คนที่มามุงดูรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางฝูงชนอ๋องฉีมองเห็นใบหน้าซึ่งดูคุ้นเคยอยู่หลายคน เหล่านั้นล้วนเป็นบ่าวรับใช้ของจวนอ๋องอู๋ และจวนอ๋องโจว จะยอมให้เหตุการณ์ความวุ่นวายยาวนานไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เขาได้แต่จำใจเอ่ยปากอย่างเยือกเย็น “มีเรื่องอันใด หย่งผิงโหวไม่สู้เข้ามาคุยกันให้ชัดเจนในจวนของข้าดีกว่า!” เขาควรจะให้ชีเจิ้นเข้ามาคุยกันในจวนตั้งแต่แรก ถึงแม้ว่าชีเจิ้นน่าจะไม่ยอมตกปากรับคำก็เถิด บัดนี้เรื่องราวยิ่งลุกลามใหญ่โตเกินไปแล้วจริง ๆ ชีเจิ้นแค่นเสียงฮึ่มออกมาอย่างเย็นชา ก็จะเอ่ยวาจาถากถางว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อยมิบังอาจ! ที่ข้าน้อยเดินทางมาครั้งนี้ เพราะอยากจะคุยกับท่านอ๋องให้ชัดเจน แม่นางคนนี้มีความผูกพันลึกซึ้งกับท่านอ๋อง มีอะไรก็เล่าให้ฟังทั้งหมด! แม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างอาหารในแต่ละมื้อ ขนมหวานของว่างของแต่ละมื้อในหนึ่งวันนั้นมีอะไรบ้างล้วนรายงานต่อท่านอ๋องครบถ้วนทุกกระบวน ข้าน้อยรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก!” ทุกคนพลันส่งเสียงเกรียวกราวทันที หา แม่นางหานเยว่เอ๋อคนนี้ทำเกินไปแล้วกระมัง? ไม่เชื่อใจตระกูลชีมากเพียงนี้เชียวหรือ? คนเขาหนึ่งวันสามมื้อกินอะไรบ้างแค่เรื
ในเมื่อโปรดปรานแม่นางคนนี้เพียงนั้น ก็ควรจะต้องแสดงท่าทางโปรดปรานเอ็นดูออกมาด้วยมิใช่หรือ? หานเยว่เอ๋อเย็นเยียบไปทั้งตัว นางมองอ๋องฉีด้วยสายตาอ้อนวอน ขอบตาแดงก่ำใครเห็นก็ต้องสงสาร อ๋องฉีสีหน้ามืดครึ้มจนน่าพรั่นพรึง มองหานเยว่เอ๋อปราดหนึ่ง เขาก็กัดฟันกรอด ๆ ชีเจิ้นพาหานเยว่เอ๋อมาทิ้งหน้าประตูใหญ่ของจวนเขาต่อหน้าคนจำนวนมากมายเพียงนั้นในเมืองหลวง และยังประกาศต่อหน้าทุกคนว่าเขามีสัมพันธ์ส่วนตัวกับหานเยว่เอ๋อ หากว่าเขาไม่รับหานเยว่เอ๋อเข้าไปในจวนแล้ว น้ำลายจากปากชาวบ้านคงท่วมท้นจนอ๋องอย่างเขาจมน้ำตายได้แน่ ๆ วันรุ่งขึ้นเมื่อผู้ตรวจการเข้าทูลรายงานน้ำลายคงปลิวว่อน ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อคนเข้าจวนของเขามาแล้ว จะให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมิได้เป็นอันขาด หากสังหารให้ตาย คนทั้งโลกจะพากันคิดว่าท่านอ๋องอย่างเขาเริ่มต้นด้วยความหลงจบลงด้วยการทอดทิ้ง และสังหารคนปิดปาก! ช่างเลวทรามขาดคุณธรรมอย่างถึงที่สุด! จวนหย่งผิงโหวเลวทรามยิ่งนัก! เขาไม่อยากมองต่อแม้สายตาเดียว หมุนตัวและกลับเข้าไปในจวนอ๋องทันที ขันทีสวีส่งสายตาให้จินเป่า ทันใดนั้นจินเป่าก็สั่งให้คนไปพาหานเยว่เอ๋อและเหลียนเอ๋อร์เข้ามา
