่วเบา “ฮูหยิน โจวเสี่ยวเผิงไม่ใช่ว่ากำลังปราบปรามโจรภูเขาหรอกหรือ?”เมื่อเอ่ยถึงโจรภูเขา สีหน้าของฮูหยินโจวพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อยใช่แล้ว เมืองเจียงซีนั้นอยู่ติดกับฝูเจี้ยน พวกโจรสลัดทางฝูเจี้ยนมักลี้ภัยจากการกวาดล้างของราชสำนักและหลบหนีเข้าป่าภูเขาในเจียงซี และตั้งตนเป็นใหญ่ที่อำเภอฮุ่ยชางนั้นมีรังโจรอยู่แห่งหนึ่ง พวกมันมักยกพวกลงจากเขามาปล้นสะดม ทำให้ราษฎรเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ถึงขั้นที่ก่อนหน้านี้ พ่อค้าชาในเจียงซีที่ต้องเดินทางผ่าน
หากเป็นเมื่อก่อน โจวเสี่ยวเผิงคิดแทนนางเช่นนี้ ฮูหยินโจวคงตื้นตันใจจนน้ำตาคลอเป็นแน่แต่บัดนี้ เพียงแค่คิดว่าเขาจับตัวคนในตระกูลของนางไปโดยไร้สุ้มเสียง ซ้ำยังใส่ร้ายว่ากบฏ นางก็ไม่กล้าแตะต้องขนมนั้นเลยฮูหยินโจวปฏิเสธอย่างอ่อนโยน “วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมื้อเย็นไม่ถูกปากหรืออย่างไร รู้สึกไม่ค่อยสบายท้อง เก็บไว้กินพรุ่งนี้เถิด”“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” โจวเสี่ยวเผิงขมวดคิ้ว “หากกระเพาะไม่ดี ก็ยิ่งต้องกินอะไรไว้บ้าง ไม่กินอะไรเลย จะไม่หิวแย่หรือ?”กล่าวจบ เขาหยิบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้วยื่นส่งให้นาง “กินเถิด ยังอุ่นอยู่เลย!”ฮูหยินโจวหาได้อยากกินไม่ “ช่างเถิด ข้ากินไม่ลงจริง ๆ พรุ่งนี้ค่อยกินก็เหมือนกัน”แต่ทันใดนั้นโจวเสี่ยวเผิงกลับหงุดหงิดขึ้นมาน้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปเป็นไม่พอใจทันที “บอกให้กินเจ้าก็ต้องกิน! ข้าซื้อขนมมาเพราะเป็นห่วงเจ้า เจ้ายังคิดจะปฏิเสธความหวังดีอีกหรือ?”ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ทั้งโจวเสี่ยวเผิงและฮูหยินโจวต่างตกตะลึงดวงตาของฮูหยินโจวพลันแดงก่ำ “ท่านพี่ นี่หมายความว่าอย่างไร? ข้าเพียงแค่กระเพาะไม่ดี ไม่อยากกินขนมเท่านั้น... ท่านต้องขึ้นเสียงใส่ข้าถึงเ
เมื่อเห็นศพที่ล้มลงกับพื้น ฮูหยินโจวก็กรีดร้องด้วยความตกใจ ก่อนจะล้มลงไปเช่นกัน นางใช้มือทั้งสองยันพื้นไว้ทั้งร่างสั่นระริกบางทีอาจเพราะตึงเครียดเกินไป นางพลิกตัวไปด้านข้างอยากจะอาเจียนออกมา น้ำตาหยดโตไหลลงมาเป็นสายเวลาเพียงแค่วันเดียว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด กลับคล้ายกับว่าได้ผ่านไปเป็นสิบปีนางใช้มือกดแน่นที่อกตนเอง นั่งนิ่งอยู่บนพื้นมองไปยังโจวเสี่ยวเผิงซึ่งยังลืมตาค้างอยู่ไม่ไกล