“นั่นประตูอะไร? นั่นมิใช่ช่องสุนัขลอดหรอกหรือ?”คนที่เดินผ่านไปมาพูดด้วยความตกใจคนข้างนอกต่างก็ตกตะลึงลั่วเยวี่ยอิงได้ยินเสียงจึงเปิดม่านรถม้าออกเมื่อนางเห็นว่าประตูเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดจากประตูหลักเปิดอยู่ ลั่วเยวี่ยอิงก็โกรธมากจนเล็บของนางจิกในฝ่ามือช่องสุนัขลอด!ลั่วชิงยวนต้องการให้นางคลานเข้าไปในช่องสุนัขลอดเช่นนั้นหรือ?สาวใช้ก้าวไปเรียกที่ประตูด้วยความมิพอใจ “พวกเจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร! อย่างไรคุณหนูของเราก็เป็นบุตรีของอัครเสนาบดี เหตุใดเจ้าถึงทำให้นางขายหน้าเช่นนี้! เจ้าพวกขี้ข้า!”ในประตูเล็กมีเด็กรับใช้อยู่คนหนึ่งตอบว่า “เมื่อมิใช่ภรรยาหลวง ก็มิสมควรได้รับการต้อนรับที่ประตูใหญ่”“ยิ่งกว่านั้น ชายารองก็มิใช่สตรีบริสุทธิ์ หากนางต้องการเข้าตำหนัก นางก็ทำได้เพียงผ่านประตูนี้เท่านั้นแล”เมื่อได้ยินดังนั้น สาวใช้ก็โกรธ “หมายความเยี่ยงไร! ใครเป็นคนออกคำสั่ง? ท่านอ๋องอยู่ที่ใด!”“ข้ามิเชื่อว่าท่านอ๋องจะปฏิบัติต่อคุณหนูของเราเช่นนี้!”ชายหนุ่มตอบอย่างเย็นชา “พระชายาของเราบอกว่ามีประตูนี้ประตูเดียว จะเข้ามิเข้าก็ตามใจ”หลังจากพูดจบ เด็กชายก็จากไปมีเสียงฮือฮาหน้าประตูผู้
เว่ยอวิ๋นเซี๋ยถูกองครักษ์ของตำหนักอ๋องจับกุมไปต่อหน้าทุกคน และโยนเข้าไปในตรอกร้างข้าง ๆจากนั้น คนอีกกลุ่มก็กระโดดลงมาจากฟ้าพร้อมกระสอบ คลุมหัวเว่ยอวิ๋นเซี๋ยและอุ้มนางออกไปหลังจากที่ปัญหาของเว่ยอวิ๋นเซี๋ยได้รับการแก้ไขแล้ว ลั่วชิงยวนก็กลับเข้าไปในลานบ้านและปิดประตูในระหว่างกระบวนการทั้งหมด นางมิได้เหลือบมองขบวนเจ้าสาวเลยด้วยซ้ำ และนางก็มิได้ตั้งใจที่จะให้ลั่วเยวี่ยอิงเข้ามาขบวนยังคงรออยู่นอกประตูใหญ่แบบนั้นผู้คนที่มามุงดูเปลี่ยนไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าลั่วเยวี่ยอิงมีความกังวล นางจึงเรียกสาวใช้อย่างร้อนใจ “ซือเยวี่ย”“คุณหนู”“นำสิ่งนี้ไปให้ลั่วชิงยวน”ลั่วเยวี่ยอิงหยิบกล่องเล็ก ๆ ที่นางเตรียมไว้ล่วงหน้าออกมาเมื่อนางได้รับกล่องเล็กเดิมในวันนั้น นางก็หยิบยาข้างในกินเข้าไปแล้วโยนกล่องนั้นทิ้งหลังจากที่กลับบ้าน ก็นึกขึ้นได้ว่ายังต้องมอบมันให้กับลั่วชิงยวนนางมิกล้ากลับไปหาใหม่ จึงให้คนทำกล่องเล็กอีกอัน ใส่เม็ดหอมไว้ข้างในอย่างไรลั่วชิงยวนก็มิเคยเห็นของข้างในถุงหอมอยู่แล้วหลังจากนั้นมินาน คนรับใช้ก็นำกล่องเล็กมา “พระชายา สาวใช้ของคุณหนูรองลั่วส่งมาเจ้าค่ะ”เมื่อลั่วชิงยว