หานเยว่เอ๋อหน้าซีดเผือด ในใจทั้งเคียดแค้นและรู้สึกหวาดกลัวชีหยวน แม่นางคนนี้แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก! นางร้องไห้พลางอธิบายกับอ๋องฉี “ท่านอ๋อง จดหมายเหล่านี้ หม่อมฉันมิได้เป็นคนเขียนเองเพคะ! ไม่ใช่หม่อมฉันเลยเพคะ!” อ๋องฉีได้ยินเช่นนั้น ก็นำจดหมายเหล่านั้นที่จินเป่าเพิ่งเก็บเข้ามาเมื่อครู่ทั้งหมดมากางบนโต๊ะทรงพระอักษร ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “นี่คือลายมือของเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย” หานเยว่เอ๋อสะดุ้งเฮือกในใจ กลัวว่าอ๋องฉีจะรู้สึกว่านางปราศจากความรอบคอบถึงได้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น ก็รีบอธิบายด้วยความร้อนใจทันที “ท่านอ๋อง จดหมายเหล่านี้ข้ามิได้เป็นคนเขียนจริง ๆ เพคะ เป็นชีหยวนเพคะที่ปลอมแปลงขึ้นมา!” การเคลื่อนไหวของอ๋องฉีพลันชะงักไป ได้ยินความเช่นนั้นก็หรี่ตามองหานเยว่เอ๋อ “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าชีหยวนเป็นปลอมแปลงขึ้นมา?” มองจากข้อมูลที่หานเยว่เอ๋อส่งมาเมื่อก่อนหน้านี้ นางยังมั่นใจว่าชีหยวนมิใช่คนที่เก่งกาจมีความสามารถอะไร หานเยว่เอ๋อขยี้ตา “ท่านอ๋อง ตราประทับลัญจกรบนนี้ นางสามารถมองออกได้ในแวบเดียวและเป็นคนท้วงติงหย่งผิงโหวและโหวผู้เฒ่าด้วยเพคะ! ตอนแรกแม้แต่หย่งผ
บัดนี้ชีเจิ้นกลับมาจากพาตัวหานเยว่เอ๋อไปส่ง นางขมวดคิ้วพลางถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านโหว หานเยว่เอ๋อมีความสัมพันธ์ลับกับอ๋องฉีมานานแล้วจริงหรือเจ้าคะ…” ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความผิดหวังขมขื่นปะปนกัน อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเมื่อก่อนที่อ๋องฉีเคยพยายามเอาอกเอาใจชีจิ่นอยู่หลายครั้งหลายครา คล้ายกับว่าชีจิ่นพิเศษกว่าคนอื่น ก็สบถด่าในใจขึ้นมาด้วยความเหลืออด บุรุษไม่เคยมีที่ดีเลยสักคน! เคราะห์ดีชีจิ่นไม่ต้องแต่งกับอ๋องฉีแล้ว มิเช่นนั้นใครจะรู้ว่าต้องประสบพบเจอเคราะห์กรรมแบบใดบ้าง! ชีเจิ้นส่งเสียงตอบรับในลำคอ แต่พูดถึงหานเยว่เอ๋อขึ้นมาสีหน้าเขายังคงย่ำแย่เหมือนเคย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงขรึมขึ้นว่า “นับจากนี้ไปห้ามมีผู้ใดตระกูลเราเอ่ยถึงหานเยว่เอ๋อผู้นี้ขึ้นมาอีกเป็นอันขาด แล้วก็ยังมีอีกเรื่อง จงไปตรวจสอบพวกบ่าวรับใช้ที่ก่อนหน้านี้เคยสมคบกับหานเยว่เอ๋อทั้งหมด ใครสมควรขายก็ขายออกไป ใครสมควรส่งตัวไปที่บ้านนอกกันดารก็ส่งตัวมันไปให้พ้น อย่าให้มันผู้ใดปรากฏตัวอยู่ในเรือนอีก!” นางหวังตอบรับตามคำสั่งของเขา ชีเจิ้นหยัดกายขึ้นยืน “ข้าจะไปหาท่านพ่อเพื่อบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อสักหน่อย เจ
คำพูดนี้ขององค์หญิงใหญ่มิใช่เจตนาพูดให้รู้สึกตื่นกลัวราชวงศ์ต้าโจวมีความเข้มงวดยิ่งในการควบคุมเรื่องลี้ลับหรือพวกมนต์ดำในหมู่ราษฎรหากใครผู้ใดในหมู่ราษฎรพรางเป็นเทพแสร้งเป็นผี แอบอ้างเที่ยวหลอกลวงต้มตุ๋น ทางศาลจะถือว่าผู้นั้นเป็นปีศาจ และเผาผู้นั้นให้ตายเพื่อเป็นการตักเตือนราษฎรคำพูดที่ชีหยวนพูดออกมาเหล่านี้ เพียงพอที่จะทำให้นางตายได้เป็นร้อยครั้งเมื่อลองคิดดู เซียวอวิ๋นถิงพบว่านางไม่ย่างเท้าออกจากเรือน แต่กลับรู้เรื่องของเมืองเจียงซีได้ รวมถึงครั้งนี้ ถึงกับสามารถลากตัวหานเยว่เอ๋อที่ซ่อนตัวอยู่ในตระกูลฉีออกมาได้อีก ก็ทำให้รู้สึกคล้อยตาม มองชีหยวนอย่างเฉยเมย: “แค่พึ่งสิ่งเหล่านี้หรือ?”