ตกอยู่ในความเงียบงันชีหยวนเอื้อมมือไปดึงมีดออกจากร่างของโจวเสี่ยวเผิง นางเห็นว่าเขาตายตาไม่หลับก็ไม่ได้ใส่ใจนัก คนแบบนี้ตายตาไม่หลับก็ดี จะได้มองเห็นผลลัพธ์ของสิ่งที่ตนกระทำไว้ทั่วทั้งห้องเงียบสนิท เงียบจนสามารถได้ยินเสียงลมหายใจเมื่อเห็นชีหยวนชักมีดออกแล้วลุกขึ้นยืน ฮูหยินโจวรีบวิ่งตามหลังนางไป “คุณหนูใหญ่ชี ข้า... ตอนนี้ข้าควรทำอย่างไร?”น้ำตาของนางไหลพรั่งพรูอย่างไม่อาจควบคุมได้ “เขาเป็นขุนนางของราชสำนัก หากเขาตายไปราชสำนักจะต้องสืบสวนแน่นอน!”ยังมีเฉินฮ่าวฮุย เขาเป็นสุนัขรับใช้ของโจวเสี่ยวเผิง ตอนนี้โจวเสี่ยวเผิงตายไปแล้ว แล้วเฉินฮ่าวฮุยจะไปหาที่พึ่งที่ดีเช่นนี้ได้จากที่ใดอีกเล่า?เขาจะต
ดังนั้น ฮูหยินเจ้าเมืองซ่งจึงให้เกียรตินางมาโดยตลอดเมื่อชีหยวนให้นางไปพบฮูหยินเจ้าเมือง นางก็ตอบรับในทันที “ได้ ข้าจะได้เข้าพบเจ้าเมืองซ่งแน่นอน!”ชีหยวนจึงกระซิบเบา ๆ ข้างหูนางสองสามประโยคยามค่ำคืนล่วงเลย เฉินฮ่าวฮุยเสร็จจากเที่ยวสำมะเลเทเมาในหอนางโลม ร้องเพลงไปตลอดทางขณะเดินกลับเรือนของตนเองเขาเพิ่งก้าวเข้าประตู ภรรยาของเขาก็รีบเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง “เหตุใดจึงเมากลับมาดึก ๆ อีกแล้ว? ข้า...”นางยังกล่าวไม่ทันจบประโยค เฉินฮ่าวฮุยก็เตะนางกระเด็นไปทันที “พร่ำเพ้ออะไรนักหนา ไสหัวไปให้พ้น! ข้าแต่งเจ้าเข้ามาแล้วช่างซวยนัก เจ้าคอยดูเถิด รอให้ข้ามั่งมีเมื่อใด อย่างแรกที่จะทำก็คือปลดเจ้า!”สวีผิงถูกเตะจนกระเด็นล้มลงไปชนกระถางต้นไม้ ร่างกายกระแทกพื้นจนมึนงง พอได้ยินเสียงเขาตะโกนด่าทอลูก ๆ ในห้องนางก็พลันตกใจแล้วรีบวิ่งเข้าไป ก็เห็นเฉินฮ่าวฮุยกำลังใช้รองเท้าหวดใส่บุตรชายคนโตไม่ยั้งมือ“ไอ้โง่! ทำไมข้าถึงมีลูกอย่างเจ้าได้?! ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ไอ้คนโง่นั่นน่ะ แค่ส่งมันไปตายในหุบเขาสักแห่งก็จบแล้ว!”เฉินฮ่าวฮุยยกมือฟาดรองเท้าลงไปบนร่างลูกชายคนโตไม่หยุด “แม่เจ้าไปเป็นชู้กับใครถึงได
เขาพุ่งเข้าไปหมายจะกอดหญิงงามให้เต็มอ้อมแขนแต่สิ่งที่ต้อนรับเขากลับไม่ใช่อ้อมกอดและร่างอันหอมหวนอ่อนนุ่มของหญิงงาม กลับเป็นความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้ความจริงแล้วร่างกายที่เมามายตอบสนองได้ไม่รวดเร็วนัก ดังนั้นกว่าที่เฉินฮ่าวฮุยจะรู้สึกถึงความเจ็บ ก็ใช้ไปเวลาสักพัก ถึงจะตระหนักได้ว่าแขนตัวเองถูกกรีดเป็นแผลยาวเขากุมบาดแผล ความมึนเมาสลายหายไปกว่าครึ่ง ดวงตาเบิกกว้างมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความหวาดกลัวก่อนหน้านี้เขามองว่านางเป็นนางฟ้าที่จุติลงมาจากสวรรค์ บัดนี้กลับเห็นเป็นอสูรที่บังเกิดจากนรกริมฝีปากของเขาสั่นระริก เอ่ยถามขึ้น: “เจ้า...