“ช้าก่อน!”ลั่วเยวี่ยอิงได้ยินเสียงนั้น แต่ยังคงคลานเข้าไปในช่องสุนัขลอดต่อไปครู่ต่อมา จู่ ๆ ก็มีมือมาคว้าแขนของนางแล้วดึงนางกลับไปลั่วเยวี่ยอิงเกือบล้มลงไปกองกับพื้นในตอนที่นางถูกฟู่เฉินหวนดึงตัวขึ้นมา นางก็เหวี่ยงตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของฟู่เฉินหวนลั่วเยวี่ยอิงมองไปที่คนตรงหน้านางด้วยความตกใจ “ท่านอ๋อง…”ฟู่เฉินหวนดูโกรธและดึงลั่วเยวี่ยอิงไปที่ประตูใหญ่แล้วถีบมันให้เปิดออกภายใต้แสงจันทร์ ลั่วชิงยวนซึ่งกำลังนั่งอยู่ในศาลา เห็นฟู่เฉินหวนดึงลั่วเยวี่ยอิงเข้ามาท่าทางของเขาโกรธจัด“ท่านอ๋อง...” จือเฉาหยุดอยู่ข้างหน้าและกำลังจะอธิบายแต่ฟู่เฉินหวนผลักนางออกไปด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว จือเฉาล้มลงไปกับพื้นลั่วชิงยวนตกใจและลุกขึ้นยืนทันที “ฟู่เฉินหวน นี่ท่านคิดจะทำอะไร?!”นางกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงจือเฉาขึ้นมาเยี่ยงไรก็ตาม เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็มิทันระวัง พลันโดนตบอย่างแรงเมื่อแรงกระทบแก้ม ก็แผดเผาด้วยความเจ็บปวดเมื่อรู้สึกแสบร้อนขึ้น ลั่วชิงยวนก็เงยหน้าขึ้นมองฟู่เฉินหวนด้วยสายตาเย็นชาใบหน้าของฟู่เฉินหวนเต็มไปด้วยความโกรธ กำมือแน่น ความรู้สึกเสียใจแวบเข้ามา แต่
กลิ่นอายของเขาไร้มลทิน แต่สายตาของเขามิสงบมั่นคงเหมือนก่อนหน้านี้ดูแปลกมากสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่หมอกู้ยังอยู่แต่หมอกู้ตายไปแล้วตำหนักอ๋องนี้ได้ตรวจสอบจนสะอาดหมดจด ไม่มีใครสามารถทำอะไรฟู่เฉินหวนได้ฟู่จิ่งหลีตกใจ “ท่านสงสัยว่าลั่วเยวี่ยอิงทำอะไรกับพี่สามเช่นนั้นหรือ?”ฟู่จิ่งหลียืนขึ้นทันที “ข้าจะจับตาดูเขาเอง!”......ฟู่เฉินหวนส่งลั่วเยวี่ยอิงไปที่ห้องแล้วพูดว่า “วันนี้ข้ามีธุระบางอย่างจึงกลับมาช้าหน่อย ทำให้เจ้าลำบากแล้ว”ดวงตาของลั่วเยวี่ยอิงแดง แนบชิดเข้าไปในอ้อมแขนของฟู่เฉินหวนอย่างเข้าใจ “การที่เยวี่ยอิงสามารถแต่งเข้าตำหนักของท่านอ๋องได้ ถือเป็นบุญสามชาติของหม่อมฉันแล้วเพคะ”เมื่อพูดอย่างนั้น มือของลั่วเยวี่ยอิงก็ตกบนเข็มขัดของฟู่เฉินหวน “เพราะความเมตตาของท่านอ๋อง เยวี่ยอิงจะดูแลท่านอ๋องอย่างดีแน่นอน”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วในเวลานี้มีเสียงเคาะประตูอย่างกังวล“พี่สาม! พี่สาม!”ฟู่เฉินหวนก้าวไปข้างหน้าทันทีเพื่อเปิดประตูและเห็นฟู่จิ่งหลียืนรออยู่“พี่สาม ข้ามีเรื่องจะถามท่าน” หลังจากพูดอย่างนั้น ฟู่จิ่งหลีก็พาฟู่เฉินหวนจากไปก่อนที่ลั่วเยวี่ยอิงจะทันได้พ
