นี่คิดจะทำอะไรกันแน่!? ลำพังแค่คิดว่าทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาล้วนถูกอ๋องฉีจับตาดูอยู่ เขาก็รู้สึกครั่นคร้ามขึ้นมาแล้ว เขาเองก็เคยลังเลว่าเรื่องนี้อาจจะกลายเป็นเรื่องเล็กลงได้ และจะหายไปในที่สุดหรือไม่ แต่ชีหยวนเตือนเขาแล้ว ขณะนั้นมีคนอยู่ในเหตุการณ์จำนวนมาก บรรดาแขกเหรื่อต่างรู้แล้วว่าสาเหตุที่ไฟไหม้ศาลบรรพบุรุษขึ้นมาก็เป็นเพราะหานเยว่เอ๋อ และรู้ด้วยว่าหานเยว่เอ๋อและอ๋องฉีเขียนจดหมายส่งถึงกัน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ตระกูลชีอยากจะกดมันลงไปปิดไว้ให้มิดชิดสักเพียงใด ก็กดมันลงไปไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ตระกูลชีจะพยายามกดมันลงได้สำเร็จแล้ว ถึงกระนั้นตนเองก็ต้องอดทนกลืนความเจ็บช้ำไว้อยู่ดี แต่ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง อ๋องฉีเขาจะเชื่อหรือ? เขาจะเชื่อหรือว่าตระกูลชีจะไร้ซึ่งความรู้สึกโกรธแค้น? ในเมื่อทางไหนก็ไม่เป็นผลดีแล้ว เช่นนั้นเหตุใดไม่บีบให้อีกฝ่ายยอมแพ้ก่อนเสียเลยเล่า? พวกเขาตระกูลชีก็มิใช่ผลพลับอ่อนที่จะยอมให้ใครมาบีบเล่นก็ได้! เขาผลักหานเยว่เอ๋อไปด้านหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ท่านอ๋อง ถ้อยคำนี้ควรจะเป็นข้าน้อยมากกว่าที่ถาม! ข้าน้อยต้องการถามว่
คนที่มามุงดูรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางฝูงชนอ๋องฉีมองเห็นใบหน้าซึ่งดูคุ้นเคยอยู่หลายคน เหล่านั้นล้วนเป็นบ่าวรับใช้ของจวนอ๋องอู๋ และจวนอ๋องโจว จะยอมให้เหตุการณ์ความวุ่นวายยาวนานไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เขาได้แต่จำใจเอ่ยปากอย่างเยือกเย็น “มีเรื่องอันใด หย่งผิงโหวไม่สู้เข้ามาคุยกันให้ชัดเจนในจวนของข้าดีกว่า!” เขาควรจะให้ชีเจิ้นเข้ามาคุยกันในจวนตั้งแต่แรก ถึงแม้ว่าชีเจิ้นน่าจะไม่ยอมตกปากรับคำก็เถิด บัดนี้เรื่องราวยิ่งลุกลามใหญ่โตเกินไปแล้วจริง ๆ ชีเจิ้นแค่นเสียงฮึ่มออกมาอย่างเย็นชา ก็จะเอ่ยวาจาถากถางว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อยมิบังอาจ! ที่ข้าน้อยเดินทางมาครั้งนี้ เพราะอยากจะคุยกับท่านอ๋องให้ชัดเจน แม่นางคนนี้มีความผูกพันลึกซึ้งกับท่านอ๋อง มีอะไรก็เล่าให้ฟังทั้งหมด! แม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างอาหารในแต่ละมื้อ ขนมหวานของว่างของแต่ละมื้อในหนึ่งวันนั้นมีอะไรบ้างล้วนรายงานต่อท่านอ๋องครบถ้วนทุกกระบวน ข้าน้อยรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก!” ทุกคนพลันส่งเสียงเกรียวกราวทันที หา แม่นางหานเยว่เอ๋อคนนี้ทำเกินไปแล้วกระมัง? ไม่เชื่อใจตระกูลชีมากเพียงนี้เชียวหรือ? คนเขาหนึ่งวันสามมื้อกินอะไรบ้างแค่เรื