เจ้าเป็นใครกันแน่?”แต่ชีหยวนไวกว่าเสียงของนางเสียอีกนางคว้าเก้าอี้ข้างตัวขึ้นมาอย่างสบาย แล้วฟาดลงไปบนร่างเฉินฮ่าวฮุยทันทีศีรษะของเฉินฮ่าวฮุยถูกฟาดจนแตกเลือดอาบ ตอนนี้เขาไม่สนใจหญิงงามอะไรอีกแล้ว รีบชักดาบที่เอวออกมาฟันใส่ชีหยวนทันทีเมื่อมีอาวุธในมือ หัวใจของเขาก็รู้สึกมั่นคงขึ้นมาหน่อยแต่ว่าเขาจะฟันไปไม่กี่ครั้ง กลับไม่สามารถฟันเข้าตัวชีหยวนได้เลยสักนิดหญิงสาวผู้นี้ช่างเป็นดุจภูติผีปีศาจเสียจริง ไม่รู้ว่านางหลบได้อย่างไร รู้แค่ว่าตอนนี้
เหมือนกับตอนที่เขาเผชิญกับโชคร้ายของตระกูลเซี่ย ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับตระกูลนั้นเลย แต่กลับเลือกจะฉี่ใส่หน้าของเซี่ยเยวียนต่อหน้าคนมากมาย เพื่อเหยียดหยามเซี่ยเยวียนผู้ชายแบบนี้มันน่ารังเกียจที่สุดรอยยิ้มบนใบหน้าของนางหายไปทันที: “ข้านึกว่าคนแบบพวกเจ้าจะไม่รู้จักความเจ็บปวดเสียอีก ที่แท้ เจ้าก็รู้ว่ามันเจ็บและรู้ว่ามันน่ากลัวเหมือนกันสินะ?”เพราะบาดแผลมากมาย และเสียเลือดมากเกินไป สติของเฉินฮ่าวฮุยก็ค่อยๆ เลือนราง เขาแทบจะแยกไม่ออกแล้วว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นลูกหลานของใครที่เขาเคยทำร้ายเอาไว้แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังรีบยกเอาคนหนุนหลังของตัวเองขึ้นมา: “เจ้า เจ้าอย่าทำอะไรไปเรื่อยนะ! ตอนนี้ข้าเป็นถึงขุนนางทหาร เบื้องหลังข้ามีผู้ว่าการ ยังมี ยังมีอ๋องฉี เจ้ารู้หรือไม่ว่าการล่วงเกินท่านอ๋องจะมีผลอย่างไร?”ภายใต้แสงตะเกียง สีหน้าของชีหยวนไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อยนางแค่ตอบรับ ย่อตัวลงอย่างเฉยเมย มองดูเฉินฮ่าวฮุยที่ขดตัวถอยหนีอย่างหวาดกลัว: “ไม่มีใครช่วยเจ้าได้ รวมถึงอ๋องฉีที่เจ้าว่า เจ้าทำชั่วไว้มากมาย สวรรค์ไม่ลงโทษเจ้า งั้นข้าจะเป็นคนจัดการเอง”สิ้นคำ นางหมดความอดทนที่จะพูดอี
เมื่อฟ้าสาง ทุกคนค่อยๆ ตื่นจากนิทรา ชีหยวนก็ได้ฆ่าขุนนางคนสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้วนางปัดมือเบาๆ และไปหาฮูหยินเซี่ยอย่างชำนาญลู่ทางเพียงแค่ข้ามคืนเดียว เพราะด้วยความกังวลเรื่องครอบครัว นางดูแก่ลงไปเป็นสิบปีเมื่อเห็นชีหยวน ฮูหยินเซี่ยก็เบิกตากว้างรีบพุ่งเข้าไปหา ถามด้วยความตื่นตระหนก: “แม่นาง อาเยวียนเป็นอย่างไรบ้าง? เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”เซี่ยเยวียนเป็นคนที่มีสติปัญญาด้อยกว่าคนทั่วไป