เมื่อดูจากปฏิกิริยาของใต้เท้าเฉา ลั่วชิงยวนก็รู้ว่าเขาต้องรู้อะไรเกี่ยวกับลั่วหลางหลางเป็นแน่เรื่องของตระกูลฟ่านคงเป็นที่รู้กันทั่วในซีหยางส่วนลั่วหลางหลางก็ถูกใส่ร้ายและทำให้เสียชื่อเสียง นางต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใดกัน!ลั่วชิงยวนยิ่งรู้สึกโกรธเมื่อคิดถึงเรื่องนี้นางเอ่ยปากเตือน “แม้ว่ามหาราชครูลั่วจะมิอยู่แล้ว แต่จวนมหาราชครูยังอยู่ และข้าลั่วชิงยวนเองก็ยังอยู่! หากใครกล้าใส่ร้ายลั่วหลางหลางอีกครั้ง ได้ยินเมื่อไหร่ข้าจะลงมือเดี๋ยวนั้น!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใต้เท้าเฉาละล่ำละลักพูดออกมา ”พระชายา หาอย่าได้กังวล!“ฉางจิ่นเหวินก็ก้มหน้าลงและรับปากว่าจะมิใส่ร้ายลั่วหลางหลางอีกฉางจิ่นเหวินแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แปลว่านางมาที่นี่เพื่อลั่วหลางหลาง โชคดีที่อีกฝ่ายมิได้มาที่นี่เพราะสมาคมการค้าเฟิงตูลั่วชิงยวนและฟู่เฉินหวนออกจากที่ว่าการ ก่อนออกเดินทางฟู่เฉินหวนบอกใต้เท้าเฉาว่า "ข้ามิต้องการให้ใครล่วงรู้ถึงการมาที่ซีหยางของข้าเท่าไหร่นัก"“จงทำเหมือนมิเคยพบเห็นข้าก็แล้วกัน”ใต้เท้าเฉาพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก “พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง โปรดวางพระทัย กระหม่อมเข้าใจความพ่ะย่ะค่ะ!”จากนั้นทั้ง
......แม้ว่าตระกูลฟ่านจะไม่ใหญ่โต แต่ก็ดูหรูหรา ทิวทัศน์ในบ้านก็งดงามมากเช่นกันลั่วชิงยวนและลั่วหลางหลางเดินไปที่ทะเลสาบ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ ลั่วชิงยวนจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “หลางหลาง ข้าไปซื้อสีผึ้งที่ขายในร้านเครื่องประทินโฉมตระกูลฟ่านเมื่อสองวันก่อน"นางหยิบกล่องสีผึ้งออกมาแล้วเปิดให้ลั่วหลางหลางดมลั่วหลางหลางตกใจเล็กน้อยลั่วชิงยวนถามว่า “กลิ่นนี้เหมือนกับถุงหอมที่เจ้าให้ข้ามาก่อนหน้านี้เลย! เจ้าเป็นคนทำสีขี้ผึ้งนี้ใช่หรือไม่?”ใบหน้าของลั่วหลางหลางเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเนางก็ยิ้ม “ใช่แล้ว นี่เป็นฝีมือข้าเอง”“แล้วเหตุใด…”ก่อนที่ลั่วชิงยวนจะพูดจบ นางก็ถูกลั่วหลางหลางขัดจังหวะ“ในตอนนั้นตระกูลฟ่านเพิ่งย้ายมาที่ซีหยาง แม้ตระกูลเสวี่ยจะเป็นครอบครัวใหญ่อีกทั้งยังมีกิจการที่ดี แต่ก็เป็นเพียงตระกูลของฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น บุตรหลานรุ่นหลังกับเรานับว่าห่างเหินกันเป็นอย่างมาก พวกเขาจะช่วยเหลือพวกเราอย่างจริงใจได้อย่างไร"“เพราะเขาพูดจาดี ช่วยเราเปิดร้านและทำการค้า และช่วยให้เราเข้าร่วมสมาคมการค้าเฟิงตูได้ก็จริง แต่จริง ๆ แล้ว เขาต้องการทำลายการค้าของเรา เพื่อจะรีดไถเง