ชีหยวนไม่ได้รีบร้อน มือทั้งสองกุมถ้วยไว้ เม้มริมฝีปาก: “หากองค์หญิงและท่านอ๋องยังต้องการให้หม่อมฉันพิสูจน์มากกว่านี้ เช่นนั้น หม่อมฉันทราบว่าเหตุใดอ๋องฉีจึงจงใจซื้อตัวหานเยว่เอ๋อ และให้นางแทรกซึมอยู่ในจวนหย่งผิงโหว ข้อนี้ จะใช้เป็นหลักฐานว่าหม่อมฉันแตกต่างจากคนทั่ว ๆ ไปได้หรือไม่เพคะ?”ความหวังในใจขององค์หญิงใหญ่ ที่ถูกจุดประกายด้วยซาลาเปาแป้งมันเทศในตอนแรกค่อยๆ หายไปเพราะนางเลอะเลือนเอง โลกนี
ชีหยวนรู้สึกสับสนในใจที่นางรู้เรื่องเหล่านี้ จะว่าไปแล้วเป็นเพราะนางเคยติดตามเซียวอวิ๋นถิงในชาติก่อน เซียวอวิ๋นถิงเป็นคนสั่งให้นางไปสืบหาความจริงเรื่องนี้ในตอนนั้น อ๋องฉีแต่งงานกับชีจิ่น ได้ทราบเบาะแสของพระชายาหลิ่วจากชีเจิ้น จากนั้นเขาก็ชิงตัดหน้าไปรับพระชายาหลิ่วสองแม่ลูกมาควบคุมไว้ ให้พระชายาหลิ่วให้การเป็นพยานว่าฮองเฮาเฝิงเป็นฮองเฮาชั่ว ใช้ทุกวิถีทาง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขึ้นเป็นฮองเฮา ถึงขนาดไม่ลังเลที่จะปองร้ายภรรยาคนแรกของอ๋องหมิ่นเรื่องราวลุกลามบานปลายเป็นอย่างยิ่ง ราษฎรยังคงติฉินนินทาเฉินซื่อเหม่ย ที่ทอดทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากหลังจากที่เขาร่ำรวยแล้วไม่สามารถด่าฮ่องเต้ได้ แต่ก็สามารถด่าฮองเฮาชั่วได้ถูกหรือไม่?ฎีกาที่เรียกร้องให้ลงโทษฮองเฮาเฝิงถูกถวายไปที่บนโต๊ะของฮ่องเต้หย่งชางทีละฉบับฮ่องเต้หย่งชางทรงรู้สึกไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่งอีกทั้งรัชทายาทยังถูกลอบสังหารด้วยเนื่องจากฮองเฮาเฝิงปวดร้าวพระทัยอย่างมาก พระนางจึงได้สวรรคตตามไปโดยไม่คาดคิดด้วยเช่นกันเชื้อสายของรัชทายาทกลายเป็นเป้าโจมตีของทุกคนไปในทันที รัชทายาทขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างไม่ถูกต้อง นับประสาอะไรกับพระนั
สวีถงโจวเดินออกมาจากห้องอักษรของอ๋องฉี หน้าผากของเขาโขกคำนับจนถลอกเล็กน้อย มองจากระยะไกล ยังคิดว่าหน้าผากของเขาถูกทาด้วยชาดเป็นปื้นเสียอีกทว่าหานเยว่เอ๋อไม่คิดเช่นนั้นจริง ๆ นางมองสวีถงโจวเดินออกจากห้องอักษรด้วยสีหน้าเร่งรีบ ซ้ำยังเดินจากไปด้วยความรีบร้อน นางก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าสับสนเหลียนเอ๋อร์จับมือนาง และกดเสียงลงต่ำ: “คุณหนู ตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี?”ใช่แล้ว ตอนที่นางอยู่ในตระกูลฉี นางถือเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลฉี และเป็นบุตรสาวที่ไม่ได้แต่งงาน ได้รับการเลี้ยงดูมาเป็นสุภาพสตรีของตระกูลผู้มั่งคั่งตอนนี้นางถูกชีเจิ้นทิ้งไว้ในจวนอ๋องฉี ไร้นามไร้สถานะใด ๆ เทียบมิได้แม้แต่สาวใช้ปรนนิบัติเรื่องบนเตียงที่ระดับต่ำสุดคนหนึ่งด้วยซ้ำเพลานี้ข้างนอกยังโกลาหลอยู่ อ๋องฉียังคงไม่ลงโทษนาง นางยังมีชีวิตรอดต่อไปได้อีกสักพักทว่าภายภาคหน้าล่ะ?เมื่อข่าวซุบซิบในตรอกซอยค่อย ๆ จางลง ไม่มีใครสนใจนางอีกต่อไป นางก็จะหายไปจากโลกนี้อย่างเงียบ ๆเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หานเยว่เอ๋อก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัว นางจับมือเหลียนเอ๋อร์แน่นและตัวสั่น: “ไป เรากลับกันเถอะ! กลับไปกันเถอะ!”เหลียนเอ๋อร์ไม่เข้าใจ แต
