แววตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา และมองไปที่ลั่วเยวี่ยอิงลั่วเยวี่ยอิงยกยิ้มและเหลือบมองลั่วชิงยวนอย่างยั่วยุ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองนางจงใจทำเช่นนี้!“หืม? ผู้ใดหรือ? มิทราบว่าข้าจะได้ชมความงดงามบ้างหรือไม่!”องค์ชายหล่างมู่ตั้งหน้าตั้งตารออย่างมากทุกคนในท้องพระโรงมีสีหน้าประหลาดใจ สายตาต่างมองมาที่ลั่วชิงยวนใครจะมิรู้ว่าคนที่ร่ายรำเทพเหมันต์ในเมืองหลวงได้เพียงผู้เดียวนั้นคือแม่นางฝูเสวี่ย พระชายาอ๋องที่นั่งอยู่ที่นี่!ดวงตาของฟู่เฉินหวนก็เย็นชาเช่นกันแต่ลั่วเยวี่ยอิงยังพูดต่อ “นั่นคือพระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการของเรา ลั่วชิงยวน!"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ องค์ชายหล่างมู่ก็มองลั่วชิงยวน และทำความเคารพอย่างสุภาพ เขาพูดว่า “มิทราบว่าวันนี้ข้าจะขอให้พระชายาร่ายรำเทพเหมันต์เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของข้าที่เดินทางมาหลายพันลี้ได้หรือไม่!”ดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นชา มิอยากตอบตกลงความปรารถนาของเขาเกี่ยวอะไรกับนางด้วยเล่านอกจากนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ จะให้นางซึ่งเป็นถึงพระชายาอ๋องร่ายรำต่อหน้าคนจากเผ่าอนารยะได้เช่นไร“ท่านอ๋อง มิทราบว่าจะขอให้พระชายาร่ายรำเทพเหมันต์ได้หร
“ขึ้นอยู่กับการแสดงของเจ้า”คำพูดเย็นชาเหล่านั้นทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกอึดอัดในใจลั่วชิงยวนยืนขึ้นและเดินเข้าไปในท้องพระโรงสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ลั่วชิงยวน นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ฝูเสวี่ยร่ายรำเทพเหมันต์หลังจากเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของนางนอกจากนี้ยังมีผู้คนที่เคยชมการร่ายรำเทพเหมันต์ที่หอฝูเสวี่ยแต่ความรู้สึกแตกต่างไปจากครั้งนี้อย่างสิ้นเชิง“ขอบคุณ ท่านอ๋อง!” องค์ชายหล่างมู่ก็แสดงความเคารพต่อฟู่เฉินหวนด้วยความตื่นเต้นทำให้บรรยากาศยิ่งซับซ้อนและยากจะอธิบายยิ่งขึ้นฟู่จิ่งหลีกล่าวอย่างรวดเร็ว “นี่มิใช่เพื่อให้องค์ชายหล่างมู่พอใจ แต่องค์จักรพรรดิมิเคยเห็นการระบำเทพเหมันต์ ท่านอ๋องเพียงต้องการใช้สิ่งนี้แสดงความยินดีกับองค์จักรพรรดิเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพก็เท่านั้น"ฟู่จิ่งหานที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้พูดทันที “ใช่! ข้าเคยได้ยินเรื่องระบำเทพเหมันต์มานานแล้วแต่มิเคยเห็นมาก่อน"“ของขวัญจากอ๋องผู้สำเร็จราชการและพระชายาในวันนี้ ข้าพอใจมาก!”คนอื่น ๆ ก็พากันเห็นด้วย ทำให้ความหมายของการร่ายรำนี้ถูกดึงกลับมาเมื่อเสียงเพลงดังขึ้น ลั่วชิงยวนก็เริ่มร่ายรำแม้ว่านางจะรู้ทุกย่