ในเมื่อโปรดปรานแม่นางคนนี้เพียงนั้น ก็ควรจะต้องแสดงท่าทางโปรดปรานเอ็นดูออกมาด้วยมิใช่หรือ? หานเยว่เอ๋อเย็นเยียบไปทั้งตัว นางมองอ๋องฉีด้วยสายตาอ้อนวอน ขอบตาแดงก่ำใครเห็นก็ต้องสงสาร อ๋องฉีสีหน้ามืดครึ้มจนน่าพรั่นพรึง มองหานเยว่เอ๋อปราดหนึ่ง เขาก็กัดฟันกรอด ๆ ชีเจิ้นพาหานเยว่เอ๋อมาทิ้งหน้าประตูใหญ่ของจวนเขาต่อหน้าคนจำนวนมากมายเพียงนั้นในเมืองหลวง และยังประกาศต่อหน้าทุกคนว่าเขามีสัมพันธ์ส่วนตัวกับหานเยว่เอ๋อ หากว่าเขาไม่รับหานเยว่เอ๋อเข้าไปในจวนแล้ว น้ำลายจากปากชาวบ้านคงท่วมท้นจนอ๋องอย่างเขาจมน้ำตายได้แน่ ๆ วันรุ่งขึ้นเมื่อผู้ตรวจการเข้าทูลรายงานน้ำลายคงปลิวว่อน ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อคนเข้าจวนของเขามาแล้ว จะให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมิได้เป็นอันขาด หากสังหารให้ตาย คนทั้งโลกจะพากันคิดว่าท่านอ๋องอย่างเขาเริ่มต้นด้วยความหลงจบลงด้วยการทอดทิ้ง และสังหารคนปิดปาก! ช่างเลวทรามขาดคุณธรรมอย่างถึงที่สุด! จวนหย่งผิงโหวเลวทรามยิ่งนัก! เขาไม่อยากมองต่อแม้สายตาเดียว หมุนตัวและกลับเข้าไปในจวนอ๋องทันที ขันทีสวีส่งสายตาให้จินเป่า ทันใดนั้นจินเป่าก็สั่งให้คนไปพาหานเยว่เอ๋อและเหลียนเอ๋อร์เข้ามา
หานเยว่เอ๋อหน้าซีดเผือด ในใจทั้งเคียดแค้นและรู้สึกหวาดกลัวชีหยวน แม่นางคนนี้แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก! นางร้องไห้พลางอธิบายกับอ๋องฉี “ท่านอ๋อง จดหมายเหล่านี้ หม่อมฉันมิได้เป็นคนเขียนเองเพคะ! ไม่ใช่หม่อมฉันเลยเพคะ!” อ๋องฉีได้ยินเช่นนั้น ก็นำจดหมายเหล่านั้นที่จินเป่าเพิ่งเก็บเข้ามาเมื่อครู่ทั้งหมดมากางบนโต๊ะทรงพระอักษร ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “นี่คือลายมือของเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย” หานเยว่เอ๋อสะดุ้งเฮือกในใจ กลัวว่าอ๋องฉีจะรู้สึกว่านางปราศจากความรอบคอบถึงได้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น ก็รีบอธิบายด้วยความร้อนใจทันที “ท่านอ๋อง จดหมายเหล่านี้ข้ามิได้เป็นคนเขียนจริง ๆ เพคะ เป็นชีหยวนเพคะที่ปลอมแปลงขึ้นมา!” การเคลื่อนไหวของอ๋องฉีพลันชะงักไป ได้ยินความเช่นนั้นก็หรี่ตามองหานเยว่เอ๋อ “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าชีหยวนเป็นปลอมแปลงขึ้นมา?” มองจากข้อมูลที่หานเยว่เอ๋อส่งมาเมื่อก่อนหน้านี้ นางยังมั่นใจว่าชีหยวนมิใช่คนที่เก่งกาจมีความสามารถอะไร หานเยว่เอ๋อขยี้ตา “ท่านอ๋อง ตราประทับลัญจกรบนนี้ นางสามารถมองออกได้ในแวบเดียวและเป็นคนท้วงติงหย่งผิงโหวและโหวผู้เฒ่าด้วยเพคะ! ตอนแรกแม้แต่หย่งผ
บัดนี้ชีเจิ้นกลับมาจากพาตัวหานเยว่เอ๋อไปส่ง นางขมวดคิ้วพลางถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านโหว หานเยว่เอ๋อมีความสัมพันธ์ลับกับอ๋องฉีมานานแล้วจริงหรือเจ้าคะ…” ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความผิดหวังขมขื่นปะปนกัน อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเมื่อก่อนที่อ๋องฉีเคยพยายามเอาอกเอาใจชีจิ่นอยู่หลายครั้งหลายครา คล้ายกับว่าชีจิ่นพิเศษกว่าคนอื่น ก็สบถด่าในใจขึ้นมาด้วยความเหลืออด