ดังนั้นแม้ว่าในใจจะเกิดคลื่นอันโหมกระหน่ำ แต่สีหน้าของนางกลับยังคงนิ่งสงบไร้อารมณ์: “คำพูดนี้ขององค์หญิง หม่อมฉันจดจำไว้แล้ว”องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจด้วยความโล่งใจคนเราก็เป็นเยี่ยงนี้แหละ เรื่องดีๆ ตกลงมาจากฟ้า มักคิดว่าจะมีกับดักใหญ่รออยู่เสมอแต่ถ้าหากแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียมกัน ก็จะรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยนางจับมือเซียวอวิ๋นถิง: “อวิ๋นถิง ข้าไม่มีคนสนิท เรื่องนี้ คงต้องไหว้วานเจ้าไปทำแล้ว”แน่นอนว่าเซียวอวิ๋นถิงรู้ดีว่าเด็กคนนี้มีความหมายต่อองค์หญิงใหญ่อย่างไรการสูญเสียสามีไม่ได้เจ็บปวดเท่ากับการสูญเสียลูกองค์หญิงใหญ่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์มาหลายสิบปี ไม่เคยมีวันที่มีความสุขเลยแม้แต่วันเดียวเขาพยักหน้าหนักแน่นให้สัญญาว่า “ท่านย่าวางใจได้ ข้าจะช่วยท่านหาคนให้เจออย่างแน่นอน”องค์หญิงใหญ่ตอบรับ และกล่าวกับชีหยวนว่า: “ข้อตกลงระหว่างเจ้ากับอวิ๋นถิงมีผลบังคับใช้แล้ว จากนี้ไป หากเจ้ามีอะไร ก็บอกอวิ๋นถิงได้ ข้าจะออกจากเมืองกลับขึ้นเขาก่อน หากได้ข่าวอะไร จะมาขอบคุณเจ้าอีกครั้งเป็นแน่”ชีหยวนตอบรับอย่างเคารพหลังจากองค์หญิงใหญ่จากไปแล้ว รถม้าก็ค่อยๆ หันหัวกลับ
กลับกัน นางมีความเก่งกาจโดดเด่นมาโดยตลอดจนเรียกว่าแข่งกับองค์หญิงลั่วชวนในทุก ๆ เรื่อง แม้กระทั่งการเล่นตีคลีก็เช่นกัน งานแข่งตีคลีครั้งนี้ นับเป็นการลงสนามแข่งขันอย่างเป็นทางการหลังพิธีปักปิ่นของพวกนางสองคน ทั้งคู่ต่างแบ่งกลุ่มมาก่อนเรียบร้อยแล้ว บัดนี้หลิ่วหมิงจูกำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรง ในสายตาขององค์หญิงลั่วชวนมองแล้วชัดเจนว่าจงใจยั่วโทสะอย่างไม่ต้องสงสัย หลิ่วหมิงจูกลั้วหัวเราะเสียงเบา: “ชนะข้า? องค์หญิง หากท่านคิดอยากจะชนะข้า…ชนะคนอื่นให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” สีหน้าของนางดูราบเรียบ เอ่ยด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม: “ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลชีแห่งจวนหย่งผิงโหว ได้รับการชี้แนะอบรมโดยตรงจากองค์หญิงใหญ่ ฝีมือการขี่อาชาเรียกว่าโดดเด่นไม่เป็นรอง หากองค์หญิงสามารถเอาชนะนางได้ ข้าก็จะยอมรับความพ่ายแพ้ โดยที่ไม่ต้องแข่งขัน เช่นนั้นเป็นอย่างไร?” แต่ไหนแต่ไรมาองค์หญิงใหญ่โปรดปรานการเล่นตีคลีเป็นที่สุด แม้แต่บรรดาพระเชษฐาอย่างอ๋องโจวและอ๋องอู๋ยังไม่สามารถเอาชนะนางได้ ดังนั้นได้ยินหลิ่วหมิงจูเอ่ยเช่นนี้ขึ้น องค์หญิงลั่วชวนก็ขมวดคิ้วขึ้นและโพล่งถามออกไปทันใด: “ใครกัน?
งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจวมิได้จัดขึ้นที่จวนอ๋องโจวจริง ๆ ทว่าจัดที่เรือนพักนอกเมืองของจวนอ๋องโจว ซึ่งอยู่นอกเขตเมืองหลวง และต่อให้จวนในเมืองหลวงจะใหญ่โตกว้างขวางสักเพียงใด ทว่าจะสร้างสนามตีคลีขึ้นสักหนึ่งสนามนั้นก็ค่อนข้างลำบากเกินไปอยู่ดี แต่กับนอกเขตเมืองหลวงนั้นแตกต่างกัน สนามตีคลีของจวนอ๋องโจวใหญ่จนน่าอัศจรรย์ใจ อีกทั้งรอบข้างยังสร้างที่นั่งซึ่งมีลักษณะเป็นขั้นบันไดไล่ขึ้นไปจากต่ำไปสูง เพื่อให้ผู้ชมสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในสนามแข่งขันได้จากทุกทิศทาง ตอนที่ฮูหยินรองชีพาชีหยวนไปถึง บรรยากาศในงานยังไม่เร่าร้อนคึกคัก นางพาชีหยวนไปกล่าวทักทายพระชายาโจวก่อน พระชายาโจวกำลังยุ่ง อันที่จริงเหตุผลที่ส่งเทียบเชิญให้ตระกูลชี พูดตามตรงแล้วก็เป็นเพราะว่าเห็นแก่หน้าฮูหยินซื่อจื่อฉู่กั๋วกงซึ่งเป็นพี่สาวผู้พี่ของนางต่างหาก และแน่นอนว่านางไม่มีความจำเป็นจะต้องลดเกียรติลงไปสนทนากับชีหยวนด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้เองกระทั่งฮูหยินรองชีทำความเคารพแล้ว นางไม่แม้แต่มองให้ชัดเจนด้วยซ้ำว่าชีหยวนรูปโฉมโนมพรรณเป็นอย่างไร เพียงแต่อมยิ้มพลางเอ่ยกับฮูหยินรองชีว่า: “พวกเด็ก ๆ ต่างอยู่ในตำหนักเถาฮวาอู้ที่ลาน
เซียวอวิ๋นถิงจ้องมองชีหยวนอยู่ครู่ใหญ่: “ไฉนชีวิตเจ้าจะต้องต่ำต้อยไร้ค่า?” ในน้ำเสียงของเขาเจือด้วยโทสะที่ปกปิดไม่มิด นั่นกลับทำให้ชีหยวนที่ตอนแรกยังอยู่ในความตื่นเต้นฮึกเหิมสงบลง นางลูบปอยผมของตนเองที่หลุดลงมาอย่างสุขุมเยือกเย็น: “ข้าน้อยพูดผิดไปแล้ว ขอบคุณท่านอ๋องที่ชี้แนะ ข้าน้อยจะจดจำใส่ใจเจ้าค่ะ” นางสำนึกผิดรวดเร็วเพียงนี้ ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุผลใดโทสะแต่เดิมที่ไม่รู้มาจากไหนของเซียวอวิ๋นถิงกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นมา ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด ประโยคนั้นที่ว่าชีวิตต่ำต้อยหนึ่งชีวิตของข้า กลับทำให้สายใยบางอย่างในใจของเขาสั่นไหวขึ้นมา ความรู้สึกอึดอัดแล่นพล่านอยู่ภายในใจของเขา ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลง พลางจ้องชีหยวนและกล่าวว่า: “เจ้าอย่าเอาตัวไปเสี่ยงอันตราย หากมีเรื่องอันใด ข้าสามารถช่วยเหลือเจ้าได้” ชีหยวนไม่ตอบกลับ เรื่องราวในชาตินี้ไม่มีอะไรแน่นอน พึ่งพิงขุนเขาขุนเขาก็อาจจะถล่มลงมา สิ่งเดียวที่สามารถพึ่งพิงได้ มีเพียงตนเอง เพียงแต่เรื่องแบบนี้ ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปโต้เถียงกับผู้ใดอีกแล้ว นางยิ้มพลางกล่าวขอบคุณในน้ำใจและความหวังดีของเซียวอวิ๋นถิง จากนั้นค่อยเล่าข้อ
