“ไม่มี”“ข้าเพิ่งรู้เบาะแสบางอย่างก็เท่านั้น”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่ลั่วเยวี่ยอิงมิยอมเชื่อง่าย ๆ นางร้องไห้อย่างน้อยใจ และดึงแขนเสื้อของฟู่เฉินหวนเอาไว้ “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องมิอยากรักษาตาให้หม่อมฉันหรือ”“หม่อมฉันรู้ว่าที่ผ่านมามันเป็นความผิดของหม่อมฉันทั้งหมด หม่อมฉันรู้ว่าตัวเองผิด หม่อมฉันจะมิกล้าอีกแล้ว”“หากหม่อมฉันตาบอด หม่อมฉันคงมิอาจมีชีวิตอยู่ได้”“ท่านอ๋องบอกความจริงกับหม่อมฉันเถิดเพคะ หากท่านมิคิดจะรักษาดวงตาของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะไปตายเดี๋ยวนี้เลย”"จะได้มิต้องให้คนอื่นมารังแกตอนที่หม่อมฉันตาบอด..."ลั่วเยวี่ยอิงพูดและร้องไห้สะอึกสะอื้นมากขึ้นกว่าเดิมลั่วชิงยวนถูกรบกวนจนปวดหัว พยายามฝืนตัวเองลุกขึ้นนั่ง หยิบถ้วยชาข้างเตียงแล้วขว้างไป“ถ้าอยากร้องไห้นักก็ออกไปร้องไห้ข้างนอกซะ”ถ้วยชาแตกลงที่เท้าของลั่วเยวี่ยอิง ทำให้ลั่วเยวี่ยอิงร้องไห้หนักขึ้นอีกฟู่เฉินหวนปวดหัวอย่างหนัก เส้นเลือดบนหน้าผากปูดขึ้น เขารีบยกมือขึ้นจับหัวตัวเองรู้สึกเหมือนมีหนามมากมายแทงเข้าไปในสมองของเขา เจ็บปวดแทบทนมิไหวหลายครั้งที่เขาอยากจะรับปากลั่วเยวี
เขาถามอย่างเป็นกังวล “ท่านอ๋อง ท่านจะมิทรงให้หมอหลวงตรวจดูจริง ๆ หรือ?”เหตุการณ์เมื่อครู่ ท่านอ๋องมิเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เหมือนกับกลายเป็นคนละคน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูโหยวก็ยังรู้สึกกลัวอยู่เล็กน้อยดวงตาของฟู่เฉินหวนเย็นชาเล็กน้อย เขาพูดอย่างใจเย็นว่า “ห้ามพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนี้กับใครทั้งนั้น”“นอกจากเจ้าและเซียวชูแล้ว ข้ามิต้องการให้คนที่สี่รู้เรื่องนี้”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซูโหยวก็พยักหน้า“"พ่ะย่ะค่ะ”“แต่ท่านอ๋อง สถานการณ์ของท่านร้ายแรงขนาดนี้ ต้องหาทางแก้ไขพ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนหลับตาลงอย่างหนักใจ “แก้มิได้หรอก”ผ่านมาตั้งนานแล้วเขายังมิรู้เลยว่าร่างกายของตัวเองมีปัญหาอะไรครั้งหนึ่งเขาเคยสงสัยด้วยว่า เขาตกหลุมรักลั่วเยวี่ยอิงจริง ๆ หรือไม่แต่เขาคิดว่าการจะรักใครสักคนก็ควรยอมรับข้อบกพร่องทั้งหมดของนางได้ ตอนที่นางทำอะไรมิงามก็มินึกรังเกียจ และมิถือสาเวลาที่นางใช้เล่ห์กลแต่สำหรับลั่วเยวี่ยอิง เขามิสามารถโน้มน้าวตัวเองว่าชอบนางได้เลยเขาเกลียดความเสแสร้งและเล่เหลี่ยมของนางแต่เขาก็เสียสติบ่อยครั้ง ทนมิได้ที่จะมิปกป้องนาง และกังวลเรื่องนางเขารู้สึกว่ามีบางอย่