บุรุษไม่เคยมีที่ดีเลยสักคน! เคราะห์ดีชีจิ่นไม่ต้องแต่งกับอ๋องฉีแล้ว มิเช่นนั้นใครจะรู้ว่าต้องประสบพบเจอเคราะห์กรรมแบบใดบ้าง! ชีเจิ้นส่งเสียงตอบรับในลำคอ แต่พูดถึงหานเยว่เอ๋อขึ้นมาสีหน้าเขายังคงย่ำแย่เหมือนเคย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงขรึมขึ้นว่า “นับจากนี้ไปห้ามมีผู้ใดตระกูลเราเอ่ยถึงหานเยว่เอ๋อผู้นี้ขึ้นมาอีกเป็นอันขาด แล้วก็ยังมีอีกเรื่อง จงไปตรวจสอบพวกบ่าวรับใช้ที่ก่อนหน้านี้เคยสมคบกับหานเยว่เอ๋อทั้งหมด ใครสมควรขายก็ขายออกไป ใครสมควรส่งตัวไปที่บ้านนอกกันดารก็ส่งตัวมันไปให้พ้น อย่าให้มันผู้ใดปรากฏตัวอยู่ในเรือนอีก!” นางหวังตอบรับตามคำสั่งของเขา ชีเจิ้นหยัดกายขึ้นยืน “ข้าจะไปหาท่านพ่อเพื่อบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อสักหน่อย เจ
คำพูดนี้ขององค์หญิงใหญ่มิใช่เจตนาพูดให้รู้สึกตื่นกลัวราชวงศ์ต้าโจวมีความเข้มงวดยิ่งในการควบคุมเรื่องลี้ลับหรือพวกมนต์ดำในหมู่ราษฎรหากใครผู้ใดในหมู่ราษฎรพรางเป็นเทพแสร้งเป็นผี แอบอ้างเที่ยวหลอกลวงต้มตุ๋น ทางศาลจะถือว่าผู้นั้นเป็นปีศาจ และเผาผู้นั้นให้ตายเพื่อเป็นการตักเตือนราษฎรคำพูดที่ชีหยวนพูดออกมาเหล่านี้ เพียงพอที่จะทำให้นางตายได้เป็นร้อยครั้งเมื่อลองคิดดู เซียวอวิ๋นถิงพบว่านางไม่ย่างเท้าออกจากเรือน แต่กลับรู้เรื่องของเมืองเจียงซีได้ รวมถึงครั้งนี้ ถึงกับสามารถลากตัวหานเยว่เอ๋อที่ซ่อนตัวอยู่ในตระกูลฉีออกมาได้อีก ก็ทำให้รู้สึกคล้อยตาม มองชีหยวนอย่างเฉยเมย: “แค่พึ่งสิ่งเหล่านี้หรือ?”ชีหยวนไม่ได้รีบร้อน มือทั้งสองกุมถ้วยไว้ เม้มริมฝีปาก: “หากองค์หญิงและท่านอ๋องยังต้องการให้หม่อมฉันพิสูจน์มากกว่านี้ เช่นนั้น หม่อมฉันทราบว่าเหตุใดอ๋องฉีจึงจงใจซื้อตัวหานเยว่เอ๋อ และให้นางแทรกซึมอยู่ในจวนหย่งผิงโหว ข้อนี้ จะใช้เป็นหลักฐานว่าหม่อมฉันแตกต่างจากคนทั่ว ๆ ไปได้หรือไม่เพคะ?”ความหวังในใจขององค์หญิงใหญ่ ที่ถูกจุดประกายด้วยซาลาเปาแป้งมันเทศในตอนแรกค่อยๆ หายไปเพราะนางเลอะเลือนเอง โลกนี
ชีหยวนรู้สึกสับสนในใจที่นางรู้เรื่องเหล่านี้ จะว่าไปแล้วเป็นเพราะนางเคยติดตามเซียวอวิ๋นถิงในชาติก่อน เซียวอวิ๋นถิงเป็นคนสั่งให้นางไปสืบหาความจริงเรื่องนี้ในตอนนั้น อ๋องฉีแต่งงานกับชีจิ่น ได้ทราบเบาะแสของพระชายาหลิ่วจากชีเจิ้น จากนั้นเขาก็ชิงตัดหน้าไปรับพระชายาหลิ่วสองแม่ลูกมาควบคุมไว้ ให้พระชายาหลิ่วให้การเป็นพยานว่าฮองเฮาเฝิงเป็นฮองเฮาชั่ว ใช้ทุกวิถีทาง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขึ้นเป็นฮองเฮา ถึงขนาดไม่ลังเลที่จะปองร้ายภรรยาคนแรกของอ๋องหมิ่นเรื่องราวลุกลามบานปลายเป็นอย่างยิ่ง ราษฎรยังคงติฉินนินทาเฉินซื่อเหม่ย ที่ทอดทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากหลังจากที่เขาร่ำรวยแล้วไม่สามารถด่าฮ่องเต้ได้ แต่ก็สามารถด่าฮองเฮาชั่วได้ถูกหรือไม่?ฎีกาที่เรียกร้องให้ลงโทษฮองเฮาเฝิงถูกถวายไปที่บนโต๊ะของฮ่องเต้หย่งชางทีละฉบับฮ่องเต้หย่งชางทรงรู้สึกไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่งอีกทั้งรัชทายาทยังถูกลอบสังหารด้วยเนื่องจากฮองเฮาเฝิงปวดร้าวพระทัยอย่างมาก พระนางจึงได้สวรรคตตามไปโดยไม่คาดคิดด้วยเช่นกันเชื้อสายของรัชทายาทกลายเป็นเป้าโจมตีของทุกคนไปในทันที รัชทายาทขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างไม่ถูกต้อง นับประสาอะไรกับพระนั