ดวงตาของลั่วหลางหลางมืดมน นางขมวดคิ้วมุ่นและก้มหน้าลง น้ำเสียงดูทำอะไรมิถูกเล็กน้อย “ตอนที่ตระกูลเสวี่ยเย้ยหยันว่าข้าไร้ประโยชน์ ฟ่านลิ่งเสวียนก็บังเอิญมาเยี่ยมเยียนพวกเราที่ซีหยาง ดังนั้นเขาจึงออกปากแทนข้าสองสามคำและโต้เถียงกับตระกูลเสวี่ย”“ต่อมา ตอนที่เขาคิดจะกลับเข้ากองทัพ ทว่าคืนก่อนเขาพบว่ารองเท้าของเขาชำรุด ข้าจะช่วยซ่อมแซมให้เขาบ้าง ฟ่านซานเหอเองก็รู้เรื่องนี้ดี”“แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อออกไปสู่ภายนอกแล้วกลับเปลี่ยนไปสิ้นเชิง”หลังจากฟังแล้ว ลั่วชิงยวนก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ!“นั่นหมายความว่า ต้องเป็นตระกูลเสวี่ยที่กุข่าวลือขึ้นแน่!”“แล้วสินเดิมของเจ้าเล่า ยังจะโลภสินสอดของเจ้าอีกรึ!“เติมทีนางคิดว่าชีวิตในซีหยางคงสงบสุข แต่มิคิดเลยว่านี่จะเป็นรังหมาป่าเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ถามอย่างสงสัย “ตระกูลฟ่านน่าจะมีเงินเก็บมิน้อย! ไหนจะสินเดิมของเจ้าอีก! เหตุใดเจ้ายังอยากทำการค้าอยู่?”“แน่นอนว่าตระกูลฟ่านมิต้องทำการค้าก็มีกินมีใช้”ลั่วหลางหลางตอบด้วยน้ำตาคลอ “ฟ่านซานเหอมิอยากมีชีวิตธรรมดา ๆ เช่นนั้น”“เขาบอกแก่ข้าว่าเขาอยากให้ข
เซียวชูตกตะลึงและกอดดาบไว้ในอ้อมแขนทันใด “ท่านอ๋อง! มิได้หนาพ่ะย่ะค่ะ!"น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนเย็นชาเล็กน้อย “หากมิได้ เช่นนั้นก็รีบหาทางเสียสิ? เรื่องแค่นี้ยังต้องถาม เช่นนั้นเจ้าจะมีประโยชน์อันใด”เซียวชูเกาหัว นี่มิใช่หน้าที่ของเขา รู้อย่างนี้เขาพาซูโหยวมาที่นี่ด้วยดีกว่าฟ่านซานเหอรีบพูด “ท่านอ๋อง กระหม่อมมี กระหม่อมจะจ่ายให้พ่ะย่ะค่ะ”ฟ่านซานเหอพูดแล้วหยิบถุงเงินของเขาออกมาทันทีแต่ฟู่เฉินหวนยกมือขึ้นเพื่อปรามและพูดด้วยน้ำเสียงมิแยแส "พระชายาของข้าต้องการซื้อของเพียงมิกี่อย่าง มิต้องให้คนอื่นจ่ายให้หรอก""ข้าจ่ายเองได้"ฟ่านซานเหอพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและเก็บถุงเงินกลับอย่างเชื่องช้าลั่วชิงยวนยังคงจับจ่ายกับลั่วหลางหลางต่อไป ออกจากร้านหนึ่งก็เข้าอีกร้านและยังได้ไปที่ร้านของตระกูลฟ่านอีกด้วยนางซื้ออาภรณ์และเครื่องประดับให้ลั่วหลางหลางหลังจากเลือกสร้อยข้อมือมูลค่าสามร้อยตำลึง ลั่วหลางหลางเกิดปฏิเสธ “หากเจ้าต้องการซื้อก็เก็บไว้เองเถิด ข้ามิต้องการสิ่งเหล่านี้"“ดูสิว่าเจ้าแต่งตัวเรียบง่ายขนาดไหน เจ้ามิสวมอะไรเลย ดูสิว่าใส่แล้วเจ้างามเพียงใด” ลั่วชิงยวนบังคับให้ลั่วหลางหลา
ลั่วชิงยวนขึ้นไปชั้นบนแล้วเห็นว่าฟู่เฉินหวนมิได้พูดอะไรเขากำลังชงชานั่งอยู่ตรงข้ามนาง ท่าทางของเขาสงบและสง่างามลั่วชิงยวนใช้มือช้อนคางแล้วมองเขา “หม่อมฉันใช้เงินท่านไปมากมายขนาดนั้น ท่านมิเสียดายหรือ?”ฟู่เฉินหวนจิบชาช้า ๆ และมิตอบคำถามลั่วชิงยวนกล่าวเสริม “วันนี้หม่อมฉันได้คุยกับลั่วหลางหลางและพบว่าตระกูลเสวี่ยอาจเป็นคนกุข่าวลือ และกิจการของตระกูลฟ่านก็ถูกตระกูลเสวี่ยวางหมาก จุดประสงค์ของตระกูลเสวี่ยคือเพื่อรีดไถทรัพย์สินของตระกูลฟ่านและยังหมายปองสินเดิมของลั่วหลางหลางด้วย!”