ดังนั้นการใช้ชีวิตจึงยากลำบากมาตลอด ในอดีตเขายังพอใช้ชีวิตอย่างสบายได้เพราะมีครอบครัวคอยปกป้อง แต่ถ้าไร้ซึ่งการดูแลจากครอบครัวแล้ว คนแบบเขาย่อมไม่มีทางอยู่รอดได้ในโลกภายนอกแค่คิดถึงเรื่องนี้ ฮูหยินเซี่ยก็แทบจะอยู่นิ่งไม่ได้ชีหยวนเดินไปนั่งข้างฮูหยินเซี่ยแล้วพูดเสียงเบา: “จะไม่เป็นอะไร ท่านเชื่อฉันเถอะ พวกท่านทุกคนจะปลอดภัย”แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความเชื่อหรือไม่เชื่อ ฮูหยินเซี่ยถอนหายใจลึกมีคำกล่าวว่า เจ้าเมืองทำให้ครอบครัวล่มสลาย นายอำเภอทำให้ตระกูลถูกฆ่าล้างโจวเสี่ยวเผิงตั้งใจจะกวาดล้างสกุลเซี่ยให้สิ้นซากจริงๆเมื่ออยู่ต่อหน้าประเทศและศาลาว่าการ ร่างเล็กๆ ของคนธรรมดาย่อมดูเล็กจ้
ให้ตายเถอะ ไปมีเรื่องกับนางไม่ได้จริง ๆระหว่างทางที่มาในเมื่อครู่นี้ เขาได้เจอกับพ่อบ้านของตระกูลชีแล้ว พ่อบ้านของตระกูลชีถึงกับตกตะลึงไปแล้ว แต่ก็ยังยืนยันว่าคุณหนูใหญ่ของพวกเขาตกใจกลัวอย่างมาก เหล่านักฆ่าพวกนั้นล้วนเป็นองครักษ์ของตระกูลชีที่สังหารไปเองคำพูดพรรค์นี้ ก็คงมีแค่เจ้าเมืองทงโจวเท่านั้นที่เชื่อหลอกผีอยู่รึไงชีหยวนน่ะหรือจะตกใจกลัว?!นางอาจจะทำให้พญายมตกใจกลางดึกได้ แต่ไม่มีทางที่จะถูกนักฆ่าแค่ไม่กี่คนทำให้ตกใจกลัว!ดูจากตอนนี้แล้ว ก็จริงอย่างที่คิดเลยเซียวอวิ๋นถิงจนกระทั่งเห็นนางนั่งอยู่บนขั้นบันไดอย่างปลอดภัย เท้าของนางเหยียบอยู่บนอกของชายคน ถึงได้ถอนหายใจออกมาช้า ๆ เดินเข้าไปใกล้อีกนิด มองชายคนนั้นแวบหนึ่งแล้วถามชีหยวนว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”“ไม่เป็นไร อยู่ดีมาก” ชีหยวนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ยังคงจ้องชายคนนั้นต่อไป “ข้าแนะนำให้เจ้าพูดให้เร็วหน่อย ข้าเป็นคนไม่มีความอดทนมากนัก ถ้าคำตอบของเจ้าไม่ถูกใจข้า หรือบิดเบือนความจริง ข้าก็รีบจะถลกหนังเจ้าไปทำกลองหนังมนุษย์เสีย ส่วนพวกพ้องของเจ้าข้าง ๆ ข้าก็จะเอาพวกเขาทำเป็นโคมไฟหนังมนุษย์ ส่งไปให้เจ้านายของเจ้าด้วย
ครอบครัวทหารของตระกูลชี?ชีหยวนเพียงแค่เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มพลางยกดาบขึ้นฟันลง ฟันนิ้วของชายคนนั้นขาดไปหนึ่งนิ้วชายคนนั้นส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นทันที“คิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไง?” ชีหยวนหัวเราะเยาะเสียงเย็นชา “จี้โจวอยู่ไกลจากที่นี่แค่ไหน? ข้าไม่สนหรอกว่าพวกเจ้าจะเป็นครอบครัวทหารของตระกูลชีจริงหรือไม่ ข้าถามแค่ว่า ในเมื่อเป็นคนของตระกูลชี ไฉนถึงรู้ความเคลื่อนไหวของข้าล่วงหน้า มาดักฆ่าข้ากลางทาง แล้วยังจงใจบุกมาฆ่าคนในบ้านพักชนบทนี้อีกด้วย?”