ฟู่เฉินหวนหันไปมองนางเมื่อมองดูสายตาของฟู่เฉินหวน ลั่วชิงยวนก็รู้สึกหนาวสั่นในใจ“นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนเย็นชาหัวใจของฟู่เฉินหวนสับสน แต่มิกล้าแสดงอารมณ์อย่างเปิดเผย น้ำเสียงของเขาสงบและเย็นชา ปราศจากความอบอุ่นโดยสิ้นเชิงสายตาของเขาก็เย็นชาเช่นกัน“อย่างไรก็ไม่มีอะไร เจ้าไปพักสักสองวันก็มิเป็นอะไรหรอก”ดวงตาของลั่วชิงยวนแดงก่ำทันที “มิเป็นอะไรหรือ?”นางหัวเราะกับตัวเอง “ก็ดี ถ้ามิเป็นอะไร”จากนั้นดวงตาของลั่วชิงยวนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “ในเมื่อท่านอ๋องทรงคิดว่ามันมิเป็นไรจริง ๆ เช่นนั้นก็มิเป็นไร”“หม่อมฉันจะไป”ทันทีที่คำพูดดังกล่าวหลุดออกมา องค์ชายหล่างมู่ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก “เยี่ยมมาก! ขอขอบคุณท่านอ๋องที่ยอมเสียสละ!”คำพูดเหล่านี้เปลี่ยนการแสดงออกของฟู่เฉินหวนทันทีฟู่จิ่งหลีกังวล และรีบพูดว่า “นี่ นี่ นี่ นี่มิเรียกว่าการเสียสละ พระชายาเพียงไปฝึกทักษะดนตรี นางยังคงเป็นพระชายาอ๋องอยู่!"องค์ชายหล่างมู่ยิ้มอย่างเชื่องช้า “ใช่ ใช่ ใช่ ข้าพูดผิดไปเอง”จากนั้นองค์ชายหล่างมู่ก็กลับไปนั่งลงที่เดิมทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ มีการร้องเพลง ร่ายรำในวังห
ลั่วชิงยวนติดตามองค์ชายหล่างมู่และองค์หญิงหล่างชิ่นออกจากวังหลวง ขึ้นรถม้า และมุ่งหน้าไปยังที่พักของพวกเขาระหว่างทาง องค์ชายหล่างมู่เยินยอลั่วชิงยวนหลายครั้ง แต่ลั่วชิงยวนเพียงยิ้มเบา ๆ และมิตอบอะไรกลับไปหล่างชิ่นยังกล่าวอีกว่า “พระชายา เจ้าเป็นสตรีที่สวยที่สุดที่ข้าเคยเห็นในแคว้นเทียนเชวีย! เจ้างดงาม อ๋องผู้สำเร็จราชการมิคู่ควรกับท่าน เหตุใดมิไปกับเราที่เผ่านอกด่านเล่า เจ้าจะกลายเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดในเผ่านอกด่านของเราอย่างแน่นอน!”ลั่วชิงยวนยิ้มเบา ๆ “ขอบพระทัยองค์หญิงหล่างชิ่นสำหรับความมีน้ำพระทัยของท่าน แต่หม่อมฉันเกิดและโตที่นี่ ที่นี่คือบ้านของหม่อมฉัน”“ก็ได้ เราจะมิบังคับ” หล่างชิ่นมิได้พูดอะไรมากเมื่อพวกเขามาถึงสถานที่ที่หล่างชิ่นและคนอื่น ๆ อาศัยอยู่ มันเป็นบ้านธรรมดา ๆ ดูเหมือนว่าเป็นสถานที่ที่พวกเขาเช่าชั่วคราวเมื่อมาถึงเมืองหลวงในจวนมีทหารองครักษ์ประมาณสามสิบถึงสี่สิบนาย คงเป็นพวกที่ตามมาด้วยในหมู่พวกเขายังมีสตรีสองสามคน ดูเหมือนจะเป็นนางรับใช้ทุกคนสุภาพต่อลั่วชิงยวนมาก และยังแบ่งปันอาหารอันโอชะของเผ่านอกด่านกับลั่วชิงยวนอีกด้วยแม้ว่าพวกเขาจะใจดีมากแต
หล่างชิ่นกล่าวว่า “แยกกันปฏิบัติการ ต้องสืบให้ชัดเจนว่าใครเป็นคนคุ้มกันเบี้ยหวัดทหาร และเส้นทางที่พวกเขาใช้ด้วย”“คราวนี้ ข้าจะทำให้ฉินเชียนหลี่ตายอย่างไร้ที่ฝัง!”น้ำเสียงที่โหดเหี้ยมอย่างยิ่งทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนสั่นสะท้านเบี้ยหวัดทหาร?พวกเขากำลังหมายตาเบี้ยหวัดทหารจริง ๆเป้าหมายคือฉินเชียนหลี่!นางว่าแล้ว คนเหล่านี้จะประพฤติตนนอบน้อมเช่นนี้ได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเข่นฆ่าผู้คนราวกับผักปลา?