“หากเจ้าต้องการสนหิมะเขาฉีซาน ก็ไปงานเลี้ยงกับข้า”นี่คือลายมือของฟู่เฉินหวนข่มขู่นางอีกแล้วนางมิรู้ว่าคราวนี้ฟู่เฉินหวนต้องการทำอะไรอีก แต่นางก็ยังตัดสินใจไปด้วยไม่มีทางหลีกหนีได้อยู่ดีแต่คาดมิถึงว่าฟู่เฉินหวนจะพาลั่วเยวี่ยอิงเข้าวังไปด้วยตอนนี้ชื่อเสียงของลั่วเยวี่ยอิงฉาวโฉ่ นางมิรู้ว่าฟู่เฉินหวนพานางมาด้วยเพราะเหตุใด เพียงเพื่อให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาหรืออย่างไรแต่อย่างไรนางก็มิใช่คนที่ถูกหัวร่อใส่อยู่ดี ลั่วชิงยวนจึงมิสนใจวันนี้ลั่วเยวี่ยอิงแต่งตัวงดงาม นางยังสวมอาภรณ์สีสันสดใสที่นางสวมในงานชมบุปผาครั้งก่อน ด้วยความหวังที่จะให้ตัวเองเด่นกว่าลั่วชิงยวนเมื่อเห็นท่าทางภาคภูมิใจของนาง ลั่วชิงยวนรู้สึกขบขันและมิสนใจ สิ่งที่นางต้องการตอนนี้คือสนหิมะเขาฉีซานนางมิอยากเป็นคนไร้ค่าไปตลอดชีวิตหลังจากเข้าไปในวังหลวง มีหลายคนระหว่างทางที่เห็นลั่วเยวี่ยอิงอยู่ข้างกายฟู่เฉินหวน สายตาของพวกเขาแปลกและเต็มไปด้วยการนินทา“มิใช่ว่าก่อนหน้านี้ลั่วเยวี่ยอิงไปยั่วยวนคุณชายสกุลเหยียนหรอกหรือ? หลังจากก่อให้เกิดเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่เช่นนั้นนางกล้าเข้ามาในวังได้อย่างไร?”"ช่างไร้ยางอาย
ในที่สุด สายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่ฟู่เฉินหวน“ท่านดูเหมือนจะมีฝีมือมิธรรมดา สถานะก็มิธรรมดา ข้าหล่างมู่ต้องการท้าทายท่านและหวังว่าจะได้ประลองฝีมือกับท่าน!”ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกไป ทุกคนในท้องพระโรงก็ตกตะลึงจากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็หัวเราะ“องค์ชายหล่างมู่ เหตุใดมิท้าทายคนอื่นเล่า?”“นี่คืออ๋องผู้สำเร็จราชการแห่งแคว้นเทียนเชวียของเรา ฝีมือของพระองค์เกรงว่าท่านจะรับมือมิไหว”หล่างมู่ยังคงมั่นใจ ยิ้มและพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี ข้ามาที่นี่ก็เพื่อท้าทายคนที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นเทียนเชวียของเจ้า!”คำพูดโอหังนัก!หลายคนคิดว่าองค์ชายหล่างมู่มั่นใจถึงเพียงนี้ ฝีมือก็คงมิธรรมดาฟู่เฉินหวนยืนขึ้นอย่างช้า ๆ และเดินไปที่ท้องพระโรง “เจ้าอยากแข่งขันอย่างไร?”หล่างมู่ตอบว่า “วันนี้เป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพขององค์จักรพรรดิ มิเหมาะที่จะใช้ดาบอาวุธ เรามาประลองมือเปล่ากันดีหรือไม่!”“ตามที่ท่านปรารถนา” ดวงตาของฟู่เฉินหวนสงบนิ่ง มิแสดงอารมณ์ใด ๆจากนั้นองค์ชายหล่างมู่ก็กำหมัดแน่น และโจมตีฟู่เฉินหวนทันทีฟู่เฉินหวนเบี่ยงหลบไปด้านข้าง องค์ชายหล่างมู่ยกมือขึ้นฟาดใส่ ฟู่เฉินหวนเอนหลังหลบ ฝีเท
แววตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา และมองไปที่ลั่วเยวี่ยอิงลั่วเยวี่ยอิงยกยิ้มและเหลือบมองลั่วชิงยวนอย่างยั่วยุ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองนางจงใจทำเช่นนี้!“หืม? ผู้ใดหรือ? มิทราบว่าข้าจะได้ชมความงดงามบ้างหรือไม่!”องค์ชายหล่างมู่ตั้งหน้าตั้งตารออย่างมากทุกคนในท้องพระโรงมีสีหน้าประหลาดใจ สายตาต่างมองมาที่ลั่วชิงยวนใครจะมิรู้ว่าคนที่ร่ายรำเทพเหมันต์ในเมืองหลวงได้เพียงผู้เดียวนั้นคือแม่นางฝูเสวี่ย พระชายาอ๋องที่นั่งอยู่ที่นี่!ดวงตาของฟู่เฉินหวนก็เย็นชาเช่นกันแต่ลั่วเยวี่ยอิงยังพูดต่อ “นั่นคือพระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการของเรา ลั่วชิงยวน!"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ องค์ชายหล่างมู่ก็มองลั่วชิงยวน และทำความเคารพอย่างสุภาพ เขาพูดว่า “มิทราบว่าวันนี้ข้าจะขอให้พระชายาร่ายรำเทพเหมันต์เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของข้าที่เดินทางมาหลายพันลี้ได้หรือไม่!”ดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นชา มิอยากตอบตกลงความปรารถนาของเขาเกี่ยวอะไรกับนางด้วยเล่านอกจากนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ จะให้นางซึ่งเป็นถึงพระชายาอ๋องร่ายรำต่อหน้าคนจากเผ่าอนารยะได้เช่นไร“ท่านอ๋อง มิทราบว่าจะขอให้พระชายาร่ายรำเทพเหมันต์ได้หร
“ขึ้นอยู่กับการแสดงของเจ้า”คำพูดเย็นชาเหล่านั้นทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกอึดอัดในใจลั่วชิงยวนยืนขึ้นและเดินเข้าไปในท้องพระโรงสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ลั่วชิงยวน นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ฝูเสวี่ยร่ายรำเทพเหมันต์หลังจากเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของนางนอกจากนี้ยังมีผู้คนที่เคยชมการร่ายรำเทพเหมันต์ที่หอฝูเสวี่ยแต่ความรู้สึกแตกต่างไปจากครั้งนี้อย่างสิ้นเชิง“ขอบคุณ ท่านอ๋อง!” องค์ชายหล่างมู่ก็แสดงความเคารพต่อฟู่เฉินหวนด้วยความตื่นเต้นทำให้บรรยากาศยิ่งซับซ้อนและยากจะอธิบายยิ่งขึ้นฟู่จิ่งหลีกล่าวอย่างรวดเร็ว “นี่มิใช่เพื่อให้องค์ชายหล่างมู่พอใจ แต่องค์จักรพรรดิมิเคยเห็นการระบำเทพเหมันต์ ท่านอ๋องเพียงต้องการใช้สิ่งนี้แสดงความยินดีกับองค์จักรพรรดิเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพก็เท่านั้น"ฟู่จิ่งหานที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้พูดทันที “ใช่! ข้าเคยได้ยินเรื่องระบำเทพเหมันต์มานานแล้วแต่มิเคยเห็นมาก่อน"“ของขวัญจากอ๋องผู้สำเร็จราชการและพระชายาในวันนี้ ข้าพอใจมาก!”คนอื่น ๆ ก็พากันเห็นด้วย ทำให้ความหมายของการร่ายรำนี้ถูกดึงกลับมาเมื่อเสียงเพลงดังขึ้น ลั่วชิงยวนก็เริ่มร่ายรำแม้ว่านางจะรู้ทุกย่