อย่าบอกว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นบ้าคลั่งจนเสียสติไปแล้วหากพวกเขาคลุ้มคลั่งขนาดนั้น ตระกูลชีก็คงล่มสลายไปนานแล้วส่วนคนที่เหลือ สมาชิกบ้านรองและบ้านสามของจระกูลชีต่างประพฤติตัวดี เพราะท่านโหวผู้เฒ่าชีเป็นผู้ชัดเจนมาโดยตลอด บรรดาศักดิ์เป็นของบ้านหลัก ทรัพย์สมบัติเมื่อถึงเวลาก็แบ่งกันอย่างยุติธรรมมีแต่คนเสียสติถึงสร้างปัญหากับบ้านหลักอีกอย่างถ้าต่อกรกับบ้านหลักจริง เช่นนั้นก็น่าจะไปฆ่าชีเจิ้นหรือชีอวิ๋นจื่อสิ ฆ่านางไปจะมีประโยชน์อะไร?ชีหยวนพลิกกริชในมือเล่น กริชหมุนลื่นในมือนางไหลราวกับมันมีชีวิต หมุนพลิกตามการควบคุมข
นางคิดไว้แล้วว่าจะให้พวกเขาตายอย่างไร แต่นางไม่คิดว่า พวกเขาจะใจร้อนเยี่ยงนี้! อีกทั้ง ดักซุ่มโจมตีนางกลางทางก่อน ขณะเดียวกันก็บุกเข้ามาฆ่าคนในบ้านพักชนบท ขณะที่นางฆ่าฟันศัตรู นางก็ยังมีเวลาคิดไปด้วยว่า เจ้าขันทีสุนัขนั่นคิดจะทำอะไรกันแน่?! ฆ่าเพื่อระบายความแค้นแค่นั้น? ไม่สิ พวกขันทีจิตวิปริตทั้งนั้น ยิ่งเป็นตัวประหลาดที่ควบคุมกององครักษ์เสื้อแพรได้แบบเขา จะต้องวิปริตยิ่งกว่าคนธรรมดา มันไม่มีทางแค่ต้องการทำลายบ้านพักชนบทของนางกับฆ่าคนของนาง เพื่อสั่งสอนนางเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นั้น บ้านพักชนบทผืนนี้……เป็นบ้านพักชนบทของตระกูลชี องครักษ์นายหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังคา พุ่งกระโจนเข้าใส่ชีหยวน ชีหยวนยกมือขึ้นปล่อยเกาทัณฑ์แขนเสื้อโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย หลังจากยิงคนร่วงลงพื้นแล้ว นางก้าวเข้าไปเหยียบบนแผลเขา ย่อตัวนั่งลง ถามเสียงเย็นชา “พวกเจ้าเป็นใคร?” เจ้าขันทีสุนัขกล้าส่งคนมาฆ่าคนในขึ้นวันปีใหม่อย่างเปิดเผยแบบนี้ เช่นนั้นไม่มีทางทิ้งหลักฐานแน่นอน คนพวกนี้ไม่มีทางเกี่ยวข้องโยงใยถึงเจ้าขันทีสุนัขนั่นได้แน่ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ จวนโหวไม่มีทางไม่แจ้งทางการ เจ้าขันทีสุนัข