“วันนี้หม่อมฉันจึงใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย มิเพียงแต่เพื่อสนับสนุนลั่วหลางหลางเท่านั้น แต่ยังเพื่อให้ตระกูลเสวี่ยที่ซ่อนอยู่ในเงามืด เห็นว่าหม่อมฉันสุรุ่ยสุร่ายและโง่เขลา”“ตระกูลเสวี่ยก็มาจากสมาคมการค้าเฟิงตูเช่นกัน หากพวกเขาติดกับเรา เช่นนั้นเราจะได้หาโอกาสสืบสวน”ลั่วชิงยวนอธิบายเหตุผลแน่นอนว่ายังเหตุผลเล็ก ๆ เพราะอยากแก้แค้นฟู่เฉินหวนด้วยนางมิอาจเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้ทุกครั้งยิ่งไปกว่านั้น การสืบสวนคดีใหญ่ขนาดนี้ จะมีการเสียสละทางการเงินบ้างก็หาใช่เรื่องใหญ่อันใดไม่หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ฟู่เฉินหวน
ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดและพูดว่า “ตอนที่เจ้าอยู่กับลั่วหลางหลางเมื่อกลางวัน ฟ่านซานเหอดูจะกังวลมากทีเดียว”“ดูเหมือนเขาจะกลัวว่าลั่วหลางหลางจะบอกอะไรเจ้า”“ตอนที่เจ้าและลั่วหลางหลางไปที่ทะเลสาบ ฟ่านซานเหอหาข้ออ้างออกไปข้างนอก แล้วแอบฟังการสนทนาของเจ้าจากด้านหลังกำแพง”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ การแสดงออกของลั่วชิงยวนก็เปลี่ยนไป “กระไรนะ? เขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมดที่หม่อมฉันคุยกับลั่วหลางหลางงั้นหรือ”ฟู่เฉินหวนพยักหน้า “อาจจะ”“ลั่วหลางหลางมิได้บอกอะไรสำคัญแก่เจ้าใช่หรือไม่?” ฟู่เฉินหวนเดาว่าคงไม่มีเรื่องแบบนั้น เพราะในภายหลังฟ่านซานเหอมิได้มีปฏิกิริยาอะไรมาก“ไม่มีหรอก ข้าแค่พูดถึงเรื่องแย่ ๆ ของฟ่านซานเหอก็เท่านั้น” ลั่วชิงยวนเลิกคิ้ว“เขาจะมิโกรธและทำให้หลางหลางต้องลำบากใช่หรือไม่?” ลั่วชิงยวนรู้สึกกังวลทันทีฟู่เฉินหวนครุ่นคิดและพูดว่า “หลังจากดูสถานการณ์ที่บ้านหลังสุดท้ายเสร็จแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปดูลั่วหลางหลางที่บ้านของฟ่านแล้วกัน”“หากเจ้ากังวล เจ้าก็พานางไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อพักชั่วคราวได้ บอกว่าเป็นการพบปะกันของพี่น้อง”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “เพคะ”แล้วทั้งสองก็รีบไปบ้านหลังสุดท้ายในคว
มันว่างเปล่า!ไม่มีใครเลยสักคน!ลั่วชิงยวนรีบหันไปค้นหาภายในห้อง แต่ไม่มีใครอยู่!ฟู่เฉินหวนก้าวไปข้างหน้ายกภาพวาดขึ้นมา พบว่ามีรูขนาดใหญ่อยู่ที่ผนังด้านหลังเมื่อออกไปก็ได้เห็นสวนหลังบ้านใกล้กับกำแพง ต้นไม้เล็ก ๆ ข้างกำแพงถูกเหยียบย่ำจนหักหมดแล้วทั้งสองไล่ตามไป แต่มิพบร่องรอยของคนผู้นั้นเลย“มีรูอยู่ด้านหลังเตียง ดูเหมือนครั้งก่อนที่เขารอดจากการถูกฆ่าปิดปากก็ใช้ทางนี้หนีออกมาเหมือนกัน!”