ดูเหมือนวันนี้ที่แกล้งแสดงความสามารถในท้องพระโรงแล้วพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชให้กับฟู่เฉินหวนก็เป็นการแกล้งทำตัวให้อ่อนแอ เพื่อให้พวกเขาประมาทชายแดนอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ การสื่อสารช้าอยู่แล้วหากมีการแทรกแซงข่าวกรองอีก ฉินเชียนหลี่จะตกอยู่ในอันตราย และทางราชสำนักอาจมิสามารถให้ความช่วยเหลือทันเวลา!ลั่วชิงยวนมิกล้าคิดไปไกลกว่านี้ตอนนี้นางรู้สึกขนหัวลุกทันใดนั้นก็มีแมวป่าตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากมุมห้องส่งเสียงร้องออกมาจู่ ๆ ห้องก็เงียบลงหัวใจของลั่วชิงยวนเต้นตุบ ขยับเท้าแต่ละก้าวย่างอย่างระมัดระวังเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้ามินานประตูก็เปิดออกคนข้างในออกมาตรวจสอบอาศัยประโ
มิได้! นางสูญเสียวรยุทธทั้งหมดไปแล้วดังนั้นนางมิควรอยู่ที่นี่นาน!นางลุกขึ้นเปิดประตู ตั้งใจจะออกไปแต่ทว่าทันทีที่ประตูเปิด หล่างมู่กลับยืนอยู่ที่นอกประตูภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้านั้นมีความโหดเหี้ยมที่มิเคยปรากฏในตอนกลางวันแสดงออกมา“พระชายา ดึกดื่นเช่นนี้เจ้าจะไปที่ใดหรือ?”หล่างมู่เดินเข้ามาในห้อง ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ลั่วชิงยวนด้วยจิตสังหารรุนแรงหัวใจของลั่วชิงยวนบีบรัด แต่นางก็ยังคงสงบและพูดอย่างมิพอใจ “องค์ชายหล่างมู่เฝ้าอยู่นอกห้องของหม่อมฉันหรือ? ท่านคิดจะทำอะไร?"“หม่อมฉันแค่มาเยี่ยมในฐานะแขก มิใช่นักโทษที่ถูกกักขัง”หล่างมู่ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว บังคับให้ลั่วชิงยวนต้องล่าถอยไปทีละก้าวเขามองนางด้วยสายตาคมกริบ “พระชายา คืนนี้เจ้าได้ยินสิ่งใดบ้าง?”สีหน้าของลั่วชิงยวนเปลี่ยนไป “ว่ากระไรนะเพคะ?”หล่างมู่มองลงไปที่เท้าของนางอย่างมีนัยแล้วพูดว่า “รองเท้าของพระชายาเปื้อนโคลน และยังมีใบไม้ติดอยู่ด้วย”“หรือพระชายาตื่นตระหนกมากไปตอนหนี ถึงได้ไม่มีเวลาทำความสะอาดรองเท้ารึ?”ลั่วชิงยวนรู้สึกหายใจมิออก และมิกล้าก้มลงมองนางเพียงพูดเสียงเย็นว่า "บ้านหลังนี้มีใบไม้ร่วงอยู่
อาภรณ์ฉีกขาด และแขนของลั่วชิงยวนสัมผัสกับอากาศทันที ความหนาวเย็นกระทบเข้ามาความหวาดกลัวเย็นยะเยือกแผ่ซ่านส่วนลึกของหัวใจ ทำให้ผิวทุกตารางนิ้วตึงเครียดหล่างมู่คว้าเศษผ้าที่ฉีกขาดแล้วพันแผลบนฝ่ามืออย่างแน่นหนาลั่วชิงยวนใช้โอกาสลุกขึ้นและพุ่งไปที่ประตู พยายามหลบหนีออกไปแต่เมื่อนางวิ่งไปที่ประตู กลับถูกหล่างมู่ดึงกลับไปอย่างแรงพลังนั้นแข็งแกร่งมากจนลั่วชิงยวนรู้สึกเหมือนกระดูกที่ไหล่ของนางกำลังจะแหลกสลายนี่มิเหมือนกับวรยุทธที่เขาใช้ตอนที่เขาพ่ายแพ้ให้กับฟู่เฉินหวนแท้จริงแล้วทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องโกหก เป็นการแสดงทั้งสิ้น!