เว่ยอวิ๋นเซี๋ยล้มเหลวในการตกลงประเด็นเรื่องการยืมเงินและมิจ่ายคืน ยืมเงินแล้วมิคืนมิได้รับการไกล่เกลี่ย กลับทำให้เรื่องทุจริตรับสินบนของตระกูลเว่ยถูกเปิดโปงขึ้นมาแทนท้ายที่สุด โฉนดทรัพย์สินมีมูลค่ามากกว่าสองแสนตำลึง ใต้เท้าเว่ยเป็นเพียงข้าราชการระดับห้าเท่านั้น จะจัดหาทรัพย์สินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรเมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ตระกูลเว่ยก็ตระหนักได้ว่า ศัตรูที่อยู่ข้างหลังพวกเขามิเพียงมุ่งเป้าไปที่เว่ยอวิ๋นเซี๋ยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตระกูลเว่ยทั้งตระกูลด้วยหลักฐานการทุจริตได้ถูกรวบรวมไว้นานแล้ว ทำให้ตระกูลเว่ยมิทันได้ตั้งตัวเรื่องนี้ทำให้องค์จักรพรรดิตื่นตกใจ และผลลัพธ์ก็คลี่คลายในมิช้าตระกูลของใต้เท้าเว่ยถูกเนรเทศไปทั้งหมดเนื่องจากเว่ยอวิ๋นเซี๋ยยังคงติดหนี้หอฝูเสวี่ย และลงนามในสัญญาไว้ นางจึงต้องขายตัวเองให้กับหอฝูเสวี่ยไว้เป็นหลักประกันในวันที่ตระกูลเว่ยถูกเนรเทศออกจากเมือง เว่ยอวิ๋นเซี๋ยก็คลุ้มคลั่งและวิ่งไปอาละวาดที่ประตูตำหนักอ๋อง“ลั่วชิงยวน เจ้าคนเลวทราม! เจ้าหลอกข้า เจ้าวางกับดักข้า! เจ้าทำลายตระกูลของข้า!”“ใต้หล้านี้มิยุติธรรม! เมืองหลวงยิ่งใหญ่เพียงนี้ ลั่วชิงยว
จนกระทั่งใต้เท้าเหอนำเงินสองแสนตำลึงและลั่วไห่ผิงเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิจากนั้นลั่วไห่ผิงก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นกับดักที่ถูกคนขุดไว้เขายังติดในร่างแหนั้นด้วย!ข่าวใหญ่เยี่ยงนี้เผยออกไปแล้ว ตำแหน่งของอัครเสนาบดีสูงขนาดนี้แม้ว่าลั่วไห่ผิงจะบอกว่าเขาถูกใส่ร้าย แต่เขามิสามารถให้คำอธิบายแก่ราษฎรได้ องค์จักรพรรดิจึงให้ฟู่เฉินหวนตรวจสอบเหตุการณ์นี้ให้ละเอียดจากการสืบสวนพ่อตาของตนทำให้ฟู่เฉินหวนตกอยู่ในภาวะที่กลืนมิเข้าคายมิออกหลังจากที่ฟู่เฉินหวนสื่อสารกับลั่วไห่ผิงเขาก็นึกถึงหอฝูเสวี่ย และเถ้าแก่ของหอฝูเสวี่ยก็คือลั่วชิงยวนในลานบ้าน หลังจากที่ลั่วชิงยวนได้ยินข่าวที่จือเฉารายงาน ฟู่เฉินหวนก็ปรากฏตัวที่ประตูลานบ้านลั่วชิงยวนหลับตาอาบแดด มิสนใจเขาจนกระทั่งร่างนั้นบดบังแสงแดดของนางเสียงเย็นชาดังขึ้น “เรื่องเงินสองแสนตำลึงฝีมือเจ้าใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนตอบอย่างใจเย็น “ท่านอ๋องมีหลักฐานหรือ?”ฟู่เฉินหวนเกือบจะแน่ใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับลั่วชิงยวน! เขารู้ว่านางช่วยทาสใบ้เอาไว้ และคงมิน่าแปลกใจเลยหากทาสใบ้จะเปิดเผยการมีอยู่ของทางลับนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ลั่วไห่ผ