ฟู่เฉินหวนก็มองไปรอบ ๆ แต่ก็มิพบที่ใดเลย “บุคคลนี้คงต้องรู้อะไรบางอย่าง และตระหนักว่าเขากำลังจะถูกปิดปาก ดังนั้นเขาจึงหลบหนีออกมา”“ผู้ที่เสียชีวิตคือพี่น้องของเขา”“วันนี้เขาวิ่งกลับมาเอาเงิน และอาจจะหนีออกจากซีหยางไปก็เป็นได้”นี่เป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว จะปล่อยให้เขาหนีออกจากซีหยางมิได้!ลั่วชิงยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนั้นเรากลับกันก่อนเถิด”ฟู่เฉินหวนพยักหน้า และทั้งสองคนก็กลับไปทันทีฟู่เฉินหวนต้องการกลับไปที่โรงเตี๊ยม เพื่อส่งเซียวชูและคนอื่น ๆ ไปแอบค้นหาบุคคลนั้นและเฝ้าประตูเมือง ขณะที่ลั่วชิงยวนต้องการไปที่บ้านตระกูลฟ่าน เพื่อดูสถานการณ์ของลั่วหลางหลาง พวกเขามีจุดมุ่
นางเตะฟ่านซานเหออย่างแรงมิหยุด การทุบตีทำให้เขาต้องก้มหัวและขอความเมตตาหนีออกจากห้องไปทันทีลั่วชิงยวนไล่ตามเขาไปอย่างไม่ลดละ ทั้งต่อยและเตะเขาอย่างดุเดือดนางมิพูดอะไรเพราะนางสวมชุดดำและปิดหน้าปิดตาตนไว้แล้ว“มีคนอยู่ไหม! มีใครอยู่บ้าง!” ฟ่านซานเหอร้องขอความช่วยเหลือด้วยความตื่นตระหนกลั่วชิงยวนเตะฟ่านซานเหออย่างแรง ศีรษะกระแทกพื้นจนสลบไปไอ้สารเลว!ลั่วชิงยวนโกรธอย่างกับตัวเองถูกรังแกเสียเองนางเตะฟ่านซานเหออีกหลายครั้ง ก่อนลากเขาออกจากลานบ้านแล้วโยนเขาเข้าไปในทางเดินด้านในจากนั้นนางก็รีบกลับไปที่เรือนของลั่วหลางหลางลั่วหลางหลางยืนอยู่ที่ประตู มองดูนางอย่างประหม่าและสับสน “เจ้า…”ลั่วชิงยวนถอดผ้าคลุมหน้าออกแล้วพูดว่า “ข้าเอง”ลั่วหลางหลางสะดุ้ง และทันใดนั้นดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดง นางเดินเข้ามากอด ซบลงบนไหล่ของลั่วชิงยวน รู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่นางกลั้นน้ำตาไว้และมิปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาลั่วชิงยวนลูบหลังลั่วหลางหลาง มิรู้ว่าจะปลอบนางอย่างไรดีหลังจากนั้นไม่นาน อารมณ์ของลั่วหลางหลางก็ค่อย ๆ สงบลง จากนั้นนางก็ดึงลั่วชิงยวนเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู“ไฉนเจ้าจึงแ
เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมา สีหน้าของฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนไปในทันที“กระหม่อมเป็นองครักษ์ข้างกายองค์ชายใหญ่ โปรดอภัยให้กระหม่อมที่มิสามารถทำตามพระบัญชาได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”องค์หญิงผู้นี้ชอบเฉินชี หากเขาติดตามองค์หญิงไปก็คงจะได้พบกับเฉินชีเป็นแน่ มิหนำซ้ำ เกาเหมียวเหมี่ยวก็ช่วยเขาฆ่าเฉินชีมิได้เมื่อถูกเขาปฏิเสธอีกครั้ง สีหน้าของเกาเหมียวเหมี่ยวจึงดูมิดีนักฉินอี้จึงต้องก้าวออกมา “เหมียวเหมี่ยว คนที่คอยคุ้มครองเจ้ายังมิพออีกหรือ?”