เซียวอวิ๋นถิงขมวดคิ้วพลางจ้องมองชีหยวนซึ่งอยู่ตรงหน้า เห็นนางยังผงกศีรษะ ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้: “ที่แห่งนั้นไม่เหมาะกับเจ้า!” กลัวว่าชีหยวนจะคิดเรื่องนี้ง่ายดายเกินไป เซียวอวิ๋นถิงจึงเอ่ยปากแนะนำด้วยเสียงเคร่งขรึม: “พูดถึงอ๋องโจว ก็เป็นท่านปู่น้อยของข้า เขาเป็นพี่น้องร่วมครรภ์มารดาเดียวกับเสด็จปู่ของข้า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองแน่นแฟ้นยิ่งนัก และด้วยเหตุผลนี้ พระธิดาของเขาจึงได้รับความรักความโปรดปรานเป็นที่สุด นับแต่เยาว์วัยก็ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงลั่วชวนแล้ว อีกทั้งยังได้รับการเลี้ยงดูในวังหลวงโดยไทเฮาด้วย” ชีหยวนเพียงส่งเสียงอืมรับคำ นางรู้อยู่แล้ว “องค์หญิงที่ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาอย่างสูงศักดิ์เลิศล้ำเช่นนี้ ในสายตาในหัวใจยอมรับได้เพียงแค่พวกนางกันเองเท่านั้น” เซียวอวิ๋นถิงกลัวว่าชีหยวนจะไม่เข้าใจ ก็อธิบายคำพูดเมื่อครู่ให้ชัดเจนกระจ่างขึ้นอีกหน่อย: “ข้าบอกเจ้าง่าย ๆ แล้วกัน บรรดาดรุณีผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง สามารถแบ่งคร่าว ๆ ออกมาได้ห้าลำดับขั้น ลำดับขั้นแรก แน่นอนว่าต้องเป็นเหล่าองค์หญิงของราชสำนักอย่างเช่นองค์หญิงลั่วชวน องค์หญิงเสียนหนิงกลุ่มนั้น ส่วนอั
นางไม่พูดมากไปกว่านี้แล้ว เพียงแต่บอกให้พวกชีเจิ้นและท่านโหวผู้เฒ่าวางใจ มีลูกหลานที่มีความสามารถเก่งกาจเกินไปก็มิใช่เรื่องน่ายินดีอะไรนัก เพราะเมื่อใดที่เราอยากเป็นผู้ตัดสินใจบ้างก็เป็นเรื่องที่ยากมากเกินไปจริง ๆ ทั้งท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นต่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี หนนี้กลับเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่รู้สึกยินดีอย่างถึงที่สุด: “ให้น้าสะใภ้รองของเจ้าพาเจ้าไปสิ! ข้าจะให้คนไปตัดอาภรณ์ชุดใหม่มาให้เจ้า เมื่อถึงยามนั้นเจ้าจงเที่ยวเล่นให้เบิกบานใจ” เที่ยวเล่นให้เบิกบานใจ… ชีเจิ้นคล้ายจะเอ่ยบางอย่างแต่ชะงักไป ชีหยวนกลับผุดยิ้มพลางกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าชี จากนั้นก็หยัดกายขึ้นและกลับไปที่หอหมิงเยว่ ครั้นกลับมาถึงหอหมิงเยว่ เหลียนเฉียวมารออยู่หน้าประตูเรือนได้พักหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นนางก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะสืบเท้าเดินเข้าไปหาอย่างรีบร้อน: “คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว!” จากนั้นก็กดเสียงลงเอ่ยว่า: “ท่านอ๋องอยู่ด้านในเจ้าค่ะ” นางแทบจะตกใจตายให้ได้เลยจริง ๆ ก่อนหน้าตอนที่นางเข้าไปในห้อง ครั้นเห็นเซียวอวิ๋นถิงนั่งอยู่ข้างหน้าต่างในตอนนั้น ก็เกือบจะตกใจตายแล้ว ช่วงนี้มันอย่าง