พลังที่แข็งแกร่งเหวี่ยงลั่วชิงยวนลงไปที่พื้นอย่างแรงทันใดนั้น ร่างกายของนางก็รู้สึกเหมือนแตกสลาย กระดูกส่งเสียง และความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็แผ่ไปทั่วร่างกาย ทำให้นางมิสามารถลุกขึ้นได้เลือดพุ่งออกมาจากปากร่างกายของนางรู้สึกราวกับโดนก้อนหินขนาดใหญ่หล่นทับ กระดูกของนางก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ จากการกระแทก มีเลือดไหลอาบลั่วชิงยวนเจ็บปวดและร่างกายสั่นสะท้าน มิสามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้แม้แต่น้อยพลังและกำลังภายในนี้ อย่างน้อยก็มากกว่าเซียวชูและคนอื่น ๆลั่
“เจ้ากล้ารังแกท่านแม่ข้ารึ?! รนหาที่ตาย!”ร่างของหล่างมู่ลอยออกไปกระแทกกำแพงอย่างรุนแรงด้วยเสียงปัง กำแพงก็พังทลายลงมาลั่วอวิ๋นสี่ลงจากหลังคามาที่พื้นทันที ช่วยพยุงลั่วชิงยวนให้ลุกขึ้น “เจ้ามิเป็นไรใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนมองดูการเคลื่อนไหว โดยคิดว่าหล่างชิ่นคงจะกลับมาในมิช้านี้ และพูดอย่างกังวลใจ “รีบไปเร็ว"“พาเซียวชูไปด้วย!”ลั่วอวิ๋นสี่ก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยเซียวชู แต่เซียวชูสลบไปแล้ว และลั่วอวิ๋นสี่ก็มิสามารถช่วยพยุงเขาได้ลั่วชิงยวนตะโกน “เตี่ยฉุย มาช่วยข้าด้วย!”เตี่ยฉุยกลับมาที่ร่างของลั่วอวิ๋นสี่ทันที จับเซียวชูขึ้นมา จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่ออุ้มลั่วชิงยวน และใช้วิชาตัวเบาบินออกไปลั่วชิงยวนกระอักเป็นเลือดหลายครั้งในระหว่างทาง ลั่วอวิ๋นสี่กังวลเป็นอย่างมากนางพาลั่วชิงยวนกลับไปยังตำหนักอ๋องทันที ไม่มีเวลาเรียกหาใครด้วยซ้ำ เช่นนั้นนางจึงไปหาซ่งเชียนฉู่ทันที“เจ้าต้องทนไว้นะ!”ในสวนจือเฉาได้ยินเสียงจึงเข้ามา เมื่อนางเห็นร่างพระชายาอาบไปด้วยเลือด นางก็ตกใจมากจนแทบเสียสติ“พระชายา! พระชายา!”จือเฉาวิ่งออกไปทันทีและตะโกน “ใครก็ได้! ใครก็ได้!”ลั่วชิงยวนถูกอุ้มก
นางเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ได้”ลั่วฉิงพยุงนางขึ้น แล้วโยนนางลงบนเก้าอี้ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะพูด “ข้าต้องการสมุนไพร”มือทั้งสองข้างของนางวางอยู่บนที่วางแขน แท่งเหล็กยังคงปักอยู่ เลือดไหลอาบมิหยุด ขยับร่างกายมิได้เลยลั่วฉิงมองนางอย่างเย็นชา ก่อนจะกดมือของนางไว้แล้วดึงแท่งเหล็กออกอย่างรวดเร็ว“กรี๊ด”ลั่วชิงยวนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดลั่วฉิงโน้มตัวลงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้ามิเคยกลัวความเจ็บปวดเช่นนี้ ลั่วเหลา”ลั่วชิงยวนตัวสั่น มองนางด้วยความตกใจ“นี่ก็เป็นสิ่งที่ฟู่เฉินหวนบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนรู้สึกทั้งโกรธและสิ้นหวังในใจลั่วฉิงนำยามาทำแผลให้พลางหัวเราะอย่างดูถูก “มินึกเลยว่านักบวชระดับสูงลั่วเหลาผู้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ถูกอาจารย์เอ็นดูทะนุถนอมมาโดยตลอด สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับบุรุษ”ในน้ำเสียงของลั่วฉิงแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาลั่วชิงยวนมองนางด้วยแววตาเย็นชา “ข้ากับเจ้ามิเคยมีเรื่องบาดหมางกันมิใช่หรือ”แววตาของลั่วฉิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองนางอย่างเย็นชา “ในสายตาของเจ้า อาจจะไม่มีเรื่องบาดหมาง”“แต่สำหรับข้า เรื่องบาดหมางนั้นใหญ่หลวงนัก
“กรี๊ด” ลั่วชิงยวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า แท่งเหล็กถูกแทงลึกลงไปอีก ความรู้สึกที่กระดูกถูกแยกออกจากกันนั้นทำให้เจ็บปวดจนอยากตาย“ดี ยังมิยอมบอกอีกใช่หรือไม่”ลั่วฉิงหยิบแท่งเหล็กอีกอันแทงเข้าไปในมืออีกข้างของลั่วชิงยวนอย่างแรงตลอดทั้งคืน ลั่วชิงยวนถูกทรมานจนเหมือนตายแล้วเกิดขึ้นใหม่ หลายครั้งที่สลบไปเพราะความเจ็บปวด แล้วก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดจนในที่สุด คอของนางก็แหบแห้งจนส่งเสียงร้องมิได้ด้วยซ้ำฟ้าสางแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามา ลั่วชิงยวนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นราวกับแอ่งโคลนเปียก มิขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยเลือดเปรอะเปื้อนอาภรณ์ของนางจนเป็นสีแดงฉาน แสงแดดส่องกระทบกองเลือดจนเป็นประกาย......ตำหนักอ๋องมีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากห้องตำรา“ยังไม่มีใครมารายงานข้าสักคน! รีบไปหา! ออกไปหาให้หมด!”ฟู่เฉินหวนโกรธจัด มึนหัวจนต้องเอามือยันโต๊ะไว้ถึงแม้จะนั่งลงเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ยังมิสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ร้อนรุ่มใจยิ่งนักได้แต่หวังว่านางจะออกจากตำหนักไปเองจือเฉายังคงอยู่ที่หน้าประ
ในชั่วขณะนั้น นางเกือบจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เหตุใดนางจึงเห็นลั่วฉิงแต่คำพูดของลั่วฉิงในวินาทีต่อมา ทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวลึก“แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังจัดการคนดื้อรั้นเช่นเจ้ามิได้ ต้องให้ข้ามาเองเลยหรือ”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นเทามิหยุด หนาวเหน็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าซีดเซียวหยดลงบนพื้นทีละหยดลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่งแต่มิใช่ในตำหนักอ๋อง“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” นางจำได้ว่าหลังจากที่จือเฉาทายาให้แล้วนางก็หลับไปลั่วฉิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนส่งเจ้ามาให้ข้า”“เขาเค้นคำตอบจากเจ้ามิได้ จึงต้องให้ข้ามาจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งเขายังคิดว่าตัวเองยังโหดร้ายมิพออีกหรือ จึงส่งนางให้ลั่วฉิงเช่นนี้นี่ต้องการทรมานนางจนตายจึงจะหายแค้นหรืออย่างไรลั่วฉิงหยิบกล่องใบหนึ่งมาเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแท่งเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต้องการอะไร”“หากตอนนี้เจ้าบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“หากพลาดโอกาสนี้