“ข้างกายพี่ใหญ่มีองครักษ์คนนี้อยู่เพียงคนเดียว เจ้าอย่าแย่งเขาไปเลย”สีหน้าของฉินอี้ดูเหมือนคนจนใจน้ำเสียงของเขาฟังดูน่าสงสารเมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ เกาเหมียวเหมี่ยวก็มิกล้าที่จะบังคับอีก นางตอบอย่างมิพอใจว่า “ก็ได้”“รอจนกว่าท่านจะมิต้องการเขาแล้ว ค่อยให้หม่อมฉันก็แล้วกัน”“หม่อมฉันค่อนข้างชอบเขา”เกาเหมียวเหมี่ยวพูดพลางมองฟู่เฉินหวน บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาคล้ายกับเฉินชีมิใช่หน้าตาที่เหมือน แต่เป็นอารมณ์เย็นชาหยิ่งผยองและความกล้าหาญที่จะปฏิเสธนางโดยมิแม้แต่จะเสียงสั่นในเมื่อยังมิสามารถทำให้เฉินชีสยบต่อนางได้ในเร็ววัน การ
“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปทำความเข้าใจสถานการณ์”กล่าวจบ เขาก็พาฟู่เฉินหวนเดินไปทว่าระหว่างทางกลับพบเกาเหมียวเหมี่ยวเดินสวนมาพอดีฉินอี้เข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง แล้วเอ่ยถาม “เหมียวเหมี่ยว อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือ?”เกาเหมียวเหมี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บาดแผลเพียงเท่านี้คร่าชีวิตหม่อมฉันมิได้หรอก อีกอย่าง เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ประทานยาให้หม่อมฉันมากมาย มิเจ็บปวดแผลแล้ว”ฉินอี้พยักหน้า “บาดแผลของเจ้าหายเร็วได้เช่นนี้ก็เพราะกินน้ำแกงโสมมังกรมาตลอด เจ้าต้องกินทุกวันตามเวลา ร่างกายจะได้แข็งแรงขึ้น!”“เข้าใจแล้ว”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนก็ดวงตาเป็นประกายน้ำแกงโสมมังกรหรือ?เป็นโสมมังกรชนิดเดียวกับที่หมอหลวงมู่ให้เขากินหรือไม่?สิ่งนี้แม้แต่หมอหลวงมู่ก็มีเพียงชิ้นเดียว มิเคยพบเห็นชิ้นที่สองแต่องค์หญิงแห่งแคว้นหลีกลับได้กินทุกวันเลยหรือ?เขาอดสงสัยมิได้ว่าสองสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกันจริงหรือไม่หากเป็นเช่นนั้น เขาก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายเดือน หรือกระทั่งหลายปีเลยมิใช่หรือ?เปลวไฟแห่งความหวังลุกโชนขึ้นในใจของฟู่เฉินหวนฉินอี้เดินจากไปแล้ว แต่ฟู่เฉินหวนยังคงยื
ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างใจเย็น “องค์ชายใหญ่ใส่ใจเรื่องนี้ถึงเพียงนี้เชียวหรือเพคะ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วมุ่น มองนางด้วยสีหน้าจริงจัง “แน่นอน! แท้จริงแล้วเจ้ารู้อะไรกันแน่!”วันนั้นในคุกใต้ดิน เกือบจะได้ฟังคำพูดต่อจากนั้นของลั่วชิงยวนแล้วแต่กลับถูกเฉินชีขัดจังหวะเสียก่อนหลังจากกลับไป เขาก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอดเขาอาจมิใส่ใจเรื่องราวในอดีตได้ แต่นี่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา! เขาจะมิใส่ใจคงมิได้!ลั่วชิงยวนกลับยกยิ้ม “องค์ชายใหญ่เชื่อจริงจังเลยหรือ?”