สวีถงโจวเดินออกมาจากห้องอักษรของอ๋องฉี หน้าผากของเขาโขกคำนับจนถลอกเล็กน้อย มองจากระยะไกล ยังคิดว่าหน้าผากของเขาถูกทาด้วยชาดเป็นปื้นเสียอีกทว่าหานเยว่เอ๋อไม่คิดเช่นนั้นจริง ๆ นางมองสวีถงโจวเดินออกจากห้องอักษรด้วยสีหน้าเร่งรีบ ซ้ำยังเดินจากไปด้วยความรีบร้อน นางก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าสับสนเหลียนเอ๋อร์จับมือนาง และกดเสียงลงต่ำ: “คุณหนู ตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี?”ใช่แล้ว ตอนที่นางอยู่ในตระกูลฉี นางถือเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลฉี และเป็นบุตรสาวที่ไม่ได้แต่งงาน ได้รับการเลี้ยงดูมาเป็นสุภาพสตรีของตระกูลผู้มั่งคั่งตอนนี้นางถูกชีเจิ้นทิ้งไว้ในจวนอ๋องฉี ไร้นามไร้สถานะใด ๆ เทียบมิได้แม้แต่สาวใช้ปรนนิบัติเรื่องบนเตียงที่ระดับต่ำสุดคนหนึ่งด้วยซ้ำเพลานี้ข้างนอกยังโกลาหลอยู่ อ๋องฉียังคงไม่ลงโทษนาง นางยังมีชีวิตรอดต่อไปได้อีกสักพักทว่าภายภาคหน้าล่ะ?เมื่อข่าวซุบซิบในตรอกซอยค่อย ๆ จางลง ไม่มีใครสนใจนางอีกต่อไป นางก็จะหายไปจากโลกนี้อย่างเงียบ ๆเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หานเยว่เอ๋อก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัว นางจับมือเหลียนเอ๋อร์แน่นและตัวสั่น: “ไป เรากลับกันเถอะ! กลับไปกันเถอะ!”เหลียนเอ๋อร์ไม่เข้าใจ แต
สองข้างแก้มของแม่นมสวีปวดร้าวรุนแรง ชั่วพริบตานั้น แม่นมสวีเจ็บจนรู้สึกเหมือนหูแทบจะมีควันพวยพุ่งออกมานางมองชีหยวนด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความหวาดกลัวนางคนบ้าผู้นี้!นี่มันคนปกติที่ไหนกัน?!ชีหยวนค้อมกายลง สบตากับแม่นมสวีอย่างเชื่องช้า ก่อนจะใช้มือดันคางของนางกลับเข้าที่อีกครั้ง คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางเอ่ย “แม่นมสวี คิดให้ดีแล้วค่อยพูด เพราะข้าเองก็ไม่อาจควบคุมแรงได้ทุกครั้ง ถ้ายังไม่พูดความจริง บางทีอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกต่อไป”แม่นมสวีแทบสิ้นสตินางพบเจอผู้คนมามากมายจะใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือพูดใส่ไฟแบบใด ต่างก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแต่ไม่เคยเจอใครที่ไร้เหตุผลขนาดนี้เช่นชีหยวน!นางหวังโกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง “ในสายตาของเจ้ายังมีแม่คนนี้อยู่หรือไม่?! เจ้าเห็นที่นี่เป็นอะไรกันแน่?!”ชีหยวนคร้านจะหันไปมองนางหวังนางเพียงตบหน้าแม่นมสวีเบา ๆ “แม่นมสวี ความอดทนข้ามีจำกัด หนึ่ง สอง...”ยังไม่ทันนับถึงสาม แม่นมสวีก็ทนไม่ไหว “ข้าพูด ข้าพูดแล้ว! ข้าสั่งให้บ่าวที่มีหน้าที่เก็บสิ่งปฏิกูลในจวน เอาสุนัขไปส่งที่ร้านขายเนื้อสุนัขแล้วเจ้าค่ะ!”ชีหยวนปล่อยแม่นมสวีล้มลงไปกองกับพื้น หันไปมองห