จะตามทันได้อย่างไรกันเล่า?! คุณหนูใส่กระโปรง แต่คุณหนูใหญ่กลับขี่ม้าแบบนั่งหันข้างได้! หลายปีแล้วที่ไม่เห็นใครขี่ม้าเยี่ยงนี้ นางดูเหมือนเติบโตมาพร้อมกับหลังม้ายังไงยังงั้น พูดแบบไม่เกรงใจเลยนะ พวกเขาก็ติดตามรับใช้ท่านโหวกับท่านโหวผู้เฒ่ามาหลายปี แต่ทักษะการขี่ม้าของท่านโหวกับท่านโหวผู้เฒ่ายังไม่ดีถึงขั้นนี้เลย คุณหนูไปฝึกทักษะการขี่ม้าขั้นเทพเช่นนี้มาจากไหนกันแน่? ความเร็วของชีหยวนนั้นรวดเร็ว แทบจะไปถึงบ้านพักชนบทด้วยความเร็วปานลมกรดและสายฟ้าแลบ บ้านพักชนบทผืนนี้ไม่ใช่ของนาง แต่เป็นของตระกูลชีที่มอบให้นาง เพื่อเป็นการชดเชยให้กับนาง เดิมทีนางอยากจะทำให้มันเป็นบ้านของตัวเอง ตอนนี้บ้านหลังนี้ถูกทำลายไปแล้ว บนประตูหน้าบ้านยังคงติดยันต์เทพผู้พิทักษ์ประตูที่สลักจากไม้ท้อ โคมแดงสองดวงแขวนอยู่ตรงระเบียง หน้าเรือนยังมีเศษกระดาษสีแดงจากการจุดประทัด กระทั่งยังได้กลิ่นดินปืนจาง ๆ ที่โชยมา แต่ตอนนี้ประตูใหญ่เปิดอ้ากว้าง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากด้านใน วันขึ้นปีใหม่ ตามธรรมเนียมทางชนบท ชาวนาที่เช่านาทำมักจะมาอวยพรเจ้าของที่ดินในวันขึ้นปีใหม่ ต่อให้เจ้าของที่ดินไม่อยู่ ไปคาร
ไม่ใช่มารีดไถเงิน ที่แท้คือมาฆ่านาง!วันปีใหม่แท้ ๆ ช่างรีบร้อนเสียจริงอ๋องฉีกับผู่อู๋ย่งผู้นั้น ต้องมีคนใดคนหนึ่งเกี่ยวข้องแน่ในขณะที่นางเพิ่งแตะพื้น ก็มีจอบฟาดลงมาตรงหน้านาง ความเร็วนั่น ทำเอาผู้คนตกใจจนแทบหยุดหายใจ นี่เหมือนชาวบ้านธรรมดาที่ดูซื่อ ๆ ที่ไหนกัน? นี่คือองครักษ์ฝีมือดีที่ถูกฝึกมาอย่างดีหลิวจงเห็นภาพนั้นก็ตกตะลึงจนตัวแข็ง เขารู้อยู่แล้ว เขารู้อยู่แล้วว่าตามคุณหนูใหญ่ออกมาข้างนอกไม่มีวันเป็นเรื่องดีได้ สวรรค์ นี่ยังไม่ทันถึงบ้านพักชนบทเลย!คนเหล่านี้เป็นใครกันแน่!ไม่สนใจว่าเป็นใครแล้ว เขาร้องตะโกนสุดเสียงกับองรักษ์ “อย่าห่วงข้า อย่าห่วงข้า ช่วยคุณหนูใหญ่ ช่วยคุณหนูใหญ่ก่อน!”ถ้าคุณหนูใหญ่เป็นอะไรไป เขากลับไปก็คงถูกท่านโหวกับท่านโหวผู้เฒ่าหั่นเป็นชิ้นอยู่ดี!แต่ดูเหมือนความกังวลของเขาจะเกินจำเป็นไปหน่อยเพราะชีหยวนที่ลงพื้นก็รับจอบได้อย่างพอดิบพอดี ใช้แรงเหวี่ยงตัวกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ นั่งคร่อมคอชายท่าทางซื่อ ๆ คนนั้น จากนั้นใช้ขาบิดรัดคอเขาอย่างแรง จนคอของเขาหักเอียงไปข้างหนึ่ง……เสียงกรีดร้องของหลิวจงขาดหายไปทันทีสวรรค์!เขาประเมินคุณหนูใหญ่ต่ำเก
วันขึ้นปีใหม่ ทั่วทั้งเมืองต่างพากันจุดประทัดและดอกไม้ไฟเสียงประทัดดังสนั่นทำให้ชีหยวนนอนไม่หลับ นางตื่นแต่เช้าตรู่แม้ว่าโดยปกติแล้ว นางไม่จำเป็นต้องไปคำนับผู้ใหญ่ตอนเช้าและเย็น แต่เพราะวันนี้เป็นวันปีใหม่ อีกทั้งนางก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในตระกูลชี ดังนั้นนางจึงไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าชีที่เรือนเมื่อเห็นนางมา