“วันนั้นหม่อมฉันเพียงต้องการเอาชีวิตรอด จึงพูดจาเหลวไหลไปเท่านั้น”เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ฉินอี้ก็ตกตะลึงไปทั้งร่างมองนางด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว “เจ้าว่ากระไรนะ?!”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วขึ้น “หม่อมฉันมิอยากพูดซ้ำสอง”ฉินอี้โกรธจนอยากจะลงมือ แต่ก็อดกลั้นไว้ เขาไม่มีทางต่อกรกับลั่วชิงยวนได้สุดท้ายก็ได้แต่จากไปด้วยความขุ่นเคืองเมื่อเห็นฉินอี้จากไป เงาร่างที่แอบฟังอยู่ก็รีบจากไปเช่นกันอาการของฉินอี้นั้นมีสาเหตุจริง แต่เรื่องนี้ยังมิอาจบอกให้ฉินอี้รู้ได้เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่หากพูดออกไป ปัญหาที่นางจะต้องเผชิญจะมิใช่เพียงเรื่องรา
อวี๋โหรวพยักหน้า รีบเช็ดน้ำตา “ขอบคุณ”ลั่วชิงยวนตบไหล่นางเบา ๆ เพื่อปลอบโยนเมื่อสนทนามาถึงตรงนี้ ลั่วชิงยวนจึงถือโอกาสถามอวี๋โหรว “อันที่จริงข้าสงสัยเรื่องนักบวชระดับสูงคนก่อน เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่านางตายอย่างไร?”อวี๋โหรวตกใจเล็กน้อยคาดเดาในใจว่าลั่วชิงยวนคงสอบถามเรื่องนี้เพราะเฉินชีเพราะว่าเฉินชีก็มีใจให้ลั่วเหลาเช่นเดียวกันนางอธิบาย “ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางตายอย่างไร”“วันนั้นนางบำเพ็ญเพียรอยู่ที่หอเทียนฉี วันรุ่งขึ้นเมื่อมีคนมาพบก็เหลือเพียงโลหิตกองเต็มพื้น”“บนพื้นยังมีร่องรอยการลากศพด้วย”“แต่ส่งคนออกไปตามหาศพตั้งมากมายก็หามิพบ”“เฉินชีแทบจะพลิกทั่วทั้งวัง แทบจะคลุ้มคลั่งสังหารคนในสำนักนักบวชไปเสียสิ้น”“ยังดีที่จักรพรรดิทรงนำราชองครักษ์เกราะเหล็กมาด้วยพระองค์เอง จึงสามารถควบคุมตัวเฉินชีไว้ได้”“เรื่องการตายของนักบวชระดับสูงนั้นมีการสืบสวนอยู่นาน แต่ก็ไม่มีเบาะแสใด ๆ เบาะแสทั้งหมดหยุดอยู่ที่หอเทียนฉี”“นอกหอเทียนฉีไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือ”“นานวันเข้า เรื่องนี้ก็เงียบหายไป”ตามคำบอกเล่าของอวี๋โหรว ลั่วชิงยวนก็หวนนึกถึงคืนนั้นหอเทียนฉีเป็นสถานที่ที่นักบวชระดับสูงจะท
อวี๋โหรวก็ประหลาดใจ นางมิคาดคิดว่าลั่วชิงยวนจะล่วงรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนาง อีกทั้งยังไปเอาเรื่องจั๋วฉ่างตงเพื่อนางและทำร้ายจั๋วฉ่างตงจนอยู่ในสภาพเช่นนั้นการกระทำของนางคล้ายคลึงกับลั่วเหลาในสมัยก่อนยิ่งนักนางชอบใจมาก“กินยาเสีย” ลั่วชิงยวนรินยาให้อวี๋โหรวเดินเข้าไปดมแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ “ในนี้มีบัวถวายผสมด้วยหรือ?”“เจ้ากินไปเถิด”“อาการบาดเจ็บของเจ้าน่าจะทุเลาลงเพราะยานี้”ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อาการบาดเจ็บภายในของเจ้าก็มิได้ดีไปกว่าข้าหรอก รีบกินเสีย”อวี๋โหรวจำต้องยอมดื่มยานั้นลั่วชิงยวนนั่งลงข้าง ๆ รินน้ำชาหนึ่งถ้วย แล้วกล่าวว่า “ต่อไปจั๋วฉ่างตงจะต้องหาเรื่องเจ้าอีกเป็นแน่ เจ้าจะปิดบังตนเองอีกมิได้”“ในเมื่อฝีมือของเจ้าทำให้จั๋วฉ่างตงริษยาได้ เช่นนั้นก็อย่าได้เกรงใจนาง!”