เสียงของจือเฉาเปิดเผยตำแหน่งของลั่วชิงยวนทันทีประตูห้องตำราเปิดออกอย่างกะทันหัน ฟู่เฉินหวนเหลือบมองที่ลั่วชิงยวนด้วยความโกรธแต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไร ลั่วชิงยวนก็รีบวิ่งหนีไป“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ลั่วชิงยวนรู้สึกมิดีเมื่อเห็นการปรากฏตัวของจือเฉาจือเฉาเช็ดน้ำตาของนางตลอดทางและพูดอย่างรู้สึกผิด “บ่าวขอโทษเจ้าค่ะ ข้ามิได้สังเกต บ่าวมิคิดว่าลั่วเยวี่ยอิงจะไปห้องนอนของพระชายากะทันหันฎ”หัวใจของลั่วชิงยวนอยู่ในลำคอของเขาเมื่อรีบวิ่งเข้าไปในลาน ก็เห็นห้องที่วุ่นวายพร้อมเสียงทุบทำร้ายข้าวของอย่างต่อเนื่องห้องอยู่ในความยุ่งเหยิง แจกันและถ้วยชาถูกทุบลงกับพื้นแต่หม้อดินที่แตกบนพื้นทำให้ดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีขี้เถ้ากระจัดกระจายอยู่บนพื้น และลั่วเยวี่ยอิงก็เหยียบย่ำพวกมัน ทิ้งรอยเท้าไว้เต็มห้องความโกรธพุ่งตรงขึ้นศีรษะของลั่วชิงยวนในขณะนั้น จิตใจของนางแทบจะระเบิด เมื่อเห็นลั่วเยวี่ยอิงคลุ้มคลั่ง และทุบสิ่งของต่าง ๆ ในห้อง ลั่วชิงยวนตาแดงก่ำรีบเข้าไปนางคว้าผมของลั่วเยวี่ยอิงไว้ แล้วกระแทกนางเข้ากับผนังกริชจันทร์เสี้ยวถูกปลดออกจากฝักและแทงเข้าไปในผนังอย่างแรงล
“ก็เพราะหม่อมฉันบ้าถึงใจอ่อนกับท่านก็เพราะหม่อมฉันบ้า หม่อมฉันถึงได้ไว้ชีวิตลั่วเยวี่ยอิง!”ฟู่เฉินหวนเดิมทีก็โกรธอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งโกรธจนเกือบจะเสียสติ“ข้าขอเตือนเจ้า! อย่าได้แตะต้องนาง! หากสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ข้าจะมิยอมปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่!”ลั่วชิงยวนนึกถึงอาจารย์ที่ถูกลั่วไห่ผิงเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน และตอนนี้ยังถูกลั่วเยวี่ยอิงโยนโถอัฐิทิ้ง ทั้งยังถูกนางเหยียบย่ำลั่วชิงยวนเลือดลมพลุ่งพล่าน ควบคุมเจตนาฆ่าของตนไว้แทบมิไหวพ่อลูกคู่นี้ ต้องตายทั้งคู่!“หากเป็นเช่นนั้น หม่อมฉันก็จะบอกท่านไว้เลย ลั่วเยวี่ยอิง หม่อมฉันจะฆ่านางแน่!” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนอำมหิตมากในช่วงเวลานั้น นางเหยียบเท้าของฟู่เฉินหวนอย่างแรงลั่วชิงยวนหลุดออกมาได้ทันที ก็พยายามจะพุ่งออกไปที่ประตูการแสดงออกของฟู่เฉินหวนเปลี่ยนไปเมื่อเขาเห็นสิ่งนี้ และเขาก็คว้าลั่วชิงยวนกลับมา “ลั่วชิงยวน อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือ!”ดวงตาของลั่วชิงยวนเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร นางยกมือขึ้นและต่อยฟู่เฉินหวนเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงทั้งสองต่อสู้กันอีกครั้งฟู่เฉินหวนลุกเป็นไฟด้วยความโกรธ ดวงตาของเขาเปลี
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้