ฮูหยินผู้เฒ่าชีก็ดีใจเสียจนไม่รู้จะทำเช่นไรดีทั้งยังรู้สึกโชคดีในใจ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์นั้นต้องค่อย ๆ สร้างขึ้นจริง ๆดังนั้นเมื่อชีหยวนบอกว่าอยากไปที่บ้านพักชนบทของตระกูล ฮูหยินผู้เฒ่าชีก็ไม่รู้สึกว่าแปลกแต่อย่างใดเดิมทีชีหยวนก็แตกต่างจากคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไปอยู่แล้ว นางจึงไม่ใช้ข้อบังคับแบบเดียวกันกับชีหยวนนางไม่เพียงแต่อนุญาตโดยไม่ลังเล อีกยังเตรียมข้าวของให้นางมากมาย พร้อมกับกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ถ้าเจ้าชอบเด็กสาวสองคนที่นั่นจริง ๆ ก็พาพวกนางกลับมาก็ย่อมได้”ชีหยวนปฏิเสธเสียงแข็งทันทีบางทีสำหรับหลีฮวาและชิงเถา นี่อาจเป็นทางออกที่ดีแต่ในเมื่อมีวาสนาพบเจอกันแล้ว นางก็ไม่อยากให้พวกนางต้องเป็นทาสรับใช้ใคร มีชีวิตที่ไร้อิสระ มิเช่นนั้นคงไม่ให้พวกนางอ่านเขียนตั้งแต
ผู่อู๋ย่งจึงหันมามองเขาอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก “เจ้าเป็นหลานของขันทีสวี”ขันทีน้อยยิ้มพลางตอบรับผู่อู๋ย่งพยักหน้าเบา ๆ “เมื่อองค์หญิงเสด็จไปแล้ว เจ้าก็มาติดตามข้า ดีหรือไม่?”คำพูดมีเหตุมีผล ถ่ายทอดสารได้ชัดถ้อยชัดคำ ดูท่าแล้วน่าจะเคยเรียนหนังสือมาก่อน เป็นต้นกล้าดีที่สามารถเก็บไว้ฝึกฝนข้างกายได้จะปล่อยให้พวกโจรสลัดตงอิ๋งได้ไปง่าย ๆ ทำไมกัน?เสี่ยวสวีจื่อ รีบคุกเข่าลงโขกศีรษะทันที “ขอบพระคุณปู่บุญธรรมที่เมตตา ข้าน้อยจะฟังแต่บัญชาขององค์หญิงและคำสั่งของท่านเท่านั้นขอรับ!”ผู่อู๋ย่งคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สุดท้ายก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังตำหนักขององค์หญิงเป่าหรงแต่ก่อนยามพบองค์หญิงผู้นี้ นางมักทรงภูษาล้ำค่า ระยิบระยับด้วยไข่มุกและอัญมณี งามสง่าเกินผู้ใดทว่ายามนี้ นางเพียงปล่อยผมหลุดลุ่ย ไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่อง เมื่อเห็นเขาเข้ามา ก็ไม่แม้แต่จะเผยแววอารมณ์ใดมากนักกลับทำให้ผู่อู๋ย่งมององค์หญิงผู้นี้ใหม่อีกครั้ง “องค์หญิงไม่กลัวหรือ?”“กลัวแล้วมีประโยชน์ใด?” องค์หญิงเป่าหรงลุกขึ้นจากพื้นด้วยสีหน้ารำคาญ แล้วหันมาจ้องผู่อู๋ย่ง “ไม่ต้องพูดพร่ำให้มากความ ทั้งข้าและจวนกั๋วกงต้องตกต่ำถ