“ส่วนทางด้านนักบวชระดับสูง ข้าคิดว่านางคงจะให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความสามารถ มิใช่ผู้ที่ประจบสอพลอ”นี่คือความเข้าใจที่ลั่วชิงยวนมีต่อเวินซินถงจั๋วฉ่างตงสามารถเป็นคนสนิทข้างกายของนางได้ ย่อมเป็นเพราะจั๋วฉ่างตงมีฝีมือที่แข็งแกร่งในสำนักนักบวช มิใช่เพราะจั๋วฉ่างตงประจบสอพลอเก่
ลั่วชิงยวนคว้าตัวจั๋วฉ่างตง “คุกเข่าลง! ขอโทษ! รับปากด้วยว่าจะมิรังแกนางอีก!”เมื่อเสียงอันดุดันดังขึ้น ทุกคนต่างตกตะลึงจั๋วฉ่างตงมีหรือจะยินยอม ดวงตาแดงก่ำของนางจ้องมองลั่วชิงยวนอย่างเดือดดาล “สารเลว!”เพียะ!ลั่วชิงยวนตบหน้านางอย่างมิปรานี“ข้ามิรังเกียจที่จะตบเจ้าจนกว่าจะยอม”“ยามนี้ตบหน้ายังทนได้ หากบีบให้ข้าใช้ท่วงท่าอื่น ระวังวรยุทธ์ของเจ้าจะไร้ค่า!”ลั่วชิงยวนข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชาจั๋วฉ่างตงกัดริมฝีปากล่างด้วยความโกรธแค้นและอัปยศอดสูเดิมทีนางเป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงาม ทว่ายามนี้กลับถูกลั่วชิงยวนทำร้ายจนยับเยิน แทบจะจำเค้าเดิมมิได้“ข้ามิได้มีความอดทนมากนัก เร็วเข้า!”ยามนี้มีผู้คนมากมายได้ยินเสียงอึกทึกจึงมามุงดูเหตุการณ์น่าตื่นเต้นรวมตัวกันอยู่หน้าประตูเรือนพลางกระซิบกระซาบกัน“ลั่วชิงยวนผู้นี้ช่างกล้าหาญนัก”“จั๋วฉ่างตงไปยั่วโมโหนางอีกแล้วหรือ?”เมื่อได้ยินเสียงจากภายนอก จั๋วฉ่างตงก็แทบจะหลั่งน้ำตา มีผู้คนมากมายมองดูอยู่ นางกลับต้องคุกเข่าขอโทษอวี๋โหรว!ขณะที่ลั่วชิงยวนหมดความอดทนและกำลังจะลงมือจั๋วฉ่างตงก็กลั้นน้ำตาไว้พลางคุกเข่าลง ตรงหน้าอวี๋โหรวอว
จั๋วฉ่างตงเดินออกมาจากห้องนัยน์ตาของลั่วชิงยวนฉายแววมุ่งสังหาร “ที่แท้เจ้าก็มิใช่เต่าหดหัวในกระดองนี่”จั๋วฉ่างตงจ้องมองนางด้วยสีหน้าดุดัน แล้วเดินลงมาอย่างช้า ๆ “ลั่วชิงยวน ข้าขอเตือนให้เจ้าสำรวมตนเสียบ้าง!”กล่าวพลางกวาดสายตามองไปยังคนที่นอนกองอยู่บนพื้น แล้วตวาดเสียงดัง “ปล่อยพวกเขา!”ลั่วชิงยวนบุกเข้ามาทำร้ายคนถึงเรือนของนาง นี่มิใช่การตบหน้านางต่อหน้าธารกำนัลหรอกหรือ!แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่ลั่วชิงยวนที่หอรักษ์ดารา แต่ก็มิได้หมายความว่านางจะต้องหวาดกลัวลั่วชิงยวน!ลั่วชิงยวนเตะไปที่คนเหล่านั้น แล้วยอมปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระคนเหล่านั้นกลิ้งตัวลงบนพื้นทีละคนก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน หมายจะหลบไปอยู่ด้านหลังจั๋วฉ่างตงทว่าในเวลานี้เอง ริมฝีปากของลั่วชิงยวนก็ยกยิ้มเย็นเยียบ กระโจนเข้าหาจั๋วฉ่างตงอย่างรวดเร็วแล้วใช้มือคว้าจับที่คอเสื้อของนางจั๋วฉ่างตงขัดขืนโดยสัญชาตญาณ แต่นางได้รับบาดเจ็บ จะเป็นสู้ลั่วชิงยวนได้อย่างไรทันใดนั้นก็ถูกลั่วชิงยวนเหวี่ยงลงกับพื้น แล้วตบหน้าอย่างแรงจนผมเผ้าของจั๋วฉ่างตงยุ่งเหยิงขณะที่ตั้งตัวมิทันเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านั้นหนักแน่น เสียงดังสนั