ในวินาทีต่อมา องครักษ์ก็กรูกันเข้ามาลากลั่วชิงยวนออกไปที่ลานหลังจากกดนางลงกับพื้นก็ใช้หวายฟาดลงบนร่างของนางอย่างมิปรานีความเจ็บปวดแล่นริ้ว ลั่วชิงยวนจิกเล็บลงบนพื้นหิมะจนเป็นรอยลึกจือเฉากระโจนเข้ามาจากนอกลาน “หยุด! หยุด!”“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงทำกับพระชายาเช่นนี้ พระชายาทำผิดอันใดหรือเพคะ!”“ท่านอ๋อง ขอได้โปรดปล่อยพระชายาเถิดเพคะ! ตั้งแต่เข้าเหมันตฤดู แผลบนร่างของพระชายาก็ยังมิหาย! หากโบยเช่นนี้ต่อไปคงจะสิ้นใจเป็นแน่เพคะ!”“ท่านอ๋องทรงพระกรุณาด้วยเพคะ!” จือเฉาโผเข้ากอดลั่วชิงยวนเพื่อรับหวายแทนแต่กลับถูกองครักษ์ดึงตัวออกไปจือเฉาร้องขอความเมตตาสุดเสียง แต่บุรุษที่ยืนอยู่ใต้ชายคากลับมีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาฉายแววเย็นชาไร้ซึ่งความอบอุ่น“พระชายา...” จือเฉาร้อนใจ แทบจะเป็นลมเพราะร้องไห้หนักลั่วชิงยวนเจ็บปวดจนแทบมิได้ยินเสียงของจือเฉา มีเพียงความเจ็บปวดมิรู้จบ ยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุดหลังจากที่ลั่วชิงยวนสลบไป ฟู่เฉินหวนจึงสั่งให้หยุดแล้วจากไปด้วยความโกรธจือเฉาโผเข้าหาลั่วชิงยวน เมื่อเอื้อมมือไปสัมผัสก็พบว่ามือเปื้อนไปด้วยเลือด นางรีบชักมือกลับมองเลือดที่ไหลนองเต็มพื
ฟู่เฉินหวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาที่น่ารังเกียจนั้นทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงลั่วชิงยวนกัดฟันพลางกลั้นน้ำตาไว้ “ท่านมิได้บอกว่าจะเชื่อหม่อมฉันหรอกหรือเพคะ?”“หากหม่อมฉันบอกท่านทั้งหมด ท่านก็จะเชื่อหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ!”ฟู่เฉินหวนมีแววตาเย็นชา มองนางอย่างเฉยเมย “แต่เจ้าบอกข้าทั้งหมดแล้วหรือยังเล่า? เจ้ายังคงปิดบัง ยังคงหลอกลวง!”เสียงตำหนินั้นเต็มไปด้วยความโกรธทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนแทบแตกสลาย“ฟู่เฉินหวน วันนี้ท่านมาก็เพื่อหลอกลวงหม่อมฉันอีกแล้วใช่หรือไม่”“จุดประสงค์สุดท้ายของท่านคือ หลอกล่อให้หม่อมฉันบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ เพราะลั่วฉิงใช้มันมิได้ ใช่หรือไม่!”ลั่วชิงยวนตะโกนด้วยความโกรธ“หม่อมฉันช่างโง่เขลาที่เชื่อใจท่าน บอกความลับทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านก็หลอกลวงหม่อมฉันอีกครั้ง...”พูดไปน้ำตาของลั่วชิงยวนก็ไหลรินในเวลานี้ หัวใจของลั่วชิงยวนราวกับถูกควักออกมาผ่าเป็นสองซีกเจ็บปวดเจียนตายแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิเปลี่ยนสีหน้า แววตายิ่งเย็นชาขึ้นเขาบีบคอของนางด้วยความโกรธ“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าก็ขี้เกียจเสแสร้งกับเจ้าแล้ว”“เข็มท