แม่นมสวียกมือกุมหน้า ใบหน้าปรากฏสีขาวสลับแดง แล้วเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ในใจทั้งอับอายและโกรธแค้นยิ่งนักในจวนโหวตลอดหลายปีมานี้ นางไม่เคยถูกใครหยามถึงเพียงนี้มาก่อน!นางดูถูกชีหยวนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!เด็กไร้มารยาทขาดการอบรมจากบ้านนอกคนนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชีจิ่นที่นางเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กถูกเบียดจนแทบไร้ที่ยืน แม้แต่ชีอวิ๋นถิงก็ยังถูกกดดันจนเกือบต้องกลับบ้านเกิดไปนางมีสิทธิ์อะไร?นางเป็นคนสนิทของนางหวัง นางหวังเป็นฮูหยินผู้ดูแลจวนโหว นางก็เป็นคนดูแลใหญ่โดยชอบธรรม!แต่เพราะการปรากฏตัวของคนนอกคอกอย่างชีหยวน นางเกือบต้องตามนางหวังกลับไปอยู่บ้านเกิด ปลีกวิเวกกินเจสวดมนต์!ทุกอย่างเป็นเพราะชีหยวน!ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด!ดังนั้น หลังจากที่ถูกตบ นางก็พุ่งเข้าหานางหวังพร้อมน้ำตานองหน้า “ฮูหยิน! บ่าว บ่าวไม่มีหน้าจะอยู่ต่อไปแล้วเจ้าค่ะ!”พูดจบ นางก็ทำท่าจะพุ่งกระแทกกำแพงนางหวังตกใจแทบสิ้นสติ รีบฟาดมือลงบนโต๊ะ “ชีหยวน เจ้าคนอกตัญญู! เจ้าเริ่มเหลิงใหญ่แล้ว เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? แม้แต่หมาแมวในเรือนของญาติผู้ใหญ่ พวกลูกหลานยังต้องให้ความเคารพ แล้วนางเป็นถึงแม่นมของข้
เขายังจำสีหน้าของชีหยวนตอนรับสุนัขตัวนั้นมาเลี้ยงได้ดีนางแสดงออกชัดเจนว่าชอบมันมากชีหยวนชอบ เขาก็ชอบฮูหยินผู้เฒ่าชีเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง “อยู่ดี ๆ ทำไมถึงหายไปได้? นางเพิ่งออกจากจวนไปแค่ประเดี๋ยวเดียวแท้ ๆ!”นางสั่งให้แม่นมข้างกายไปแจ้งบรรดาบ่าวที่เฝ้าประตูเล็กทางเข้าสวนดอกไม้และโรงเรือน ว่าหากพบสุนัขตัวนั้น นางจะให้รางวัลเพิ่มอีกหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ใดเป็นคนเจอสุนัขของชีหยวน นางจะเลื่อนตำแหน่งให้ด้วยเมื่อข่าวนี้ไปถึงหูนางหวัง นางก็ได้แต่ หลับตาแน่นพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไม่รู้ว่าชีหยวนให้ท่านโหวผู้เฒ่าชีและฮูหยินผู้เฒ่ากินยาเสน่ห์อะไรเข้าไป ถึงทำให้พวกเขาทั้งสองเชื่อฟังนางจนยอมทำตามทุกอย่างเรื่องไร้สาระแบบนี้ นางไม่เคยได้ยินมาก่อน!แม่นมสวียิ่งกล่าวประชดไม่น่าฟัง “ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย! สุนัขพันธุ์ทางตัวเดียว โยนไว้ข้างถนนยังไม่มีใครชายตาดู แต่พอเป็นตัวที่คุณหนูใหญ่เลี้ยง กลับมีค่าถึงสองร้อยตำลึง! ตอนนี้ทั้งจวนกำลังวุ่นวายกันเพราะหาสุนัข!”นางหวังกระแทกถ้วยชาลงกับโต๊ะ เสียงดังหนักแน่นกว่ายามปกติ “ปล่อยให้พวกเขาทำไป! พวกเขาอยากหา ก็ให้หาไป!”