ครั้นได้รับเทียบเชิญ คนทั้งตระกูลชีต่างรู้สึกประหลาดใจและไม่มั่นใจเล็กน้อย สาเหตุเพราะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นในสกุลโจว ดังนั้นระยะนี้ชีฟางอวิ๋นจึงต้องพำนักอยู่ที่เรือนมารดามาตลอด พอได้ยินข่าวนี้ก็เผลอมองชีหยวนหลายครั้งอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็แอบกระซิบถามฮูหยินผู้เฒ่าชีว่า: “ท่านแม่ พี่หยวนนางเป็น…” เป็นใครมาจากไหนกันแน่? เรื่องที่ทำไมตอนนี้ทุกคนในตระกูลชีถึงยอมรับกลาย ๆ ว่านางเป็นผู้นำบังไม่เท่าไร ทว่าเหตุใดแม้กระทั่งบรรดาบุคคลผู้มีชื่อเสียงนอกเรือนยังพากันให้ความสำคัญกับนางมากถึงเพียงนี้อีก? งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจว ใช่ว่าจวนหย่งผิงโหวจะไม่เคยได้รับเทียบเชิญมาก่อนเสียเมื่อไร ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา ก็ไม่เคยระบุเจาะจงชัดเจนว่าเชิญผู้ใดอย่างเช่นตอนนี้ แบบนี้จะไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือ? ชีหยวนเพิ่งจะกลับมาได้เพียงไม่นาน ตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในเมืองหลวงมีใครบ้างเกรงว่ายังรู้จักไม่ครบเสียด้วยซ้ำไป นับดูให้ดีแล้วที่ออกไปเยี่ยมเยียนเป็นแขกก็มีเพียงตระกูลเซี่ยงตระกูลเดียวเท่านั้น มิหนำซ้ำยังเป็นการไปที่มิใช่เรื่องน่ายินดี แวะไปเพียงครู่เดียวก็กลับแล้ว จวนอ๋องโจวมีเหตุผลใดถึงต้องเจาะจ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่หลิ่วก็โกรธจัด: “งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจว เจ้าไม่ต้องไป!”หลิ่วหมิงจูกังวลใจทันที: “ทำไมล่ะ?! ข้าเตรียมตัวมาครึ่งปีแล้ว ข้าต้องไปให้ได้!”ทุกปีในฤดูหนาว นอกจากงานชุมนุมดอกไม้ของบรรดาจวนขุนนางแล้ว งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจว เป็นงานที่ผู้คนในเมืองหลวงเฝ้ารอมากที่สุดราชวงศ์นี้ยกย่องทักษะด้านการต่อสู้ ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ฮ่องเต้หย่งชางยังเป็นอ๋องอยู่ พระองค์ก็โปรดปรานการเล่นตีคลีอย่างมาก นายว่าขี้ข้าพลอย หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว บรรดาอ๋องทั้งหลายก็เล่นตีคลีคล้อยตามพระองค์ การแข่งตีคลีจึงกลายเป็นกระแสนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงหญิงชาย การได้แสดงฝีมือและโดดเด่นในสนามแข่งของจวนอ๋องโจวถือเป็นความภาคภูมิใจที่สุดหลิ่วหมิงจูเริ่มฝึกขี่ม้าตั้งแต่อายุสิบสองปี และฝึกฝนการเล่นตีคลีมาโดยตลอด ทว่าสองปีที่ผ่านมา นางยังอายุน้อย จึงได้เล่นอย่างไม่เต็มที่ เป็นแค่ตัวสำรอง ปีนี้นางรอคอยมานานจนกระทั่งอายุครบวัยปักปิ่น และนางยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมในกลุ่มบุตรสาวขุนนาง นางจะพลาดงานนี้ไปได้อย่างไร?ฮูหยินใหญ่หลิ่วกำลังจะพูดต่อ แต่หลิ่วจิง