ฟู่เฉินหวนตกใจมองนางด้วยความประหลาดใจก่อนจะตอบว่า “ได้”“หากเจ้าอธิบายได้ชัดเจน ข้ายินดีเชื่อเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”ได้ยินดังนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยรีบกล่าวทันที “หม่อมฉันชื่อลั่วเหลา แท้จริงแล้วลั่วอิงคืออาจารย์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันตายไปแล้วมาเกิดใหม่ในร่างของลั่วชิงยวน”“วันรุ่งขึ้นหลังจากวันแต่งงาน ลั่วชิงยวนก็ปลิดชีพตัวเอง หลังจากนั้นร่างนี้ก็มิใช่ลั่วชิงยวนอีกต่อไป แต่เป็นหม่อมฉัน ลั่วเหลา”“หม่อมฉันเป็นชาวแคว้นหลี”“ดังนั้นความสามารถที่หม่อมฉันมีจึงเป็นสิ่งที่ลั่วชิงยวนไม่มี”“เรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นหลี หม่อมฉันก็เพิ่งค้นพบตอนที่ไปเผ่านอกด่าน หลังจากที่อาจารย์ค้นพบความลับนี้ ก็พยายามค้นหาวิธีแก้ไขเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์”“เพราะหากความลับนี้รั่วไหลออกไป จะมีคนมากมายเกิดความโลภ จะทำให้ทั้งใต้หล้าประสบพบความวุ่นวาย เลือดนองแผ่นดิน”“...”ลั่วชิงยวนเล่าความลับทั้งหมดของนางให้เขาฟังโดยมิปิดบังนางรู้สึกว่าคนที่เคยเปิดใจให้กันคงจะมิทรยศกันง่าย ๆตราบใดที่นางจริงใจ มิปิดบังสิ่งใด นางก็จะได้รับการตอบสนองเช่นเดียวกันหลังจากที่นางพูดจบ ฟู่เฉินหวนก็ตกตะลึ
เหตุใดแคว้นหลีจึงส่งกองทัพมากะทันหันฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถาม “ท่านมหาปราชญ์ ท่านเชี่ยวชาญด้านนี้ พอจะทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่?”“ควรจะรับมืออย่างไร”ขุนนางทั้งหลายต่างมองไปที่ลั่วฉิง ลั่วฉิงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้... ทำนายได้ แต่หม่อมฉันต้องการเวลาเพคะ”ฟู่อวิ๋นโจวมีสีหน้ากังวล และถามว่า “ท่านมหาปราชญ์ต้องการเวลานานเพียงใด?”ลั่วฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สามวันเพคะ!”สิ้นคำพูดของนาง หลายคนก็แสดงความมิพอใจ“สามวันหรือ? ซีหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวพันลี้ สามวันกว่าจะบอกผลลัพธ์ จะทันการณ์ได้อย่างไร”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการก็มิได้ใช้เวลานานถึงเพียงนั้น”“ใช่ ท่านมหาปราชญ์คงจะมิค่อยมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นกระมัง”คำพูดนี้ทำให้ลั่วฉิงหน้าซีดเผือด“สองวัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสองวัน!” ลั่วฉิงกัดฟันกล่าวในตอนนี้ ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “แคว้นหลีส่งกองทัพมาโดยมิทราบสาเหตุ ข้าคิดว่าตอนนี้ควรส่งคนไปเจรจากับแคว้นหลีโดยด่วน”“ระหว่างนั้นก็ส่งกองกำลังไปเสริมอย่างลับ ๆ ด้วย อย่าได้พึ่งพาแต่ผลการทำนายของท่านมหาปราชญ์”“หากผลลัพธ์ออกมาแล้ว