ชีหยวนไม่มีนิสัยลงโทษคนอื่นโดยไร้เหตุผลบางทีอาจเป็นเพราะชาติก่อนนางเคยเป็นผู้อยู่ใต้บัญชาอยู่นาน จึงเข้าใจถึงความลำบากของคนรับใช้ได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกับตอนที่ชาติก่อนนางเป็นองครักษ์ของเฟิงไฉ่เว่ย คอยคุ้มกันคุณหนูผู้สูงศักดิ์คนนี้เฝิงไฉ่เวยเห็นกระรอกตัวหนึ่งพลัดตกลงมาบนพื้นได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถปีนกลับขึ้นต้นไม้ได้ นางน้ำตาคลอและบอกว่าจะนำกระรอกตัวนั้นกลับขึ้นต้นไม้ด้วยตนเองต้นไม้นั้นมีอายุนับร้อยปี ลำต้นใหญ่ขนาดที่หลายคนโอบยังไม่รอบ กิ่งก้านแผ่ขยายไปทั่ว ชีหยวนกังวลว่านางจะเป็นอันตราย จึงอาสาทำแทนแต่เฝิงไฉ่เวยกลับขมวดคิ้วและพูดเสียงเนิบว่า “จะได้อย่างไร? การทำความดีต้องลงมือเองถึงจะจริงใจ คนอย่างองครักษ์ชีที่ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน ย่อมไม่เข้าใจ”นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยให้เฝิงไฉ่เวยปีนต้นไม้ไปส่งกระรอกเองใครจะคาดคิดว่าเฝิงไฉ่เวยจะไม่ระวังแล้วพลัดตกลงมาผลคือข้อเท้าพลิก หมอบอกว่าเส้นเอ็นและกระดูกได้รับความเสียหาย ต้องพักฟื้นอย่างน้อยสี่ถึงห้าเดือนเซียวอวิ๋นถิงตำหนินางว่าปกป้องเจ้านายไม่ดีนางอธิบายด้วยรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย ว่านางพยายามห้ามเฝิงไฉ่เวยแล้วว่าไม่ให้ทำ
นางจึงถือโอกาสไปดูเรือนพักนอกเมืองด้วยตนเองชิงเถาและหลีฮวาอยู่ที่นั่นแม้ว่านางจะบอกว่าเรือนพักนอกเมืองนี้ใช้สำหรับให้พวกนางอยู่ แต่หากไม่ไปดูด้วยตนเอง นางก็ยังไม่วางใจเมื่อเห็นนาง ชิงเถาและหลีฮวาก็ดีใจจนทำอะไรไม่ถูกโดยเฉพาะหลีฮวา จับข้อมือชีหยวนไว้ ดวงตาก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา “ฮือ ๆ คุณหนู ข้าคิดว่าคุณหนูไม่ต้องการข้าแล้วเสียอีก!”เด็กน้อยจริง ๆชีหยวนอดขำไม่ได้ ยกมือขึ้นลูบศีรษะของนางก่อนจะยิ้มแล้วกล่าว “จะเป็นไปได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ข้าแค่ติดธุระจึงไม่มีเวลามา ตอนนี้พอมีเวลาว่างแล้วก็รีบมาดูพวกเจ้านี่ไง”กล่าวจบ นางก็ถามต่อ “อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง? มีใครรังแกพวกเจ้าหรือไม่”ชิงเถาและหลีฮวารีบส่ายหน้ามองดูดวงตาของพวกนางที่เป็นประกาย แก้มแดงระเรื่อ ชีหยวนก็รู้ว่าพวกนางปรับตัวอยู่เรือนพักนี้ได้ดี จึงยิ้มออกมาแล้วถามอีกว่าปกติพวกนางทำอะไรกันบ้างชิงเถาเป็นคนเงียบขรึม ส่วนหลีฮวานั้นร่าเริงกว่า “จริง ๆ แล้วพวกเราไม่ต้องทำอะไรเลยเจ้าค่ะ แม่นมเสิ่นไม่ให้พวกเราทำงานหนัก ที่เรือนนี้ พวกเราแค่ทำความสะอาดเรือนใหญ่ แล้วก็ดูแลดอกไม้ในสวน สบายมากเลยเจ้าค่ะ!”พูดแล้วเงียบไปครู่หน