หลิ่วจิงหงพยักหน้า ยิ้มพร้อมกล่าวให้บิดาของตนวางใจ: “ลูกมีแผนการในใจแล้วขอรับ”ต่างจากลูกหลานขุนนางทั่วไป ส่วนใหญ่พอรุ่นที่สองก็มักอาศัยเกียรติยศของบรรพบุรุษกินสมบัติเก่า แต่สำหรับหลิ่วจิงหง เขายืนหยัดอยู่ในแวดวงขุนนางด้วยความสามารถของตนเองตระกูลหลิ่วของพวกเขาเป็นขุนนาง และยังเป็นพระญาติชั้นนอก เพราะเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานอย่างมาก สถานะของตระกูลหลิ่วจึงสูงส่งยิ่งขึ้นกล่าวโดยทั่วไปแล้ว ตำแหน่งขุนนางที่ได้มาจากพระมาหกรุณาธิคุณ ล้วนใช้คำว่าเฉิงเอิน (รับพระมหากรุณาธิคุณ) เป็นคำนำหน้าตำแหน่ง เช่น ตระกูลของฮองเฮาเฝิงก็มีตำแหน่ง “เฉิงเอินโหว”แต่ตระกูลหลิ่วกลับได้เป็นจวนฉู่กั๋วกง สาเหตุหนึ่งมาจากพระสนมหลิ่วได้รับความโปรดปรานอย่างมาก และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเพราะความสามารถของหลิ่วจิงหงเอง หลิ่วจิงหงเป็นคนมีพรสวรรค์ เขาสามารถทำดินปืนได้ ในอดีตเมื่อครั้งอยู่ฝูเจี้ยน เขาเติบโตเข้าออกจวนอ๋อง เรียกอ๋องหมิ่น ซึ่งก็คือฮ่องเต้หย่งชางในปัจจุบันว่า “พี่เขย” ตั้งแต่เด็กเรียกได้ว่าหลิ่วจิงหงมีทั้งความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น กับฮ่องเต้หย่งชาง และความสามารถอันโดดเด่นดังนั้น ตอนนี้เขาจ
เมื่อเขาเดินออกไป คนเฝ้าประตูก็เข้าไปรายงานท่านผู้เฒ่าหลิ่วทำเสียงฮึดฮัด: “ไร้ประโยชน์สิ้นดี มีแต่ทำเรื่องเสียหาย! เจ้าเองก็เถอะ ไฉนถึงเลียนแบบสตรีไปได้?”คนที่เขาหมายถึงย่อมไม่พ้นบุตรชายของตน ผู้สืบทอดของจวนฉู่กั๋วก๋ง หลิ่วจิงหงหลิ่วจิงหงหัวเราะเบาๆ นั่งอยู่ตรงข้ามเขาอย่างสง่างาม: “ก็คิดว่าอย่างไรเสียก็เป็นคนเคยใช้งานมาก่อน อีกอย่างเขาก็เป็นญาติเกี่ยวดองกับจวนหย่งผิงโหว เลยช่วยพูดแทนสักสองสามคำ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะไร้ความสามารถเพียงนี้?”ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถสร้างปัญหาให้จวนหย่งผิงโหวได้ ยังทำอะไรตระกูลชีไม่ได้เลยสักนิด ซ้ำร้ายยังทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนเสียอีกท่านผู้เฒ่าหลิ่วสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี: “เจ้าต้องระวังให้มาก คนประเภทนี้ พบเจอเรื่องราวมามากจึงไม่กลัวอะไรทั้งนั้น หากตระกูลโจวเกิดเรื่องขึ้นจริง ก็จะพูดอะไรไม่ควรพูดออกมา”นี่คือกำลังเตือนเขาถึงเรื่องราวในตอนนั้นหลิ่วจิงหงเข้าใจดี ยื่นมือรินน้ำชาให้ท่านผู้เฒ่า: “ท่านก็วางใจเถิด ลูกไม่ใช่คนโง่เยี่ยงนั้น เขาไม่มีโอกาสอีกแล้ว”กล่าวจบก็หัวเราะเยาะ: “พูดไปท่านอาจไม่เชื่อ ไอ้คนโง่นี่ ตอนเราปูทางให้เข้าไปทำงานในกรมทหารม้าในตอน