“ดังนั้น...”“เรื่องเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงครั้งหรือสองครั้ง”“นักบวชระดับสูงไว้วางใจนาง ข้าก็ทำได้เพียงทนรับมือ เมื่อก่อนยังพอขัดขืนได้บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็เลิกขัดขืนเพราะเสียแรงเปล่า”น้ำเสียงของอวี๋โหรวราบเรียบ ทว่าลั่วชิงยวนได้ฟังแล้วกลับรู้สึกหดหู่ใจ“เป็นเช่นนี้มานานแล้วหรือ? กี่ปีแล้ว?”หรือว่าในตอนที่นางยังอยู่ อวี๋โหรวต้องทนทุกข์ทรมานกับเรื่องเหล่านี้?อวี๋โหรวกลับส่ายหน้า “ข้าก็จำมิได้แล้วว่ากี่ปี”“อาจารย์ของข้าจากไปเสียนานแล้ว ไม่มีผู้ใดคอยช่วยเหลือข้า”“ดังนั้นข้าจึงต้องใช้บัวถวายรักษาอาการบาดเจ็บมาตลอด เพียงแต่ช่วงนี้หาซื้อมิได้แล้ว ข้าจึงเหลือเพียงดอกสุดท้าย”เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกปวดร้าวใจหลายปีมานี้ นางมิเคยสังเกตเห็นความทุกข์ทรมานของอวี๋โหรวเลยเพราะอวี๋โหรวมิเคยปริปากบอกผู้ใด ในสถานที่ที่คนอ่อนแอต้องพ่ายแพ้แก่ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ ดูเหมือนนางจะรู้ดีว่าบอกผู้ใดไปก็ไร้ประโยชน์หลายปีมานี้นางอดทนมาได้อย่างไรก็มิอาจรู้ได้“จั๋วฉ่างตงบาดเจ็บอยู่แท้ ๆ ยังอุตส่าห์มาหาเรื่องเจ้าอีก ข้าว่านางคงเบื่อหน่ายการมีชีวิตเต็มทีแล้ว”แววตาของลั่
ชายหลายคนก้าวเข้ามารุมทำร้ายอวี๋โหรวในทันทีจั๋วฉ่างตงเปิดกล่องใบหนึ่งออก หมอกดำทมิฬพลันลอยออกมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้ายังกล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของลั่วชิงยวนอีก เห็นทีจะยังมีเรี่ยวแรงอยู่ ข้าคงทรมานเจ้ายังมิพอ”“วันนี้เจ้าจงลิ้มรสภูตผีร้ายแห่งหุบเขาฝังศพให้สาสม”จั๋วฉ่างตงใช้ยันต์แผ่นหนึ่งควบคุมหมอกดำทมิฬให้รวมตัวกันกลางอากาศ แล้วพุ่งเข้าโจมตีอวี๋โหรวอย่างรุนแรงอวี๋โหรวกำลังต้านทานการโจมตีของบุรุษเหล่านั้นอยู่ในชั่วขณะต่อมา หมอกดำทมิฬก็พุ่งเข้าใส่ กระแทกเข้าที่ท้องของนางราวกับจะฉีกร่างนางออกเป็นชิ้น ๆ ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นปราดเข้าจู่โจมหมอกดำทมิฬนั้นทะลุผ่านร่างของนางไปอวี๋โหรวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง เจ็บปวดจนร่างกายสั่นเทา มิอาจลุกขึ้นได้บุรุษเหล่านั้นจับแขนของนางแล้วกระชากให้นางลุกขึ้นหมอกดำทมิฬนั้นพุ่งเข้ากระแทกท้องของนางอีกครั้ง แล้วทะลุผ่านไปอย่างรุนแรงอวัยวะภายในสั่นสะท้านก่อให้เกิดความเจ็บปวดรุนแรง ทำให้อวี๋โหรวสั่นไปทั้งร่าง เจ็บปวดจนริมฝีปากสั่นระริก ใบหน้าซีดเผือดนางไม่มีเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้ได้เลยเป็นเช่นนี้ซ้