ชีอวิ๋นถิงรู้สึกว่าหัวใจเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกจากอกเขาเสาะหานางมาหลายเดือนแล้วนับแต่ชีจิ่นหายตัวไป เขาก็พลอยกินไม่ได้นอนไม่หลับ อยู่ไปวัน ๆ อย่างเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดทว่านานเพียงนี้แล้วกลับไร้ซึ่งข่าวคราว!ทุกครั้งที่ครุ่นคิดว่าอาจิ่นระหกระเหินอยู่ภายนอก ไม่รู้ว่าต้องทนตรากตรำเพียงใด เขาก็อยากจะบุกไปยังหอหมิงเยว่ แล้วปลิดชีพชีหยวนเสียแต่สตรีบ้าผู้นั้นกลับเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก เขาไม่อาจต่อกรกับนางได้เลย!โชคดีที่สวรรค์มีตาในที่สุดก็เมตตาให้เขาได้ล่วงรู้ที่อยู่ของอาจิ่นอาจิ่นเป็นคนที่ถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม อาหารการกินพิถีพิถัน แพรพรรณที่สวมใส่ก็เป็นของชั้นเลิศหลายเดือนที่อยู่ภายนอก เห็นทีจะลำบากไม่น้อย คงกินไม่ดี อยู่ไม่สบาย ต้องทนรับความลำบากเขาต้องชดเชยให้นางอย่างดีชีอวิ๋นถิงแลกเงินมาแล้ว ก้าวถัดไปคือไปยังร้านแพรพรรณที่ดีที่สุดในเมือง ซื้อผ้าไหมเฟิ่งหวงมาหลายพับ ล้วนแต่เป็นสีที่ชีจิ่นโปรดปรานจากนั้นก็ไปที่หอเจินเป่าเพื่อซื้อเครื่องประดับและอัญมณีมามากมายใช้เงินไปหมดแล้ว เงินสองพันตำลึงไม่เหลือแม้แต่อีแปะเดียว เงินส่วนตัวของเขากว่าห้าร้อยตำล
นางหวังเป็นเช่นนี้ แม่นมสวีเองก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ไม่ต่างกัน เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้นางรู้สึกไม่ถูกชะตากับชีหยวนก็คือการที่ชีหยวนไม่ให้ความเคารพต่อชีอวิ๋นถิง ทั้งที่คนป่วยคือนางหวัง ทว่าเมื่อสองคนยืนอยู่ด้วยกันแล้ว คนที่ดูป่วยหนักกว่าเหมือนจะเป็นชีอวิ๋นถิงเสียมากกว่า เขาซูบผอมลงไปมาก ดวงตาลึกโหล ดูซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงอย่างถึงที่สุด อย่าว่าแต่แม่นมสวีที่รู้สึกทุกข์ใจเลย ยิ่งนางหวังยิ่งเจ็บปวดหัวใจจนน้ำตาไหลพรากออกมา: “ไฉนเจ้าจึงทรมานตนเองจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?” ชีอวิ๋นถิงเม้มปาก ไม่อยากพูดอะไรกับนางหวังมากนัก เพียงแต่ยื่นมือออกไปและเอ่ยกับนางว่า: “ท่านแม่ ขอเงินหน่อย” นับแต่เกิดเรื่องเผาศาลบรรพบุรุษ เขาก็กลายเป็นสวะไร้ค่าของสกุลนี้ไป ไม่เพียงชีเจิ้นจะไม่เห็นเขาในสายตา แม้แต่พวกบ่าวรับใช้ก็เริ่มไม่แยแสเขาแล้ว หากเขาจะไปเอาเงินจากห้องบัญชี โดยที่เกินจากจำนวนที่กำหนดไว้ ไม่ว่าอย่างไรคนในห้องนั้นต้องไม่มีทางยอมมอบเงินให้เขาเด็ดขาด ได้ยินเขาเอ่ยปากขอเงิน นางหวังก็ซับน้ำตาพลางเอ่ยว่า: “ต้องการเท่าใดหรือ?” บุตรชายลำบากเกินไปแล้วจริง ๆ นางหวังส่งสายตาให้แม่นมสวี แม่