ผู่อู๋ย่งยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ย่อมมีผู้ใต้บังคับบัญชาไปสืบเรื่องราวในอดีตของชีหยวนปีใหม่นี้ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดนักปีก่อนๆ เขาเคยได้ติดตามไปไหว้บรรพชนที่ศาลบูรพกษัตริย์ เป็นผู้ถวายธูปและส่งธูปให้ฮ่องเต้หย่งชาง แต่ปีนี้กลับกลายเป็นขันทีเซี่ยก็ช่างเถิด พอฮ่องเต้หย่งชางเสด็จกลับวัง เรียกขุนนางใหญ่ของสำนักขุนนางหลวงเข้าเฝ้า แต่ก็ยังไม่ได้เรียกเขาไปด้วยนี่ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่!ผู่อู๋ย่งหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาย่อมรู้ดีว่าเหตุใดตนจึงถูกฮ่องเต้หย่งชางเมินเฉยเช่นนี้เมื่อก่อนเขามีความสัมพันธ์อันดีกับจวนฉู่กั๋วกง เมื่อครั้งเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปราน เขาก็เคยเอ่ยวาจาช่วยเหลืออยู่บ่อยครั้งเมื่อครั้งที่ฮ่องเต้โปรดปรานทั้งเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยและจวนฉู่กั๋วกง เรื่องนี้ได้นำพาผลประโยชน์มาให้เขาไม่น้อยแต่บัดนี้ สิ่งเหล่านั้นกลับกลายเป็นมลทินของตัวเขาผู่อู๋ย่งสีหน้ามืดหม่น สวมผ้าคลุมเดินไปตามเส้นทางยาวเหยียดกำลังจะกลับเรือนพักของตน ก็เห็นขันทีน้อยผู้หนึ่งก้มหน้าก้มตารอเขาอยู่ที่หัวมุมอย่างนอบน้อม เขาอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขันทีน้อยพอเห็นเขาก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวด้วยเสียงประ
สำหรับนางแล้ว ปีนี้คือปีแห่งการเกิดใหม่ สองขาแข็งแรงดียังไม่ถูกตัดทิ้ง เป็นปีที่มิได้ถูกชีจิ่นกับชีอวิ๋นถิงดูแคลนเป็นจุดจบที่สวยงาม และการเริ่มต้นที่งดงามนางจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมเหลียนเฉียวรับเงินไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วอุทานว่า “คุณหนู นั่นคืออะไรเจ้าคะ!”ชีหยวนอุ้มอาหวงเงยหน้ามอง เห็นโคมลอยดวงหนึ่งลอยละลิ่วลงมาตรงกับศีรษะนางพอดีนางขมวดคิ้วทันที ระแวงโดยสัญชาตญาณว่าในนั้นอาจมีผงยาไม่เช่นนั้น เหตุใดจึงลอยมาตกในเรือนของนางพอดิบพอดีถึงเพียงนี้?นางรีบสั่งให้ทุกคนแยกตัวออกห่างใครจะรู้ว่าโคมลอยนั้นแค่ลอยละล่องแล้วร่วงลงมา ไป๋จื่อร้องอุทาน หยิบพู่หยกที่เปล่งประกายเรืองรองชิ้นหนึ่งจากในโคมขึ้นมา “คุณหนู นี่คือเครื่องรางของอารามไป๋อวิ๋นไม่ใช่หรือเจ้าคะ?!”ในเหมืองแร่บนเขาไป๋อวิ๋นมีหยกเรืองแสงเช่นนี้ แต่ได้ยินว่าขุดได้ยากนัก ดังนั้นแล้ว ทุกปีที่มีผู้คนไปขอเครื่องรางในช่วงปีใหม่ น้อยคนนักที่จะขอได้เหตุใดจึงมาปรากฏอยู่ในโคมลอยเล่า?ชีหยวนหลุบตาลง เอ่ยเสียงขรึมกับไป๋จื่อว่า “เก็บใส่กล่องไว้เถิด”เมื่ออ๋องฉีกลับถึงจวนอ๋องแล้ว มองเห็นโคมไฟแขวนอยู่เ