ฟู่เฉินหวนหันไปมองนางเมื่อมองดูสายตาของฟู่เฉินหวน ลั่วชิงยวนก็รู้สึกหนาวสั่นในใจ“นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนเย็นชาหัวใจของฟู่เฉินหวนสับสน แต่มิกล้าแสดงอารมณ์อย่างเปิดเผย น้ำเสียงของเขาสงบและเย็นชา ปราศจากความอบอุ่นโดยสิ้นเชิงสายตาของเขาก็เย็นชาเช่นกัน“อย่างไรก็ไม่มีอะไร เจ้าไปพักสักสองวันก็มิเป็นอะไรหรอก”ดวงตาของลั่วชิงยวนแดงก่ำทันที “มิเป็นอะไรหรือ?”นางหัวเราะกับตัวเอง “ก็ดี ถ้ามิเป็นอะไร”จากนั้นดวงตาของลั่วชิงยวนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “ในเมื่อท่านอ๋องทรงคิดว่ามันมิเป็นไรจริง ๆ เช่นนั้นก็มิเป็นไร”“หม่อมฉันจะไป”ทันทีที่คำพูดดังกล่าวหลุดออกมา องค์ชายหล่างมู่ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก “เยี่ยมมาก! ขอขอบคุณท่านอ๋องที่ยอมเสียสละ!”คำพูดเหล่านี้เปลี่ยนการแสดงออกของฟู่เฉินหวนทันทีฟู่จิ่งหลีกังวล และรีบพูดว่า “นี่ นี่ นี่ นี่มิเรียกว่าการเสียสละ พระชายาเพียงไปฝึกทักษะดนตรี นางยังคงเป็นพระชายาอ๋องอยู่!"องค์ชายหล่างมู่ยิ้มอย่างเชื่องช้า “ใช่ ใช่ ใช่ ข้าพูดผิดไปเอง”จากนั้นองค์ชายหล่างมู่ก็กลับไปนั่งลงที่เดิมทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ มีการร้องเพลง ร่ายรำในวังห
ลั่วชิงยวนติดตามองค์ชายหล่างมู่และองค์หญิงหล่างชิ่นออกจากวังหลวง ขึ้นรถม้า และมุ่งหน้าไปยังที่พักของพวกเขาระหว่างทาง องค์ชายหล่างมู่เยินยอลั่วชิงยวนหลายครั้ง แต่ลั่วชิงยวนเพียงยิ้มเบา ๆ และมิตอบอะไรกลับไปหล่างชิ่นยังกล่าวอีกว่า “พระชายา เจ้าเป็นสตรีที่สวยที่สุดที่ข้าเคยเห็นในแคว้นเทียนเชวีย! เจ้างดงาม อ๋องผู้สำเร็จราชการมิคู่ควรกับท่าน เหตุใดมิไปกับเราที่เผ่านอกด่านเล่า เจ้าจะกลายเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดในเผ่านอกด่านของเราอย่างแน่นอน!”ลั่วชิงยวนยิ้มเบา ๆ “ขอบพระทัยองค์หญิงหล่างชิ่นสำหรับความมีน้ำพระทัยของท่าน แต่หม่อมฉันเกิดและโตที่นี่ ที่นี่คือบ้านของหม่อมฉัน”“ก็ได้ เราจะมิบังคับ” หล่างชิ่นมิได้พูดอะไรมากเมื่อพวกเขามาถึงสถานที่ที่หล่างชิ่นและคนอื่น ๆ อาศัยอยู่ มันเป็นบ้านธรรมดา ๆ ดูเหมือนว่าเป็นสถานที่ที่พวกเขาเช่าชั่วคราวเมื่อมาถึงเมืองหลวงในจวนมีทหารองครักษ์ประมาณสามสิบถึงสี่สิบนาย คงเป็นพวกที่ตามมาด้วยในหมู่พวกเขายังมีสตรีสองสามคน ดูเหมือนจะเป็นนางรับใช้ทุกคนสุภาพต่อลั่วชิงยวนมาก และยังแบ่งปันอาหารอันโอชะของเผ่านอกด่านกับลั่วชิงยวนอีกด้วยแม้ว่าพวกเขาจะใจดีมากแต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้