อันที่จริงตอนแรกโหวผู้เฒ่าชีก็มิได้ชอบสุนัขตัวนี้มากนัก และมันก็มิใช่สายพันธุ์เลอค่าอะไร หากจะพูดถึงความงดงามแล้วยังเทียบกับสุนัขสิงโตสีขาวปลอดที่ฮูหยินผู้เฒ่าเลี้ยงไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป ทว่าทุกสิ่งย่อมมีข้อยกเว้น ใครขอให้เจ้าสุนัขตัวนี้เป็นสุนัขของชีหยวนกัน ในเมื่อชีหยวนสามารถเดินอย่างผึ่งผายอยู่ในจวนโหวแห่งนี้ได้ ก็เป็นธรรมดาที่สุนัขของนางจะไม่เหมือนสุนัขตัวอื่นในจวน หลังจากโหวผู้เฒ่ากลับไปก็กำชับห้องครัวว่า อาหารของเจ้าสุนัขตัวนี้จะต้องเหมือนกับสุนัขสิงโตของฮูหยินผู้เฒ่า หรืออาจจะต้องดีกว่าด้วย! ไม่เพียงเท่านั้น ยังสั่งให้คนไปหาบ่าวรับใช้ส่งไปช่วยชีหยวนเลี้ยงสุนัขตัวนั้นโดยเฉพาะ การกระทำที่ยิ่งใหญ่เกินหน้าเกินตาของเขา ทำให้นางหวังอดถามด้วยความสงสัยออกมาไม่ได้: “เจ้าว่าอย่างไรนะ? จะสร้างเรือนให้ผู้ใดหรือ?” แม่นมสวีแสดงสีหน้าท่าทางใหญ่โตเป็นที่สุด น้ำเสียงยังเจือด้วยความริษยา: “จะใครเสียอีกเจ้าคะฮูหยิน? บัดนี้ในจวนของเรา ทั้งนายบ่าวรวมกัน ใครที่ไหนเล่าจะได้รับความรักความเอ็นดูมากไปกว่าคุณหนูใหญ่?” พูดถึงชีหยวน สีหน้าของนางหวังก็ดูปรวนแปรจนมิอาจคาดเดา ถูกต้องแล้ว ในจวนยามน
หลายครั้งเหลือเกินที่นางลืมไปแล้วว่าตนเองยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่ ครั้งสุดท้ายที่ได้นั่งละเลียดน้ำชาอยู่ในเรือนแบบนี้ ราวกับว่าเป็นเรื่องของชาติที่แล้วอย่างไรอย่างนั้น นางค่อย ๆ หลับตาลง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา: “จวนจะถึงวันปีใหม่แล้วสินะ” สาวใช้ข้างกายหัวเราะออกมา พลางก้าวขึ้นมาและรินน้ำชาให้นาง “ใช่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู จวนจะถึงวันปีใหม่แล้ว แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวต่างก็เริ่มแขวนโคมไฟ ทำความสะอาดสิ่งของกันแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูดูสิเจ้าคะหลายวันมานี้ บนหน้าต่างตามท้องถนนมีกุนเชียงกับเนื้อตากแห้งแขวนเอาไว้ทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ” ชีจิ่นลูบถ้วยน้ำชา ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงจะเปล่งเสียงรับคำออกมา นางไม่มีครอบครัวให้ฉลองวันปีใหม่ร่วมกันอีกแล้ว แต่ก็ช่างปะไร อีกไม่นานชีหยวนก็จะไม่มีเหมือนกัน สกุลชีเองก็จะไม่มีอีกแล้วเช่นกัน นางจะทำให้คนเหล่านี้ที่เคยทอดทิ้งนางคุกเข่าลง คุกเข่าลงต่อหน้านางอ้อนวอนร้องขอให้นางยอมให้อภัย หลังจากดื่มน้ำชาคำสุดท้าย นางก็เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า: “จงไปเก็บข้าวของ และทำตามที่ข้าสั่ง ปล่อยข่าวลือออกไปล่วงหน้า” สาวใช้ขานรับคำสั่งทันที ขณะเดียวกัน สกุลชีทั้งนา