เมื่อเฉินชีได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักแล้วยกยิ้มมุมปาก เดินมาที่หน้าต่าง พิงกำแพงพลางกอดอก “เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นใคร?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นักบวชระดับสูง”ดวงตาของเฉินชีลุกโชนด้วยประกายร้อนแรง “อาเหลา ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจจะไปกับข้าแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเย่อหยิ่ง “กลับแคว้นหลีก็ได้ ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”“แคว้นหลีจะมีนักบวชระดับสูงได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น”เฉินชียกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างนอบน้อม “อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย สิบเรื่อง ร้อยเรื่อง เฉินชีก็ยินดีทำเพื่อนักบวชระดับสูงทั้งสิ้น!”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองเขาด้วยแววตาที่ลึกล้ำถึงแม้เฉินชีจะบ้าแต่ก็มิใช้คนโง่เขลา เขาทำอะไรตามอำเภอใจแต่ก็คงมิยอมสยบต่อนางง่าย ๆ เช่นนี้การเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้ทำให้นางมิค่อยเชื่อถือ“เจ้าฟังเรื่องที่ข้าจะให้เจ้าทำก่อนค่อยตอบรับก็ยังมิสาย”เฉินชีลุกขึ้นมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านนักบวชต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”“ข้าต้องการให้เจ้ายกทัพไปตีซีหลิง”“แต่ห้ามสู้รบกันจริง ๆ ห้ามทำร้ายราษฎร”เฉ
ใจของลั่วชิงยวนร้อนรุ่มดั่งไฟสุม นางพยายามดิ้นรนสุดแรง “ปล่อยข้านะ!”“ฟู่เฉินหวน ท่านช่างไร้หัวใจอะไรเยี่ยงนี้!”ทว่าฟู่เฉินหวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มิสะทกสะท้านแม้แต่น้อยเมื่อเห็นแม่นมเติ้งใกล้จะทนมิไหวแล้ว น้ำตาลั่วชิงยวนก็เอ่อคลอ“หม่อมฉันจะมิออกจากเรือนแล้ว หม่อมฉันจะมิออกจากห้องแล้ว ได้หรือไม่!”นางมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามวิงวอนขอร้องในที่สุดนางก็ยอมก้มหน้าลง“ขอท่านไว้ชีวิตนางด้วยเถิดเพคะ!” ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงอย่างอ่อนแรงแววตาฟู่เฉินหวนมืดมนเดิมทีลั่วชิงยวนคิดว่าเมื่อนางขอร้องแล้ว ฟู่เฉินหวนคงจะไว้ชีวิตแม่นมเติ้งแต่ฟู่เฉินหวนกลับมีแววตาเย็นชา “นางเป็นบ่าวของตำหนัก มิใช่บ่าวของเจ้า นางขัดคำสั่งข้า สำหรับข้าแล้ว ไม่มีคำว่ายกโทษ”น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาเป็นดั่งหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนตกตะลึงนางโกรธจนตะโกนลั่น “ฟู่เฉินหวน!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดขณะกล่าวเสียงเย็น “พาตัวนางไป”องครักษ์จับตัวลั่วชิงยวนแล้วลากออกไปฟู่เฉินหวนมองนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้ายังท้าทายข้าอีก จะต้องมีคนตายมา่กกว่านี้แน่”แ